ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 1 การพบพาน
Ik wil nog voortleven, ook na mijn dood!
ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ตายไปแล้วก็ตาม!
──5 เมษายน 1944 Anne Frank
.
หมอยืนอยู่ข้างเตียง นํามือไพล่หลังไว้
ริมหน้าต่างมีดอกไม้ประดับตั้งอยู่ ลำต้นหนายาวชูดอกสีขาวบานสะพรั่ง ราวกับดอกไม้ไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืน เมื่อม่านสีขาวพริ้วไหว มักจะส่งกลิ่นหอมโชยเเตะจมูก
หมอเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
เราว่าเราเตรียมใจพร้อมแล้วเเท้ๆ เเต่สิ่งที่ทําได้มีเพียงกลั้นเสียงสะอึ้นนั้นไว้
“พอแล้ว หยุดเถอะ”
*
ในขณะที่ผมกําลังเคลิ้มหลับอยู่นั่น เสียงของนารุมิก็ทําผมตื่นขึ้น
เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นทุกคนกำลังปรบมือและหัวเราะกันอยู่ นารุมิกําลังโชว์มุกคันไซอีกเเล้วสินะ ผมพลางคิดเช่นนั้น
เมื่อมองไปข้างๆ เห็นชายตัวสูงใหญ่ยืนอยู่ด้วยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ นารุมินั่นเอง
แม้ว่าผมจะพลาดฟังมุกของนารุมิไป แต่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจเลย
ในทางกลับกัน ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกปลุกมากกว่า เลยถือสาเอาศอกสะกิดนารุมิที่กำลังจะนั่งลง
“ว่าไง โซราโนะ ตื่นแล้วเหรอ”
นารุมิพูดพร้อมตบหลังผมด้วยนํ้าเสียงครึนเครง
“ฉันเห็นฝันเเปลกๆล่ะ”
“ฝันอะไรเหรอ?”
“ฝันน่าเศร้ากระมัง”
“อะไรละนั่น”
ที่นี่คืองานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ที่จัดร่วมกันกับหลายๆ ชมรม ซึ่งผมไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าไหร่นัก เเต่สุดท้ายเเล้วก็ถูกนารุมิลากตัวมา
ตอนนี้พวกเรานั่งกันหลังสุด จึงทําให้เห็นบรรยากาศได้ทั่วทั้งงาน
การที่ต้องมาร่วมงานเลี้ยงอย่างไม่เต็มใจบวกกับการนอนไม่เต็มอื่ม นั่นทำให้ผมรู้สึกไม่มีเอนจอยไปกับมันเลยซักนิด
“ทำตัวให้กระฉับกระเฉงสิ มาแล้วก็ต้องสนุกไปกับมันสิ ไม่งั้นเสียเที่ยวแย่”
“ก็เพราะเอ็งพามานี่หว่า”
นารุมิซึ่งเป็นรูมเมทหอพักผม จู่ๆ เมื่อคืนเขาพูดขึ้นว่า “มาจัดห้องกันเถอะ” กว่าจะเสร็จ เเสงตะวันของเช้าอีกวันหนึ่งก็ขึ้นมาเเล้ว
ด้วยเหตุนั้นเอง จึงทําให้ผมรู้สึกง่วงตลอดทั้งวัน พอจะเลิกเรียนก็พลางคิดในใจว่าจะได้นอนสักที แต่กลับถูกนารุมิลากตัวมางานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ซะงั้น
นารุมิที่อยู่ข้างๆ ผมมองไปรอบๆ งานด้วยใบหน้าสดใสร่าเริง
ไม่รู้ไอหมอนี่เอาเรี่ยวเเรงมาจากไหนมาสนุกกับงานนี้อีก
ในขณะที่คิดเช่นนั้น ผมพลางจิบชาอู่หลงเเล้วมองไปรอบๆ งาน
แล้วผมก็ไปเห็นภาพที่เหนือความเป็นจริง
แต่เดิมเเล้ว ไองานเลี้ยงที่ชื่อเว่อร์ๆ อย่าง “งานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ครั้งยิ่งใหญ่” ควรจะเริ่มด้วยบรรยากาศเงียบๆ จากนั้นตัวแทนแต่ละชมรมกล่าวทักทาย เเล้วปิดท้ายด้วยชนเเก้วกัน
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอะไรไปแล้ว
ห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักศึกษาเก่าและใหม่ปะปนกันไปประมาณสี่สิบคนกำลังสับสนอลหม่าน
ไม่มีใครนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทุกคนถือแก้วเดินไปมาอย่างกับฝูงซอมบี้
อาหารปิดท้ายอย่าง ชัมปง¹ ที่กําลังเดือดปุดๆ กลับไม่มีใครคิดจะคีบกิน ปล่อยให้เส้นเดือดต่อไปจนเริ่มเปื่อยยุ่ย
ผู้ชายบางส่วนส่งเสียงดังคุยกับผู้หญิงอย่างสนุกสนาน ส่วนพวกโอตาคุก็นั่งตัวงออยู่มุมห้อง นอกจากนี้ ยังมีพวกผู้หญิงแต่งหน้าจัดโนสนโนเเคร์ใคร ตั้งวงล้อมนั่งหัวเราะและปรบมือเสียงดัง
งานเลี้ยงถูกเเบ่งด้วยบานประตูเลื่อนของร้านอิซากายะ²ซึ่งเต็มไปด้วยคลื่นความร้อนที่ออกมาจากร่างกายของผู้คน ไม่เพียงเท่านั้น เเต่ยังรวมไปถึงเสียงจากผู้คนในร้าน ทําให้รู้สึกราวกับว่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่นี่สูงจนทําเอาหายใจเเทบไม่ออกกันเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงเปิดคอเสื้อแล้วพัดมันด้วยมือ ทั้งร้อนทั้งบรรยากาศเเย่ ไม่สบายตัวเอาซะเลย อยากออกไปข้างนอกจังโว้ย…
¹ ชัมปง (ちゃんぽん) เป็นเมนูเส้นญี่ปุ่นจากจังหวัดนางาซากิ ซึ่งได้รับเเรงบันดาลใจมาจากจีนอีกที
² อิซากายะ (居酒屋) เป็นชื่อเรียกร้านดื่มสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะขายเหล้าพร้อมกับเเกล้มเบาๆ
ขณะที่ผมคิดเช่นนั้น เสียงอีกฝั่งของประตูไม้เลื่อนซึ่งกําลังร้องเพลง “แฮปปีเบิร์ธเดย์ทูยู” ก็ได้ดังขึ้น โต๊ะของเราจึงเริ่มปรบมือร้อง “แฮปปีเบิร์ธเดย์ทูยู” ตามไปด้วย
ทุกคนกำลังร้องเฉลิมฉลองให้กับคนห้องข้างๆ ซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน
บางทีอาจจะมีการขอร้องล่วงหน้าจากห้องข้างๆ หรือเป็นแฟลชม็อบหรือเปล่า ผมพลางคิดเช่นนั้น แต่ก็มีบางคนก็ร้อง “แฮปปี้เบิร์ธเด้..ทู้ยู” กวนๆ หวังจะเด่นกว่าชาวบ้านเขา บางคนก็ตะโกนจนคอแทบแตก ถ้าเป็นแฟลชม็อบจริงคนพวกนี้ถือว่าเสียมารยาทเอามากๆ เเต่ดูจากสถานการณ์เเล้วคงจะร้องเอาสนุกซะมากกว่า
เสียงดังโถมใส่เข้ามาจากรอบทิศทางราวกับว่านี่เป็นสวนสัตว์ที่สัตว์ในกรงเห่าพร้อมกัน
หลังจากร้องจบ ก็ได้มีเสียงสาววัยเยาวรุ่นจากห้องข้างๆ พูดขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะ!” ทําให้ผู้ชายบางส่วนเริ่มฮึกเหิมและชักชวนเพื่อนไปส่องเจ้าของเสียง ในขณะที่ผู้หญิงในบริเวณนั้นมองดูด้วยสายตาอันเย็นชา
น่ากลัววุ้ย….
“ทําไมดูทําตัวตีตัวออกห่างขนาดนั้นล่ะ”
ท่าทางที่ผมคิดในใจได้เเสดงขึ้นผ่านใบหน้าของผม นารุมิมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มที่ทําให้ผมรู้สึกอึดอัด
“เเล้วนายไม่รู้สึกเเบบเดียวกันรึไง”
“ไม่อ่ะ ฉันว่าเเลดูสนุกดีออก”
“ตรงไหนละนั่น”
“งั้นเหรอ”
นารุมิทำหน้าตาเยาะเย้ยจนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ผมจึงชี้ไปยังโต๊ะที่ห่างออกไปเล็กน้อย
“เเล้วถ้าเห็นแบบนี้ล่ะ นายไม่รู้สึกอยากตีตัวออกห่างรึไง”
โต๊ะที่ปลายนิ้วชี้ไปนั้น คือโต๊ะที่มีกลุ่มชายหนุ่มกําลังรุมล้อมหญิงสาว
บทสนทนาของพวกเขาเริ่มจากการชักชวนให้หญิงสาวเข้าร่วมชมรมของพวกเขา จากนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการถามเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พอรู้ว่าใครโสด พวกเขาก็เริ่มทําตัวเองเด่นเพื่อดึงดูดฝ่ายตรงข้าม พอผู้สาวบอกว่า “ฉันไม่ชอบบุหรี่” พวกเขาก็ต่างพากันดับบุหรี่ทันที หรือพอบอกว่า “ฉันชอบคนที่มีเส้นเลือดที่แขน” พวกเขาก็พากันถลกแขนเสื้อขึ้นโชว์ทันที
“พอเจอเเบบนี้เเล้วตีตัวออกห่างเนี่ย นายนี่เป็นคนใสๆจังเลยนะ”
“กวนตีนฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย”
“เปล่าสักหน่อย” นารุมิยิ้มและโบกมือปฏิเสธ
“เเต่นายก็เป็นเเบบนั้นจริงๆนี่นา”
นารุมิพูดต่อพร้อมหัวเราะ แล้วมองมาด้วยสายตาที่เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ดูสิ ตอนนี้นายก็นั่งพิงกําเเพงเงียบๆ ไม่ขยับไปไหน ทั้งๆที่คนอื่นต่างพยายามสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ กัน”
“พยายามในด้านเเบบนั้นเนี่ย…”
ก่อนที่ผมจะพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากโต๊ะด้านใน
“ทุกคน! ฟังหน่อย!”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ เขาอาจจะเป็นตัวแทนของกลุ่มชมรมที่เกี่ยวกับดนตรีหรือกีฬาอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ชมรมเทนนิส
“มีเรื่องสําคัญที่ต้องประกาศให้ทราบครับ!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขากลับสร้างความรำคาญอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะคิกคักก็เริ่มดังขึ้น สายตาทุกคู่หันไปมองเขา…แต่แล้วก็มีคนซดจัมปงที่เหลืออยู่อย่างเงียบๆ เสียงซู้ดเส้นจัมปงดังขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เลยสักนิด ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่สนใจและพูดต่อไป
“นักศึกษาปีหนึ่ง คุณฮายาเสะ ยูโกะ!”
หญิงสาวที่นั่งกินจัมปงอยู่ลุกขึ้นยืน เธอทำหน้าตกใจราวกับไม่คิดว่าตนจะถูกเรียกให้ลุกขึ้นยืน เพื่อนๆ รอบๆ ก็บอกให้เธอยืนขึ้น เธอจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับมือหนึ่งจับผมของตัวเองด้วยความเขินอาย
「อ๊ะ นี่มัน…」เสียงฮือฮาดังขึ้น สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอ
ชายหนุ่มจัดผมของตัวเองและมองเธอด้วยสายตาอันเร่าร้อน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มองเขาเลยเพียงแค่ทำหน้าตาเขินอาย
จากนั้น ชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึกๆและพูดขึ้น
“ฉันไม่เคยตกหลุมรักใครตั้งเเต่เเรกพบมาก่อน ช่วยมาคบกับฉันได้ไหม”
ไอสายตาที่เเฝงไปด้วยการเหยียดหยามนั่นมันอะไร ถ้าผมไม่เมาคงจะรู้สึกกร่อยเเน่ๆ อย่างไรก็ตามคนที่เมากลับปรบมือให้
“Yes, I can! Yes, I can!”
เสียงเชียร์ดังขึ้นเรื่อยๆ เเต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ
แค่ตอบรับก็พอแล้ว!
เสียงแซวอันไร้ความรับผิดชอบถูกพูดขึ้นมา
ช่วยคบกับผมด้วย!
เสียงแซวตามใจตัวเองก็ถูกพูดขึ้นมาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม เธอไม่สนใจเสียงแซวเหล่านั้น เเล้วก้มหัวลงพร้อมพูดว่า
“ขอโทษค่ะ!”
คําปฏิเสธนั้นชัดเจนและแน่วแน่ แม้ว่ามันจะสื่อได้ดีอยู่แล้ว เธอก็ยังเสริมอีกว่า “คุณไม่ใช่สเป็กของฉันเลย!” ทำให้ฝ่ายขอเหมือนถูกของเเข็งทุบกลางอก
ชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองและถามว่า “จริงเหรอ?”
ไม่ช้านัก หญิงสาวก็ตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า
“จริงค่ะ”
เสียงหัวเราะและปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คนรอบๆ ต่างปรบมือเเละหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน นารุมิที่อยู่ข้างๆผมก็ เอากับเขาด้วย
“นายดูไม่ค่อยมีอารมณ์ขันเลยนะ” นารุมิพูดพลางตบหลังผมเบาๆ
“ฉันไม่ชอบคนที่ทําตัวเด่นตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ”
“ทำไมล่ะ ดูสนุกดีออก”
“บางทีฉันอาจจะไม่ชอบความมุ่งมั่นแบบนั้น จะว่ายังไงดี…คนที่ทำทุกอย่างอย่างสุดกำลังน่ะ”
“หรือว่านายคิดจะเปิดตัวตอนอยู่มหาลัย? เพราะมหาลัยเป็นที่ที่ไว้ทําอะไรเเบบนั้น”
“ฉันไม่ชอบการลงมือทำอะไรเเล้วสร้างปัญหาให้คนอื่นตามมาทีหลังน่ะ ไม่อยากแม้แต่จะสร้างคลื่นเล็กๆ ด้วยซ้ำ”
ผมคิดแบบนั้นจากใจจริง
การใช้ชีวิตอย่างไม่โดดเด่นไม่ทิ้งรอยอะไรให้ใครจำได้ มันง่ายกว่าตั้งเยอะ
ผมยอมทำตามคําสั่งเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาและชอบปรับตัวเข้ากับสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมไม่ชอบคือเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยตัวเอง
“ถ้าวันนี้นายไม่ชวน ฉันก็ไม่มาหรอก”
ผมหลุดพูดความในใจออกมาและกลับมามีสติอีกครั้ง
ปกติผมไม่พูดอะไรแบบนี้ บางทีผมคงจะหงุดหงิดมาก จนเผลอไป
อย่างไรก็ตาม การรู้สึกผิดนั้นดูจะไม่จำเป็นเลย นารุมิซึ่งเป็นคนมองโลกในบวก มองไปยังโต๊ะของหญิงสาวที่ปฏิเสธการสารภาพรักเมื่อสักครู่เเละพูดออกมาว่า “งั้นเราลองเเวะไปโต๊ะนั่นกันเถอะ”
เอาจริงดิ…ผมคิดเช่นนั้นเเละอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมขมับ
โต๊ะนั้นเต็มไปด้วยชายหนุ่มที่ล้อมรอบหญิงสาว แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเลย มองไกลๆ ดูเธอหน้าตาเธอขี้เหร่อะไรเลย ว่ากันตามตรง สวยมากด้วยซ้ำไป เเต่ผู้ชายกลับเลือกเข้าหา หญิงสาวที่เพิ่งถูกสารภาพรักเมื้อกี้เเละหญิงสาวที่นั่งข้างๆ สวยราวกับนางเเบบเเทน
ราวกับว่า…โลกของโต๊ะนั้นเเบ่งออกเป็นสองส่วน
จริงอยู่ที่ ความสวยอันโดดเด่นอาจทำให้ใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ พอเข้าไปคุยด้วยอีกฝ่ายเมินใส่ก็ได้หรือมีบุคลิกเเบบสาวทุ่นระเบิด³ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนเเต่สัญชาตญาณก็ได้บอกกับผมว่า ‘อย่าเข้าไปใกล้เธอ’
เเต่ทว่า นารุมิกลับไม่สนใจ เข้ามาจับแขนผมพร้อมกับพูดว่า “งั้นไปกันเถอะ”
“ขอโทษนะครับ ตรงนี้ว่างหรือเปล่า?” นารุมิถามพลางนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาว ส่วนผมถูกนารุมิให้นั่งข้างๆ เธอ
หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่า ฮายาเสะ พร้อมกับใบหน้าที่ดูท่าทางระมัดระวังตัวมาก
ในขณะเดียวกันนั่นเองหญิงสาวอีกคนที่ดูเหมือนนางแบบ ก็ได้กล่าวทักทายพวกเรา
“นารุมิ อุชิโอะครับ”
“โซราโนะ คาเครุครับ”
เมื่อผมโค้งหัวลงเล็กน้อย และดูเหมือนว่าหญิงสาวที่มีชื่อว่าฮายาเสะถอนหายใจ ราวกับจะพูดว่าช่วยไม่ได้เเฮะ
“ฉันชื่อ ฮายาเสะ ยูโกะ ส่วนคนนี้…”
“ฟุยุซึกิ โคฮารุ ค่ะ”
ฟุยุซึกิที่แนะนำตัวเองด้วยยิ้มอันนุ่มนวล ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
เธอสวยเกินไปจนผมรู้สึกกลัว
เมื่อเธอเงียบเธอกลายเป็นคนสวยขึ้นมาในทันใด กลับกันเมื่อเธอยิ้มก็กลายเป็นคนที่น่ารักขึ้น
ใบหน้าอันเรียวเล็ก ดวงตากลมโต ผมยาวสะท้อนกับแสงไฟ ทําให้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นไอดอลมากกว่านางแบบ
ความสวยทำให้รู้สึกเหมือนเธอเป็นสิ่งมีชีวิตจากอีกโลกหนึ่ง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเธอ
เธอมองตรงไปข้างหน้าเสมอ
เมื่อผมมองตามสายตาของเธอ ก็เห็นแต่ผนัง
ไม่ว่าผมจะมองยังไงก็ไม่เห็นว่ามีอะไรพิเศษที่ผนังนั้น แต่เพราะเธอมองมันอย่างตั้งใจ ผมก็เริ่มสงสัยว่ามีอะไรพิเศษอยู่ที่นั่น
เมื่อผมละสายตาจากผนังแล้วกลับมามอง ดูเหมือนว่าเธอกำลังควานหาบางอย่างบนโต๊ะ ตรงหน้าของเธอมีแก้วน้ำส้ม แต่เธอกลับไม่สามารถจับมันได้ทันที ราวกับกำลังอยู่ในหมอกหนาทึบ
เเต่เเล้ว ฮายาเสะแตะไหล่ฟุยุซึกิและพูดด้วยนํ้าเสียงเบาเเผ่วว่า
“โคฮารุจัง เเก้วน้ำอยู่ตรง 12 นาฬิกา”
“ขอบคุณนะ ยูโกะจัง”
ฟุยุซึกิยืดแขนตรงไปจับแก้วน้ำอย่างระมัดระวัง
ผมยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เเต่เเล้ว นารุมิถามฟุยุซึกิอย่างตรงไปตรงมา
“คุณฟุยุซึกิ สายตาไม่ดีเหรอครับ”
ผมรู้สึกประหลาดใจที่นารุมิกล้าเปิดปากถามข้อมูลละเอียดอ่อนขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจ เธอวางแก้วลงอย่างนุ่มนวลและยิ้มให้
“ใช่ค่ะ ฉันมองไม่เห็นค่ะ”
³ สาวทุ่นระเบิด (地雷系) เป็นลักษณะของผู้หญิงที่ภายนอกขัดกับบุคลิก นิสัยเเท้จริงเปรียบเสมือน ‘กับระเบิด’ ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เเต่พอได้เหยียบเข้าไปถึงรู้นิสัยลึกๆ ที่เเท้จริง
*
หลังออกจากอิซากายะแล้ว สายลมอันเย็นเฉียบก็พัดเข้ามากระทบกับแก้ม เป็นความเย็นที่พอเหมาะสําหรับร่างกายที่ร้อนผ่าว
หรือว่าอากาศในนั้นมันแย่กัน….จนตอนนี้อากาศที่เต็มไปด้วยไอเสียข้างถนนยังรู้สึกดีกว่าเลย
กลุ่มคนที่กำลังโห่ร้องดังน่าจะกำลังมุ่งหน้าไปสถานที่เลี้ยงที่ต่อไป หลังได้เสียงหัวเราะของกลุ่มคนดังแว่วจากไกลๆ
ตอนลุกออกจากที่นั่ง ฮายาเสะได้พูดกับผมเบาๆ เพื่อไม่ให้ฟุยุสึกิได้ยิน
“พอไอพวกนั้นรู้ว่าโคฮารุจังมองไม่เห็น ก็ลุกหนีกันไปหมดเลย”
“เพราะงั้นที่นั่งตรงนี้เหมือนเกาะร้างสินะ”
“เกาะร้าง?” ฮายาเสะเบิกตากว้าง
“ประมาณเกาะร้างบนบกน่ะ”
เมื่อผมพูดอย่างนั้น ฮายาเสะก็หัวเราะ “อะไรละนั่น”
พวกเราเดินจากพื้นที่งานเลี้ยงที่สึคิชิมะตามถนนคิโยสุมิโดริไปทางย่านมอนเซ็นนาคะโชว ผมกับนารุมิกําลังข้ามสะพานไอโออิไปยังหอพัก ส่วนฮายาเสะบอกจะพาฟุยุสึกิไปส่งก่อน แล้วค่อยขึ้นรถไฟใต้ดินกลับ
ฟุยุสึกิเดินอยู่บนทางอักษรเบรลล์สีเหลืองโดยใช้ไม้เท้าที่เรียกว่าฮาคุโจว⁴
ฮายาเสะที่เดินอยู่ข้างๆ คอยจับเเขวนของฟุยุสึกิ ส่วนนารุมิก็พูดคุยกับทั้งคู่ไม่หยุด
เมื่อเดินตามแนวถนนหลวง เสียงของทั้งสามคนที่เดินข้างหน้าเริ่มถูกเสียงรถที่สัญจรผ่านมากลบ
⁴ ฮาคุโจว (白杖) เป็นไม้เท้าสําหรับผู้มีปัญหาทางสายตา
เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ก็สังเกตเห็นว่าวันนี้เป็นคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์สว่างจ้า เมืองก็สว่าง เเต่มองไม่เห็นดาว ถึงกระนั้นไฟจากอาคารคอนโดที่ส่องเป็นจุด ๆ นั้น ดูเหมือนดาว พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่ระหว่างอาคารคอนโดสูง ราวกับว่าพระจันทร์ลอยอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว นี่แหละคือทิวทัศน์ของเมืองใหญ่
พระจันทร์ดวงนี้ เธอก็คงมองไม่เห็นเหมือนกันสินะ
──ฉันมองไม่เห็นค่ะ
ฟุยุสึกิพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ถ้าผมตาบอด จะทำยังไงกันนะ จะขังตัวเองในห้องแล้วสาปแช่งโชคชะตาของตัวเอง? หรืออาจจะรู้สึกหมดหวังทั้งเวลากินข้าว ทั้งเวลาจะเดินไปไหน คงจะรู้สึกผิดที่เป็นภาระคนอื่น มันคงจะยากลำบากแน่ ผมคงทําตัวสดใสไม่ได้
“ทำไมถึงคิดจะมางานเลี้ยงต้อนรับทั้งๆ ที่มองไม่เห็นล่ะ?” นารุมิถามคำถามนั้นในระหว่างงานเลี้ยงด้วยน้ำเสียงไม่สุภาพนัก แต่ฟุยุสึกิก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนน่ะค่ะ”
ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของฟุยุสึกิ เเต่เเล้วเสียงดังขึ้นจากข้างๆ ว่า “พึมพําอะไรอยู่น่ะ”
ผมสะดุ้งเผลอพึมพําออกมา
ฮายาเสะมองมาทางผมอย่างงงงวย
“เอ๋ ฉันโดนเกลียดเหรอ?”
“เปล่าๆ”
“ล้อเล่นน่า~”
ฮายาเสะทำหน้ามุ่ยแล้วหัวเราะในทันที ตอนท้ายของงานเลี้ยงเราสี่คนคุยกันมากขึ้น ดูเหมือนความอึดอัดตอนแรกๆ ของเธอหายไปแล้ว
“ปล่อยมือเธอคิดดีเเล้วหรอ?”
ฟุยุสึกิที่เดินข้างหน้าด้วยตัวเองบนทางอักษรเบรลล์
“ถ้าทางอักษรเบรลล์ไม่มีสิ่งกีดขวางก็เดินเองได้น่ะ แต่ถ้าไม่ได้ขอความช่วยเหลือก็ไม่ควรไปจับมือช่วย”
“รู้จักฟุยุสึกิมานานเหรอ?”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เห็นเธอช่วยฟุยุสึกิน่ะ เลยคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“อ๋อ รู้จักโคฮารุจังช่วงปฐมนิเทศน่ะ ด้วยความที่ที่นั่งเรียงตามลำดับตัวอักษร⁵ ก็เลยได้นั่งข้างกันน่ะ”
“อย่างงี้นี่เอง”
“เเล้วรู้จัก ‘ไกด์นักศึกษา’ ของมหาลัยไหม? ที่เขารับสมัครบนบอร์ดประกาศน่ะ”
“ไม่อ่ะ”
“ก็นะ ฉันคิดไว้อยู่เเล้วต้องตอบเเบบนั้น เพราะมีแค่บางคนเท่านั้นเเหละที่รู้ ไกด์นักศึกษาคือการช่วยเหลือนักศึกษาที่มีความพิการน่ะ ช่วยเรื่องเรียน การเดินทาง จนไปถึงเรื่องการกินน่ะ”
⁵ ลําดับตัวอักษรญี่ปุ่นอิงตามฮิรางานะโดยชื่อของทั้งสองอยู่วรรคฮะ は(ฮะ), ひ(ฮิ), ふ(ฟุ), へ(เฮะ), ほ(โฮะ)
ฮายาเสะอธิบายว่า งานนี้เป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่ช่วยเหลือผู้พิการในมหาวิทยาลัยตามคำร้องขอ สําหรับผมเเล้ว ผมคิดว่าเธอเป็นคนน่ายกย่อง แต่ก็รู้สึกไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน อย่างวันนี้ฟุยุสึกิขอความช่วยเหลือจากเธอให้พามางานเลี้ยง เธอก็จัดการให้ บางทีก็มีคนเเบบนี้อยู่ คนที่ตรงข้ามกับตัวเองโดยสิ้นเชิง
“โดยพื้นฐานเเล้ว เราจะไม่ควรเข้าไปช่วยถ้าอีกฝั่งไม่ได้ขอ แต่ด้วยความที่ฉันยั้งมือตัวเองไม่เป็นก็เลยชอบเข้าช่วยอยู่เสมอเลย”
“งั้นเหรอ?”
“ก็เพราะคิดว่าเขาช่วยตัวเองไม่ได้น่ะ” ฮายาเสะพูดพร้อมกับก้มหน้าลง
แน่นอนว่าคงไม่มีคนชอบถ้ามีใครมายุ่งเเละดูเเลตนเองเด็ก
“ฟุยุสึกิบอกว่า อยากมางานเลี้ยงตั้งแต่เข้ามหาลัยเลยล่ะ”
ฮายาเสะพูดด้วยเสียงเบาพร้อมพูดต่อท้ายด้วย “สุดยอดไหมล่ะ”
“จริงสิ!”
ฮายาเสะเงยหน้าด้วยท่าทางเกินจริง
“โซราโนะคุงเนี่ย เรียนสาขาเดียวกันกับฉันใช่ไหม?”
“ฮายาเสะก็เรียนโลจิสติกส์เหรอ?”
“อืม โคฮารุจังก็เรียนสาขานั้นเหมือนกัน”
“เห งั้นมีเเค่นารุมิที่ไม่เหมือนใครสินะ”
“โซราโนคุงเนี่ยได้ลงคอมไซน์รึเปล่า?”
“ที่คลาสเช้าวันจันทร์วันจันทร์สินะ ลงสิ”
“ทางนี้ไม่ได้ลงน่ะ”
“เลคเชอร์วิชานั่นก็ดีอยู่หรอก…เเต่ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”
“จะว่าไป โคฮารุจังก็พูดคล้ายๆเเบบนั้นเหมือนกัน”
“ฟุยุสึกิน่ะเหรอ?”
พอลองคิดดูเเล้ว เหมือนเห็นคนรูปร่างคล้ายๆ ฟุยุสึกินั่งข้างหลังอยู่เหมือนกัน แต่เพราะไม่ได้สนใจอะไรเลยจำไม่ได้
ขณะที่ผมกำลังพยายามนึกย้อนอยู่นั่นฮายาเสะก็ถามขึ้นมา
“โซราโนะคุงไม่สนใจเป็นไกด์นักศึกษาเหรอ?”
ผมได้กลิ่นตุๆจากบทสนทนา สถานการณ์ชักไม่ดีเเล้ว
“ทำไมล่ะ?”
เป็น “ทําไมล่ะ?” ที่ออกไปทางปฏิเสธ
เเต่ฮายาเสะไม่มีสนใจเเล้วพูดต่อ
“เพราะฉันไม่ได้ลงวิชานั้นเลยช่วยโคฮารุจังไม่ได้ เลยอยากจะไหว้วานอยากให้นายเเทนน่ะ พอจะได้ไหมนะ?…เเค่วิชานั้นก็พอ”
“เอ่อ…”
“ถ้าตอบรับจะดีมาก เเต่ถ้าไม่ได้ก็คงต้อง…”
ไม่รู้ว่าจะเรียกจุ้นจ้านไปหรือยุ่งเรื่องคนอื่นไม่เข้าเรื่องดี เเต่การเต็มใจที่จะดูแลผู้คนขนาดนี้ ผมคิดว่ามันสุดยอดจริงๆ
ขณะที่ผมกำลังดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้า
ฟุยุสึกิยืนตัวสั่นอยู่ข้างจักรยานที่ล้มลง ดูเหมือนว่าไม้เท้าที่เธอใช้ไปชนเข้ากับจักรยานที่จอดอยู่บนแถบอักษรเบรลล์
“เป็นอะไรไหม?” ฮายาเสะรีบวิ่งไปหาฟุยุสึกิ
“ขอโทษนะ ไม่ได้สังเกตเลย” นารุมิพูด
ผมกําลังก้าวไปช่วย แต่ก็ได้หยุดก้าวนั้นไว้ หลังเห็นนารุมิพยายามตั้งจักรยานขึ้น
“ขอโทษนะ!”
ฟุยุสึกิขอโทษ ผมได้เเต่ยืนนิ่งดูเธอ
“ไม่เป็นไรๆ จักรยานเก่าขนาดนี้ใครๆ ก็ชนล้มได้”
ขาตั้งพังเหรอ ผมพลางคิดเช่นนั้นหลังนารุมิพยายามตั้งจักรยานขึ้นเเต่ไม่ยอมตั้งตรงสักที ฮายาเสะขมวดคิ้วกลับมา
“ช่วงนี้เริ่มมีคนเอาจักรยานมาจอดทับแถบอักษรเบรลล์น่ะ อยากให้ผู้คนรู้เรื่องนี้มากขึ้น”
“นั่นสินะ”
ผมตอบกลับอย่างอัตโนมัติ ฮายาเสะที่ได้ยินเเบบนั้นก็ดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อยก่อนพูดว่า “ใช่ไหมล่ะ!” จากนั้นก็วกกลับมาพูดเรื่องไกด์นักศึกษาอีกครั้ง
ผมหวังว่าเรื่องจักรยานล้มจะทำให้เธอลืมเรื่องนั้นไป ถึงกระนั้นเธอกลับพูดต่อ
ผมจึงทำท่าทางกําลังครุ่นคิดแล้วตอบไปว่า “ขอคิดดูก่อนนะ”
นี่ก็เป็นการปฏิเสธที่อ้อมๆ อีกครั้ง
ถึงอย่างนั้น ฮายาเสะผู้ไม่ยอมแพ้ก็ได้พูดขึ้นมา “เดี๋ยวฉันให้ช่องทางติดต่อไปนะ” ขณะที่ผมพยายามปฏิเสธเธอ เธอก็โชว์ QR Code LINE ด้วยเหตุนั้นผมจึงยอมตกลงแลกไอดีกับเธออย่างไม่เต็มใจนัก เธอยิ้มแล้วพร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าโคฮารุจังมีปัญหาก็ช่วยหน่อยนะ” ก่อนเดินไปหาฟุยุสึกิ
งามไส้เเล้วไง
“บอกไปเเล้วไง”
──ว่าเราไม่ถนัดเรื่องแบบนี้
คําพูดนั้น เกือบหลุดออกมาจากลําคอ แต่ก็กลืนลงไปเสียก่อน
ผมย้ายบ้านหลายต่อหลายครั้งตั้งเเต่เด็ก
แม่หม้ายเลี้ยงดูผมคนเดียว
ตอนแรกอยู่กับปู่ย่า พอปู่ย่าป่วยก็ต้องย้ายไปอยู่กับป้า หลังจากป้ากับแม่ทะเลาะกันก็ย้ายไปอยู่กับญาติที่ไกลออกไป ครั้งหนึ่งยังเคยไปอยู่กับเพื่อนของแม่ที่ไม่ใช่ญาติด้วยซํ้า ที่ไหนก็เหมือนกันหมด ถ้าทําตัวหยิ่งผยองเกินก็ถูกเกลียด สุภาพเกินก็ถูกเกลียด ที่โรงเรียนใหม่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าทําตัวเด่นเกินก็จะถูกเกลียด เพราะงั้นผมเลยทําตัวไม่เกี่ยวข้องกับใคร ผมได้เรียนรู้จากการอ่านบรรยากาศเเล้วทําให้ตัวเองกลมเกลียวไปกับบรรยากาศนั้นพร้อมกับอ่านใบหน้าของคู่สนทนาให้ออก สุดท้ายเเล้วใครๆ ก็ชอบที่จะอยู่ตรงกลาง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ก่อนผมจะรู้ตัวอีกทีนั่นก็กลายเป็นความถนัดของผมซะเเล้ว
เมื่อมองขึ้นไป ก็เห็นเมฆปกคลุมพระจันทร์อยู่
แสงจันทร์สลัวๆ ท่ามกลางตึกสูงทำให้รู้สึกสวยงามแต่ก็รู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย
“แมนชั่นนี้รึเปล่า?”
ฮายาเสะหยุดเดิน
ตอนนี้เราอยู่ที่ฐานของสะพานไอโออิ ถ้าข้ามสะพานไปก็จะถึงมหาลัย
“สวยดีนะ” นารุมิพูดขึ้นพร้อมมองแมนชั่น
ตรงหน้าผมมีแมนชั่นสูงห้าสิบชั้นสองตึกเรียงต่อกัน มีบันไดสั้นและทางลาดสำหรับรถเข็น พอมองลึกเข้าไปเป็นทางเดินยาวไปยังทางเข้าซึ่งมีน้ำตกที่ไหลผ่านกระจกอยู่ พอมองดูแล้วรู้สึกว่าเป็นแมนชั่นระดับคนมีเงินมาอยู่กัน ผมคิดว่าฟุยุสึกิเป็นคนเรียบร้อย แต่ตอนนี้มั่นใจเเล้วว่าเธออาจเป็นคนมีฐานะด้วย
ฮายาเสะจับราวทางขึ้นให้ฟุยุสึกิ ฟุยุสึกิใช้ไม้เท้าตีกับแถบอักษรเบรลล์ แล้วพูดขอบคุณพร้อมกับโค้งหัว
ถ้างั้นเเยกย้ายกันตรงนี้เเล้วกัน ราตรีสวัสดิ์
ราตรีสวัสดิ์
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
พวกเราพูดและโบกมือลากัน
ทันใดนั้นเอง เสียง ‘ปัง’ ได้ดังขึ้น แสงสีแดงสะท้อนมายังหน้าต่างแมนชั่น
เสียง “ปัง” ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หน้าต่างแมนชั่นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง น้ำเงิน เเละแดงสลับไปมา
นารุมิชี้ไปยังอีกฝั่งของสะพานไอโออิ
“นั่นไง”
ฮายาเสะเดินออกมาจากทางลาดเเล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ตรงนั้นมหาลัยไม่ใช่หรอ ทําไมถึงมีดอกไม้ไฟได้ล่ะ?”
ทันใดนั้น ฟุยุสึกิก็พูดขึ้น “อะ…เอ๊ะ ดอกไม้ไฟเหรอคะ?” แล้วพยายามวิ่งลงมาตามทางลาดแต่เเล้วก็ได้เสียหลัก
“อันตราย!”
ผมรีบพยุงฟุยุสึกิขึ้นมา
เมื่อสัมผัสที่ฝ่ามือของเธอ ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบ
“มือของโซราโนะคุงเนี่ยอุ่นจังนะคะ”
ฟุยุสึกิพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เมื้อกี้เกือบไปเเล้วไหมล่ะ ระวังตัวหน่อยสิ”
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
พอพาฟุยุสึกิมาถึงยังทางเดิน ดอกไม้ไฟก็จบลงแล้ว
“พลาดซะแล้วนะคะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะขบขัน ผมมองเธอด้วยความสงสัย
“มองเห็นหรือเปล่า?”
เมื่อถามขึ้น เธอก็ตอบพร้อมหันหน้ามาทางผม
“ไม่เห็นค่ะ”
“แต่ฉันชอบดอกไม้ไฟค่ะ”
“ชอบเหรอ”
──ทั้งๆที่มองไม่เห็นน่ะเหรอ?
ผมกลืนคำพูดนั้นลงไป
“สักวันหนึ่งฉันอยากลองจุดดอกไม้ไฟกับเพื่อนๆ ค่ะ”
ฟุยุสึกิยิ้ม
ผมนึกสงสัย ในโลกที่มองไม่เห็น เธอจะจุดดอกไม้ไฟได้ยังไง เเล้วรูปร่างหน้าตาของดอกไม้ไฟจะเป็นยังไง
อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามท่ามกลางความมืดมิดสนิท
อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางเสียงระเบิดดังก้อง
คงจะเป็นแบบนั้นกระมัง
เเต่เธอกลับพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างมีความสุข
เธอทําตัวเสแสร้งอยู่หรือพูดจากใจจริง เราไม่รู้
เเต่สําหรับผมเเล้ว ผมคิดว่าเธอเป็นคนแปลก
“โซราโนะคุง”
ฮายาเสะกระซิบที่ข้างหูผม
“โคฮารุจัง น่ารักใช่ไหมล่ะ?”
ผมไม่ปฏิเสธเเละตอบตกลง
“โคฮารุจังไม่ใช่เเค่น่ารักหรอกนะ ทั้งเท่ด้วยล่ะ”
ก่อนจะลาจากกัน ฮายาเสะก็ยังคงตามเซ้าซี้ “ถ้าช่วยได้ก็ช่วยหน่อยน้า” จนเกือบทําผมหลุดปากว่า “ไม่ไหวหรอก” ไปหลายครั้ง
ขอแค่ผ่านไปได้ก็พอ ผมคิดเช่นนั้น
เเละสุดท้ายผมก็ผ่านมันมาได้
¹ ชัมปง (ちゃんぽん) เป็นเมนูเส้นญี่ปุ่นจากจังหวัดนางาซากิ ซึ่งได้รับเเรงบันดาลใจมาจากจีนอีกที
² อิซากายะ (居酒屋) เป็นชื่อเรียกร้านดื่มสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะขายเหล้าพร้อมกับเเกล้มเบาๆ
³ สาวทุ่นระเบิด (地雷系) เป็นลักษณะของผู้หญิงที่ภายนอกขัดกับบุคลิก นิสัยเเท้จริงเปรียบเสมือน ‘กับระเบิด’ ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เเต่พอได้เหยียบเข้าไปถึงรู้นิสัยลึกๆ ที่เเท้จริง
⁴ ฮาคุโจว (白杖) เป็นไม้เท้าสําหรับผู้มีปัญหาทางสายตา
⁵ ลําดับตัวอักษรญี่ปุ่นอิงตามฮิรางานะโดยชื่อของทั้งสองอยู่วรรคฮะ は(ฮะ), ひ(ฮิ), ふ(ฟุ), へ(เฮะ), ほ(โฮะ)
อยากให้สับตอนย่อยหรืออ่านตอนยาวๆทั้งตอนเเบบนี้?