ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) - ตอนที่ 3.2
隣のクーデレラを甘やかしたら、ウチの合鍵を渡すことになった
[ตอนที่ 3.2: คุกกี้ที่ทำครั้งแรก]
“ใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยแฮะ..”
ขณะที่หรี่ตามองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกดิน นัตสึโอมิก็กำลังเดินกลับจากห้องพักครูไปที่โบสถ์พร้อมกับถือถุงที่เต็บไปด้วยกระดาษที่ถูดยัดเยียดใส่มือทั้งสองข้างโดยคาสึมิ
อันที่จริงนี่มันโครตจะหนักเลยคงไม่แปลกที่ร่างเล็กๆของคาสึมิจะยกไม่ไหวแต่อย่างน้อยเธอก็มาช่วยฉันขนไปที่โบสถ์หน่อยสิฟระ
พอเดินใกล้ถึงผมก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาออกมาจากประตู
“ทำนองแบบนี้นี่มัน…”
เป็นเสียงที่ไพเราะและแสนจะคุ้นเคยที่เล็ดลอดออกมาจากประตูที่หนาทึบ
นัตสึโอมิได้เปิดประตูออกเบาๆและพยายามที่จะกลั้นเสียงหอบที่เกิดจากความเหนื่อย
จากนั้นเขาก็ได้พบกับวิลเลียสซังที่กำลังร้องเพลงอยู่คนเดียวในโบสถ์เพลงที่เธอกำลังร้องอยู่ในขณะนี้ก็คือเพลง “The lord of salvation” ซึ่งเป็นเพลงที่มักจะถูกใช้ในพิธีสักการะในวันอิสเตอร์
ถึงจะไม่มีดนตรีประกอบแต่เสียงนั้นก็ชัดเจนนุ่มนวลและอ่อนโยนมากๆ
แสงจากอาทิตย์ยามเย็นส่องไปที่เธอราวกับสปอตไลท์เสียงที่แผ่วเบาของเธอนั้นก้องกังวานไปทั่วทั้งโบสถ์เป็นฉากที่ชวนให้หลงใหลเป็นอย่างมาก
การร้องเพลงของวิลเลียสซังทำให้ผมขนลุกและยังทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากที่ไหนสักแห่งอีกด้วย
“อ่ะ…?!คาตา..กิริ-..ซัง”
พอวิลเลียสสังเกตเห็นนัตสึโอมิเธอก็ตกใจและได้หยุดร้องเพลง
ดวงตาสีฟ้าครามของเธอก็กลมโตขึ้นพร้อมกับเอามือไปไว้ที่หน้าอกจากนั้นเธอก็มองไปที่นัตสึโอมิด้วยสายตาที่เหมือนลูกแมวกำลังหวาดกลัว
“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเลยนะ…”
นัตสึโอมิได้ขอโทษแบบเดียวกันเหมือนกับวันแรกจากนั้นก็ยิ้มแห้งๆและเดินเข้ามาในโบสถ์ก่อนที่จะปิดประตูส่วนวิลเลียสก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเบือนหน้าหนี
“เสียงของวิลเลียสซังดีจังเลยนะ คุณเคยเป็นนักร้องประสานเสียงจากที่อังกฤษรึเปล่า?”
นัตสึโอมิได้วางถุงที่เต็มไปด้วยกระดาษไว้บนม้านั่งในโบสถ์ก่อนที่จะถามวิลเลียส
เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ตอนอยู่ที่ระเบียงเลยเธอไม่ได้อยู่ในระดับที่ร้องเพลงเป็นงานอดิเรกแต่เป็นระดับที่คุ้นชินกับการร้องเพลงมานาน
ถึงเธอจะไม่ได้นับถือศาสนาแต่เธอก็ได้เข้ารับชื่อในพิธีบัพติศมาแถมเธอยังร้องเพลงโดยที่ไม่ต้องดูเนื้ออีกคงไม่แปลกเลยล่ะถ้าเธอจะเคยเป็นนักร้องประสานเสียงและก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ปฏิเสธอีกด้วย
“เธอจะสมัครเข้าเป็นนักร้องประสานเสียงก็ได้นะถ้าอยากหารายได้เพิ่ม”
เหมือนกับผมที่เป็นนักเล่นออร์แกนและพวกนักร้องประสานเสียงก็คงจะไม่ปฏิเสธเธอแน่ๆ
โดยเฉพาะงานแต่งงานปกติพวกเขาจะจ้างนักร้องมาแต่ถ้าเป็นวิลเลียสที่ดูจะมีแววด้านนี้ละก็คงได้รับโอกาสมากมายแน่ๆ
ถ้าเธอทำแบบนี้ผมฟันธงได้เลยว่าเธอจะมีรายได้ที่ดีกว่านี้แน่
จากนั้นวิลเลียสก็เผยรอยยิ้มเล็กๆที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าออกมาให้เห็น
“ฉันไม่สามารถร้องเพลง..ได้อีกแล้วค่ะ”
เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะไปร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นค่ะ…”
สีหน้าที่เยือกเย็นของเธอทำให้นัตสึโอมิพูดไม่ออก
รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นมันเหมือนกับครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันมันเป็นรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้างที่เต็มไปด้วยการดูถูกตัวเอง
วิลเลียสได้ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและผมของเธอก็ได้ร่วงลงมาปกปิดใบหน้าเอาไว้ราวกับว่าเธอไม่อยากให้นัตสึโอมิเห็นหน้าเธอและอย่าถามอะไรไปมากกว่านี้
น้ำเสียงของเธอในตอนนั้นก็ดูเหมือนจะกล้ำกลืนพูดออกมามันเลยทำให้นัตสึโอมิอึ้งไปสักพักเลยจากนั้นนัตสึโอมิก็ได้รู้ว่านี่เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและไม่ควรพูดออกมา
“…ขอโทษครับ ผมไม่น่าถามอะไรแบบนั้นออกไปเลย”
“ไม่ค่ะ ฉันควรที่จะเป็นคนขอโทษมากกว่าซะอีก”
วิลเลียสได้เงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้าง
“งั้นฉันช่วยยกถุงนี่เข้าไปนะคะ”
วิลเลียสได้เอามือทั้งสองข้างยกถุงนึงที่วางอยู่บนม้านั่งขึ้นมาจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องทำงานหลังโบสถ์
ส่วนนัตสึโอมิก็เอนหลังพิงม้านั่งพร้อมกับหลับตานึกถึงเสียงของวิลเลียสก่อนหน้านี้
(….อะไรกันเนี่ยเสียงออกจะดีแท้ๆทำไมถึงได้ขาดความมั่นใจกันล่ะ?)
นัตสึโอมิได้คิดอยู่ในใจพร้อมกับนึกถึงเพลงที่วิลเลียสร้อง
มันคงจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอสินะและนั่นก็เป็นสิ่งที่คนแปลกหน้าอย่างผมไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วย
ถึงจะรู้ว่าไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งก็เถอะแต่ไอ้ความรู้สึกที่คันยุบยิบในใจนี่มันอะไรกัน
“……เอาเถอะทุกคนก็คงมีปัญหาเป็นของตัวเองล่ะนะ”
นัตสึโอมิได้พึมพำออกมาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่งมากกว่านั้นก่อนที่จะถือถุงที่เหลือเข้าไปในห้องทำงาน
“….”
“คาตากิริซัง นี่…เอ่อคือฉันไม่ค่อยมันใจว่านี่จะเป็นสิ่งตอบแทนได้รึเปล่า…แต่ว่า”
หลังจากที่วางแผ่นพับเอาไว้บนชั้นวางเสร็จแล้ว วิลเลียสก็ได้ยื่นถุงกระดาษเล็กๆมาทางนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ขอโทษขอโพย
“ฉันได้ไปรบกวนที่บ้านของคุณเมื่อวันก่อนเพราะงั้นฉันอยากที่จะขอบคุณและขอโทษค่ะ ถึงมันจะช้าไปหน่อยก็เถอะ..”
ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าเธอขอโทษเรื่องอะไรแต่ผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความยินดี
ขนาดของมันประมาณสองฝ่ามือและน้ำหนักก็ไม่ได้หนักอะไรเลยจากนั้นผมก็ได้ชะโงกดูของข้างในด้วยความอยากรู้
“นี่คือ….?”
“เอ่ออ มันคือของขวัญแทนคำของคุณสำหรับอาหารที่คุณแบ่งเอามาให้เมื่อวันก่อนค่ะ คือว่าซุปผัก,เนื้อ และมันฝรั่งอร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
วิลเลียสโค้งตัวขอบคุณส่วนนัตสึโอมิก็พยักหน้าตอบ
“จริงๆคุณไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะเพราะผมเต็มใจให้เองอยู่แล้ว แต่ว่าขอเปิดมันตรงนี้ได้ไหม?”
“ค่ะ ตะ..แต่ว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะงั้น..ชะ..เชิญค่ะ”
วิลเลียสขอโทษออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากนั้นเธอก็หลบสายตานัตสึโอมิพร้อมกับพูดตะกุกตะกัก
เมื่อนัตสึโอมิอ้าถุงออกมาก็เห็นถุงใสๆอยู่ข้างในจากนั้นเขาก็หยิบขึ้นมาก็พบว่าในนั้นมันคือคุกกี้ที่หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง
เพราะว่าบางชิ้นก็หน้าตาปกติแต่บางชิ้นก็ไหม้เกรียม
“คือว่านี่…ทำเองงั้นเหรอครับ?”
พอนัตสึโอมิถามเธอไป วิลเลียสก็พยักหน้าด้วยความอายสุดขีด
“ในตอนที่ฉันพยายามหาวิธีที่จะตอบแทนคุณรวมถึงเรื่องที่คุณสอนฉันหารายได้รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่าย…ฉันก็ได้ไปเจอกับสูตรนี้ในตอนที่ไปซื้อข้าวกล่องลดราคาจากนั้นฉันก็พยายามทำตามคาตากิริ- แต่ว่าสภาพก็เป็นอย่างที่เห็นเลยค่ะ ขอโทษนะคะ”
วิลเลียสขอโทษออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้มาประกบกันด้วยความเขินอาย
เหมือนผมจะเคยเห็นสูตรคุกกี้โฮมเมดนี่ที่ตลาดนะมันเป็นสูตรที่ใช้เวลาทำไม่นานและใช้วัตถุดิบไม่เยอะเพราะใช้แค่แป้ง
“มันคงจะแปลกสินะคะที่คนอย่างฉันที่ไม่เคยเข้าครัวเลยมาทำของกินเป็นของตอบแทนให้กับคาตากิริซังที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มานาน….ถึงแม้ว่าจะใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็เถอะแต่ฉันก็อยากลองพยายามดู”
วิลเลียสพูดต่อเพื่อแก้ตัวพร้อมกับหมุนนิ้วชี้
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเลยล่ะที่เจ้าหญิงผู้เย็นชาในตอนนั้นจะมีท่าทางที่เขินอายได้ขนาดนี้
(…..เธอเองก็เขินเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาสินะ)
นัตสึโอมิได้ยิ้มให้กับวิลเลียสที่กำลังพูดแก้ตัวอยู่จากนั้นเขาก็หยิบคุกกี้จากในถุงโยนเข้าปาก
“อ๊ะ…”
วิลเลียสได้ส่งเสียงสั้นๆออกมาพร้อมกับกลั้นหายใจ
เธอได้จ้องไปที่หน้าของนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ลุ้นระทึก
“อร่อยแฮะ คุณทำได้สุดยอดไปเลยละ”
คุกกี้นั้นถูกอบมาอย่างดีมันละลายในปากของผมอย่างช้าๆส่วนรสชาติก็มีรสที่เข้มข้นและความหวานของเนยตัดกันได้สมดุดสุดๆและยังมีเกลือที่เพิ่มรสชาติให้มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก
นี่เป็นการอบคุกกี้ครั้งแรกก็แปลกหรอกที่จะใช้อุณภูมิของเตาอบไม่ถูกเพราะงั้นมันเลยส่งผลให้มีความนุ่มจนเกินไปหรือไหม้เกรียมจนแข็งมาก ถึงแม้ว่าภายนอกของคุกกี้นี่จะดูเป็นแบบนี้ก็เถอะแต่รสชาติของมันก็ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต
ทันทีที่ใบหน้าของนัตสึโอมิคลายลง วิลเลียสก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับมองไปยังนัตสึโอมิที่กำลังเอาอีกชิ้นเข้าปาก
“ฉันดีใจนะคะที่คุณชอบมัน การที่ได้เห็นคนอื่นชอบอาหารของตัวเองนั่นมันทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆเลยค่ะ”
วิลเลียสมองไปที่นัตสึโอมิพร้อมกับรอยยิ้มที่สมวัยของเธอ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอในตอนนี้ไร้เดียงสาซะจนผมเกือบทำคุกกี้ที่อยู่ในมือหล่นมันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขและสดใสมาก
“มันสุดยอดจริงๆนะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นครั้งแรก…”
นัตสึโอมิโดยความเสียหายคริจากรอยยิ้มนั่นเต็มๆเขาถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขิน
แต่เขาก็พยายามพูดออกมาโดยที่โยนคุกกี้เข้าปากไปอีกชิ้นเพื่อปกปิดความเขินของตัวเอง
และพยายามที่จะไม่ให้วิลเลียสสังเกตเห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้ ผมไม่ได้อวยนะแต่มันอร่อยจริงๆนี่นา
หลังจากที่กินคุกกี้เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วนัตสึโอมิก็ได้พูดขอบคุณสำหรับของอร่อยๆแบบนี้
“ขอโทษนะครับ ที่ต้องให้มาเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ มันเทียบไม่ได้เลยกับอาหารที่คาตากิริซังทำให้ฉันก่อนหน้านี้ แถมนี่ก็เป็นเงินจากงานของฉันด้วยฉันเลยคิดว่าไม่เป็นไรเพราะว่าได้ใช้เงินเพื่อจุดประสงค์แบบนี้”
ดวงตาสีฟ้าครามของเธอได้หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากเลยนะ”
“ค่ะ ฉันก็ด้วย”
นัตสึโอมิพยักกลับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆส่วนวิลเลียสเธอก็ยิ้มให้นัตสึโอมิอย่างผ่อนคลายพร้อมกับใช้นิ้วเกาสันจมูกเพื่อซ่อนใบหน้าที่เขินอายเล็กน้อยของเธอ
“นี่เป็นครั้งแรกจริงๆเหรอครับถ้าจริงผมคิดว่าคุณต้องมีพรสวรรค์ในด้านนี้แน่ๆ”
“ถ้าคุณชอบมัน….ฉันก็โล่งใจแล้วค่ะ”
วิลเลียสได้หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจงใจ
“…หรือนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณทำ?”
พอนัตสึโอมิพูดแบบนั้นไปใบหน้าของวิลเลียสก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่องที่จะนั่งยองๆขดตัวเหมือนลูกบอล
“ค่ะ คืออันที่จริงตอนที่ฉันทำมันค่อนข้างที่ย่ำแย่ฉันเลยทำมันวนไปวนมาถึงสี่ครั้งค่ะ ขอโทษที่ทำได้แค่นี้นะคะ”
“วิลเลียสซังเนี่ยเป็นประเภทที่โกหกไม่ได้เรื่องนี่เอง”
นัตสึโอมิอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับเรื่องที่ว่าวิลเลียสนั้นเป็นคนที่โกหกได้แย่สุดๆ
วิลเลียสขมวดคิ้วขึ้น ตัวเธอในตอนนี้มีท่าทางที่เขินจัดทำให้เธอดูตัวเล็กสุดๆไปเลย
“ไม่ต้องอายไปหรอกครับก็นี่เป็นครั้งแรกนี่นา”
“จะไม่ให้อายได้ไงกันคะ ก็ฉันต้องทำถึงสี่ครั้งเลยหนิคะ”
“ถ้างั้นผมที่ฝึกทำคาราอาเกะซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับไม่ถ้วนนี่ผมควรจะทำตัวยังไงดีครับเนี่ย”
“เอ๊ะ แม้แต่คาตากิริซังที่ทำอาหารเก่งซะขนาดนั้นก็เจออะไรที่ยากลำบากแบบนั้นด้วยเหรอคะ?”
“ใช่ครับ ในตอนนั้นแค่ไข่ม้วนผมยังทำผิดๆถูกๆอยู่เลยครับ”
นัตสึโอมิหวนคิดถึงอดีตของตัวเองพร้อมยิ้มแห้งๆออกมา
สิ่งที่ผมคิดในอดีตก็คือ “แค่ไข่มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียวก็แค่ตอกไข่แล้วลงกระทะโครตจะอีซี่”แต่พอทำจริงๆกลับไม่ใช่แบบนั้นถ้าอยากจะให้มันออกมาอร่อยก็ต้องใช้ปริมาณของน้ำมันให้เหมาะสม การใช้อุณภูมิ และต้องมาคอยดูว่าไข่ทั้งสองด้านนั้นสุดแล้วรึยัง
และปีที่แล้วผมก็ได้รู้ตัวด้วยว่าการทำอาหารนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ เพราะงั้นทุกคนต้องเคยผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วเพื่อตามหารสชาติที่ตนชอบ
ในกรณีของผมนั้น ผมให้เคย์และพี่สาวเป็นหนูทดลองชิมอาหารของผมมันมีทั้งรสหวาน,เปี้ยว,ขมและจืด ปะปนกันไปจนในที่สุดผมก็สามารถทำรสที่ใช่ออกมาได้
“เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความพยายามครับและผมก็ดีใจมากที่ได้ยินมาว่าคุณพยายามทำเพื่อผมซะขนาดนั้น”
“คาตากิริซัง”
ถึงมันจะน่าอายไปหน่อยแต่ผมก็อยากให้วิลเลียสซังรู้ผมเลยตัดสินใจพูดไปและมองไปที่ดวงตาของเธอ
ส่วนวิลเลียสที่มีท่าทางเขินอายนิดหน่อยตอนนี้เธอก็ได้กลับมามีท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ผมเองก็เป็นคนที่ทำอาหารคนนึงจึงเข้าใจความรู้สึกในตอนที่คนอื่นมีความสุขกับอาหารตัวเองและยังเข้าใจดีอีกด้วยกับคนที่พยายามทำสุดฝีมือเพื่อให้มันออกมาอร่อย
เพราะงั้นผมที่เข้าใจทั้งสองเรื่องดีผมเลยมีความสุขมากที่วิลเลียสซังทำขนมมาให้กับผม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการทำครั้งแรกของเธอก็ตาม
“เมื่อตอนเช้าคุณบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเองใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“คุณไม่ต้องฝืนตัวเองไปหรอกนะ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”
“คาตากิริซัง”
นัยน์ตาสีฟ้าครามของวิลเลียสหรี่ลง ท่าทางของเธอในตอนนี้ดูนุ่มนิ่มกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย
ส่วนรอยยิ้มของเธอก็ดูอ่อนโยนและอ่อนหวานจนทำให้นัตสึโอมิยิ้มกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจเขาได้คิดว่า ตัวเองนั้นชอบรอยยิ้มแบบนี้มากกว่ารอยยิ้มที่เท่และเย็นชาในห้องหลายเท่า
“ค่ะ ฉันจะพยายามนะ”
“ครับ พยายามเข้าล่ะ”
นัตสึโอมิพยักหน้ากลับไปให้วิลเลียสที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเป็นรอยยิ้มที่สมวัยกับเด็กม.ปลายมากจริงๆ
“ถ้างั้นผมจะพาคุณเดินชมรอบโบสถ์นะครับและจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของงานให้ด้วย”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
นัตสึโอมิได้พาวิลเลียสไปชมรอบๆพร้อมกับอธิบายรายละเอียดของงานที่ค้างเอาไว้
และในตอนนี้นัตสึโอมิรู้สึกได้ว่าตัวเองกับวิลเลียสนั้นเริ่มใกล้ชิดกันขึ้นแล้ว
จบตอนที่ 3
☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ถ้าตอนไหนมีเรื่องเกียวกับศาสนาเยอะๆผมของทำแบบสรุปเลยนะครับแต่ถ้ามีความคิดเห็นยังไงบอกได้เลยนะครับ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่แปลมังงะ By.Kiruya เลยครับ