ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) - ตอนที่ 1.3
“ แล้วคุณมีอะไรอยากจะถามผมมั้ยครับ? ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ต่างๆรวมถึงกฎของโรงเรียมมาก่อนแล้วค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ไม่มีแน่นะครับ?”
“ค่ะ ไม่มีแน่นอนค่ะ”
“ …… ”
“ …… ”
หลังจากโฮมรูมเสร็จ พอจะมีเวลาพักเบรคให้ก่อนที่จะเข้าสู่คาบแรกของการเรียน ถึงผมกับวิลเลียสซังจะนั่งอยู่ข้างๆกันแต่พวกเราก็แทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย
แค่มองหน้ากันยังทำไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับการพูดคุยละ วิลเลียสซังนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะของเธอแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังบอกว่า สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้วอะไรประมาณนี้ อย่างน้อยผมก็อยากจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากครูประจำชั้นให้ดีที่สุดแต่ว่า นี่ก็คือความเป็นจริงอันโหดร้าย
(กุเองก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วยหรอกนะเฟ้ยย แต่ว่า..)
เธอไม่แม้แต่จะมองมาที่ผม และดูเหมือนว่าเธอไม่คิดที่จะหาเพื่อนด้วย แถมยังปล่อยออร่าแปลกๆที่กำลังบอกว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน”
ก็จริงอยู่ว่าเธอเป็นคนที่โครตสวยและน่ารักสุดๆ มันอาจจะมีหลายคนที่อยากจะเข้าใกล้เธอ และผมก็มั่นใจด้วยว่าหลังจากนั้นต้องมีปัญหาที่ยุ่งยากเกิดขึ้นตามมาแน่ๆ แต่ว่าผมอยากจะให้เธอเข้าใจนะว่าที่ผมชวนคุยผมแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝงเลย
(…….ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เถอะ)
แล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจำผมไม่ได้ด้วยแฮะ
เอาเถอะถึงเธอจะจำผมไม่ได้ก็คงไม่แปลกเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาสั้นๆด้วย แล้วยิ่งหน้าตาของผมที่ดูเป็นคนบ้านๆธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นก็ต่างจากเธอลิบลับ
แต่ว่าผมจะเข้าไปขอโทษเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้ายังไงเนี่ยในสถานการณ์ที่กะอีแค่มองหน้ากันยังทำไม่ได้เลย
“ …… ”
“ …… ”
ในเมื่อเธอไม่มีอะไรจะถามอีกแล้ว งั้นผมก็จะอยู่เงียบๆของผมแหละนะ
และจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยมีแต่พวกเพื่อนรวมชั้นที่นั่งอยู่ไกลๆหันมามองแบบลอกแลกด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนพวกที่นั่งอยู่ใกล้ๆบริเวณนัตสึโอมิก็จะสังเกตเห็นท่าทางที่ดูนิ่งเฉยและไม่สนใจอะไรเลยของวิลเลียสซัง
( อะไรฟระเนี่ยเหมือนกำลังแข่งความอดทนอยู่เลย )
ในตอนที่นัตสึโอมิกำลังครุ่นคิดอยู่ เคย์ที่ดูเหมือนจะหมดความอดทนกับบรรยากาศแบบนั้น ก็เข้ามาแทรก พร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มเพื่อที่จะเข้าไปช่วยนัตสึโอมิแก้ไขปัญหากับสถาณการณ์แบบนั้น
“ นี่ๆ วิลเลียสซัง ทำไมคุณถึงเลือกมาเรียนที่ญี่ปุ่นล่ะ? ”
“ บอกไม่ได้ค่ะเป็นเหตุผลส่วนตัว ”
“ เข้าใจแล้ว โทษทีนะที่ถามอะไรเกินความจำเป็น แล้วที่ญี่ปุ่นเนี่ยมีสถานที่ที่คุณอยากไปเป็นพิเศษมั้ยครับ? ”
“ ไม่มีค่ะ ”
“ เอ๋ หรือว่าคุณชอบอยู่ในบ้านมากกว่าเหรอ? ”
“ ก็ไม่เชิงค่ะ ”
“อ..โอ้ งั้นเองเหรอ?”
วิลเลียสซังแทบจะไม่ได้ตอบคำถามของเคย์เลย
ถึงแม้ว่า คุณจะเป็นคนที่พูดเก่งขนาดไหนก็ตามแต่ถ้าคุณไม่ได้รับคำตอบจากที่ถามไปมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อบทสนทนาได้
ต่อให้เคย์จะพยายามถามในหัวข้อต่างๆ แต่เคย์ก็ไม่ได้รับคำตอบจากวิลเลียสซังเลยซักนิด
การสนทนาอยู่ฝ่ายเดียวของเคย์นั้นก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป
( เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นพ่อหนุ่มนักพูดกำลังลำบากขนาดนี้….)
ขณะที่นัตสึโอมิประทับใจในคำตอบของวิลเลียสที่ให้กับเคย์ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นที่บ่งบอกว่าหมดเวลาพักแล้ว
ผมไม่สามารถทนดูเคย์ที่พยายามอย่างหนักแน่นในการชวนวิลเลียสซังคุยได้ ผมเลยเข้าไปแทรกการสนทนาที่เหมือนเป็นการชวนคุยอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้นลง
“เออ..ถ้าวิลเลียสซังมีปัญหาอะไรละก็สามารถบอกผมได้ทุกเมื่อเลยนะ ยังไงซะครูประจำชั้นก็บอกแบบนั้นเอาไว้ด้วย”
“อื้ม ขอบคุณนะ”
วิลเลียสซังได้เหลือบมองไปยังนัตสึโอมิพร้อมกับก้มศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นการสนทนาของทั้งคู่ก็จบลง
ถ้าเธอบอกว่าไม่มีปัญหาและไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนอื่นงั้นผมก็ควรเคารพการตัดสินใจของเธอแต่ถ้าเธอมีปัญหาเมื่อไหร่ผมก็จะสามารถเข้าไปคุยกับเธอได้
และนี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสนทนากับเธอ จากนั้นผมก็เข้าไปปลอบเคย์ที่กำลังนั่งเหวออยู่ว่า”นายทำเต็มที่แล้วล่ะเพื่อน”
******
หลังจากที่การเรียนการสอนได้สิ้นสุดลง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะกลับบ้านแล้ว
วิลเลียสซังที่นั่งอยู่ข้างผมก็ลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกจากห้องเรียนโดยไม่ส่งเสียงใดๆเลย และเคย์ก็พึมพำกับตัวเองในขณะที่มองดูเธอเดินออกไป
“วิลเลียสซังเนี่ยไม่ค่อยได้พูดอะไรออกมาเลยเนอะ?”
“ใช่ เธอเป็นแบบนี้ทั้งวันเลยละ”
นัตสึโอมิได้เหลือบมองไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่าข้างๆเขาพร้อมกับ พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เคย์พูดไป
เพื่อนร่วมชั้นของผม ทั้งชายและหญิงต่างก็อยากจะพูดคุยกับวิลเลียสซังพอๆกับเคย์ แต่อาจจะมีบางคนที่สนใจในตัวเธอเป็นพิเศษ
ยังไงก็ตามผู้หญิงที่เพิ่งย้ายเข้ามาและได้นั่งอยู่ข้างๆผมนั้น เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยตลอดเวลาที่เรียนอยู่
และครูประจำชั้นก็ได้มอบหน้าที่ในการดูแลเธอให้กับผมดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็คือการสังเกตเธอจากด้านข้างอย่างระมัดระวังแต่ว่าในช่วงพักกลางวันเธอสามารถไปโรงอาหารได้ถูกทางและในชั่วโมงเรียนพละผมก็เห็นเธอตรงไปโรงยิมอย่างไม่ลังเลไอ้ที่บอกว่ารู้ข้อมูลของสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกดูท่าจะจริงแฮะ นั่นเลยทำให้ผมไม่มีข้ออ้างในการเข้าไปคุยกับเธอเลย
“ถ้าเขาอยากอยู่คนเดียว ก็ปล่อยเขาไปเถอะ”
“แต่เธอน่าสงสารออก อุตส่าห์ได้มาเรียนต่างประเทศทั้งทีแต่กลับไม่มีเพื่อนเลยซักคน”
“ถ้ามองในกรณีนี้แล้วละก็ ฉันก็ว่าเธอน่าสงสารเหมือนกัน แต่ว่าเธอไม่ได้คิดแบบนี้เนี่ยดิ”
“เออ….ก็จริง”
เคย์พยักหน้าพร้อมกับทำท่าทางเห็นด้วย
ถึงแม้ว่าเคย์จะมีหน้าตาที่เหมือนพวกเพลย์บอย แต่จริงๆแล้วเขาเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นจากใจจริงไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝงเลย
โดยเฉพาะคนที่เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในชั้นเรียน เคย์ก็จะเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเมื่อปีที่แล้วผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกันผมเลยไม่คิดจะห้ามเคย์ที่กำลังพยายามชวนวิลเลียสซังคุยถึงมันจะดูเหมือนเคย์กำลังก่อกวนเธออยู่ก็เถอะ
แต่เห็นได้ชัดว่าวิลเลียสซังนั้นสร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองเอาไว้
ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าไม่เข้าไปยุ่มย่ามเกี่ยวกับเธอมากไปกว่านั้นผมเลยเลือกที่จะทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ
ผมไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะถูกหรือผิด แต่สำหรับผมเลยนะ ถ้าคนๆนั้นไม่ต้องการ ผมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวไปมากกว่านั้น ถึงแม้ว่าจะหวังดีแค่ไหนก็ตาม
“อ๊ะ จริงสิฉันได้ยินพวกเพื่อนรวมชั้นพูดถึงที่มาของชื่อ วิลเลียส ด้วยนะ
เห็นเขาว่ากันว่า วิลเลียสน่ะเป็นนามสกุลของพวกชนชั้นสูงจากอังกฤษ”
“ชนชั้นสูง?”
“ใช่ ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีแบบนี้ใช่มั้ยละ ชื่อแบบนี้น่ะเหมือนกับเจ้าหญิงเลย”
“เจ้าหญิง?…อ..เอ๊ะเหมือนงั้นเหรอ?”
ถ้าพูดถึงคำว่า เจ้าหญิง แล้วละก็ ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ ภาพของสาวสวยผมบลอนด์ที่ใส่ชุดสีขาวที่ดูนุ่มฟูพร้อมกับสวมมงกุฎเอาไว้ที่มักจะพบเห็นในนิทานหรือภาพยนตร์
เมื่อเทียบกับวิลเลียสซังแล้วเธอมีผมยาวดำเป็นประกายและใบหน้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็มีเค้าโครงความงามแบบญี่ปุ่นซึ่งแตกต่างจากเจ้าหญิงที่จิตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
แต่ถึงแบบนั้นการที่เธอมีชื่อกลางและนามสกุลที่เหมือนพวกชนชั้นสูง แค่นี้มันก็ทำให้ผมเชื่อได้แล้วว่าเธอเป็นเจ้าหญิงจริงๆ
“แต่การที่สามารถไปเรียนต่างประเทศด้วยตัวคนเดียวในตอนที่มีอายุเพียงแค่นี้ได้เนี่ยสุดยอดจริงๆเลยเนอะ ถ้าเป็นฉันละก็คงทำไม่ได้แหงๆ”
“ตัวคนเดียว? เธอมาที่นี่ดัวยตัวคนเดียวจริงดิ?”
“คาสึมิจังเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ แต่ฉันว่านะเธอต้องอยู่กับคนรู้จักอะไรประมาณนี้แน่เลย”
“ง..งั้นเหรอ”
เมื่อผมได้ยินเคย์พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็นึกเรื่องเมื่อตอนเช้าขึ้นได้
อพาร์ตเมนต์ที่นัตสึโอมิพักอาศัยอยู่ไม่เหมาะสำหรับครอบครัว แต่ถ้าสองคนก็พออยู่ได้แต่ก็คับแคบเกินไปอยู่ดีเพราะอพาร์ตเมนต์นี้สร้างขึ้นมาสำหรับการอยู่คนเดียว
เมื่อตอนเช้าผมก็ลืมคิดไปเลย ส่วนนึงน่าจะเป็นเพราะความรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยแหละ แต่ก็เป็นไปได้ที่วิลเลียสซังจะอยู่คนเดียวเหมือนกับผม
ถึงเรื่องจะกะทันหันไปหน่อย แต่ถ้าจะให้สรุปก็คือเธอเดินทางมาจากอังกฤษด้วยตัวคนเดียวจริงๆและเข้ามาพักอาศัยห้องข้างๆผมเมื่อวานนี้
ครอบครัวของผมนั้นไม่ได้อยู่ห่างจากผมมากนักถ้าขึ้นรถไฟความเร็วสูงก็จะไปถึงใน 2 ชั่วโมง แต่ว่าผมที่เป็นคนญี่ปุ่นและเติบโตที่นี่ ยังยากเลยที่จะชินกับการออกมาอยู่ตัวคนเดียว
(เมื่อเทียบกับเธอที่เป็นผู้หญิงแล้วย้ายมาจากต่างประเทศละก็…)
ถึงเธอจะไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินเพราะภูมิหลังของครอบครัวก็เถอะ แต่ว่าการที่ต้องออกมาอยู่ตัวคนเดียวจากที่ไกลๆคงลำบากมากแน่ๆถ้าไม่ได้อยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างที่เคย์พูดเอาไว้
ถ้าเธอมีคนที่สามารถพึ่งพาได้อยู่ใกล้ๆแล้วละก็ผมก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงแบบนี้หรอกเพราะผมเคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากในการอยู่ตัวคนเดียวมาแล้ว
“อืม..ในเมื่อวิลเลียสซังไม่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันเองก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้แหละนะ”
“แต่ว่านายได้รับมอบหมายหน้าที่ในการดูแลเธอจากคาสึมิจังไม่ใช่เหรอ?”
“ถึงทำไปก็เปล่าประโยชน์ในเมื่อเธอไม่ต้องการ”
“แต่นายอาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกินคาดเลยก็ได้นะ ฉันมั่นใจเลยละ”
เคย์ได้ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
มันเคยมีช่วงนึงที่ผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมเลยเข้าใจความรู้สึกที่ไม่สามารถเอื้อมมือไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะหวังดีแค่ไหนก็ตามเพราะแบบนั้นมันจะดีกว่าสำหรับเธอถ้าผมไม่เข้าไปก้าวก่าย
ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะที่ผมเคยถูกครอบงำด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองนั้นสุดยอดที่สามารถทำตามข้อตกลงของพ่อแม่ได้ มันเป็นประวัติอันดำมืดของผมเลยละ แล้วคือเคย์กับคาสึมิรู้เรื่องทั้งหมดนี้ นั่นน่ะมันโครตน่าอายเลยเป็นประสบการณ์ที่ขมขื่นเอามากๆ แต่พอลองคิดๆดู มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกเรื่องแหละนะ
“นัตสึโอมิวันนี้นายมีงานพาร์ทไทม์รึเปล่า?”
“อื้ม แล้วนายละเคย์ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้นายยังทำงานพาร์ทไทม์แบบ {ผิดกฎหมาย} อยู่งั้นเหรอ?”
(ผู้แปล : ของเคย์ที่เขียนว่าผิดกฎหมายคงเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากโรงเรียน)
“อย่าเรียกธุรกิจครอบครัวของคนอื่นว่าผิดกฎหมายสิเฟ้ย”
เคย์ยักไหล่ขึ้นพร้อมกับร้อยยิ้มที่ขมขื่น
แม่ของเคย์นั้นเปิดสถานบันเทิงที่พนักงานเสิร์ฟส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงและเคย์ก็มักจะไปช่วยงานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
นั่นก็คือไนท์คลับ และเคย์ก็ยังบอกว่าปลอดภัยหายห่วงน่าเพราะเขาทำงานอยู่ในครัวพวกที่อยู่ด้านนอกจึงไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เคย์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับผมฟังเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่เราได้เป็นเพื่อนสนิทกัน ผมเลยรู้ว่าทำไมเคย์ถึงได้เติบโตมาเป็นคนแปลกๆแบบนี้
“นายก็ลองมาเที่ยวดูสิ ฉันมั่นใจเลยว่านายจะต้องติดใจเดี๋ยวฉันจะบริการนายอย่างดีเลย”
“ไว้ฉันบรรลุนิติภาวะก่อนแล้วจะเก็บไปคิดอีกที งั้นไปละ”
“อ่า เจอกันทิตย์หน้านะเพื่อน”
ผมโบกมือให้เคย์เบาๆ พร้อมกับออกจากห้องมุ่งหน้าไปทำ “งานพาร์ทไทม์” ที่เคย์ถามไปเมื่อกี้
******
ณ ส่วนท้ายของโรงเรียน โทเซ
ในอาคารที่สร้างจากคอนกรีตที่มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนหลังคา พร้อมกับแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกหลากสีบนผนังทำให้เกิดแสงที่มีสีสันสวยงามในโบสถ์ที่เงียบสงบ
“…ดีล่ะ”
เสียงพูดที่แผ่วเบาของนัตสึโอมิก้องไปทั่วทั้งโบสถ์
นัตสึโอมิได้ขยับศีรษะและข้อมือเล็กน้อยจากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเอาปลายนิ้วมือกดลงไปบนคีย์สีขาวและสีดำ
เสียงออร์แกนที่ฟังดูเคร่งขึมและไพเราะก็ได้ก้องกังวานไปทั่วทั้งโบสถ์
( ผู้แปล : パイプオルガン-ออร์แกนที่นัตสึโอมิเล่นในขณะนี้คือ ไปป์ออร์แกน ที่ขับเสียงออกมาจากท่อ)
เพลงที่ผมกำลังเล่นอยู่ในขณะนี้มีชื่อว่า What a Friend We Have in Jesus เป็นเพลงที่มักจะใช้ในพิธีแต่งงานหรือพิธีสักการะ
( ผู้แปล : ชื่อเพลงภาษาญี่ปุ่น いつくしみ深き )
เสียงที่แหลมสูงจากเครื่องดนตรีที่ผสมเข้ากับโทนเสียงอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดท่วงทำนองที่ไพเราะและหนักแน่นเต็มไปทั่วทั้งโบสถ์ นัตสึโอมิได้ใช้ทั้งมือและเท้าเล่นออร์แกนเพื่อทดสอบเสียง
โรงเรียนโทเซ เป็นโรงเรียนที่สอนเรื่องเกี่ยวกับนิกายคาทอลิกที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เพราะเหตุนั้นจึงได้สร้างโบสถ์เล็กๆในบริเวณโรงเรียน
( ผู้แปล : คาทอลิกเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในศาสนาคริสต์ )
โบสถ์นี้มักจะถูกใช้ในโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ หรือ พิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์และนอกจากนี้ทางโรงเรียนยังเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมได้แถมยังเป็นที่ดึงดูดชาวคาทอลิกจากนอกโรงเรียนอีกด้วย
( ผู้แปล : พิธีมิสซาหรือพิธีบูชาขอบพระคุณ คือ พิธีกรรมในศาสนาคริสต์ของนิกายคาทอลิก )
และผมก็ได้ช่วยงานในฐานะนักออร์แกนที่โบสถ์
ขอพูดตรงๆเลยนะ ถ้าอยากจะทำรายได้จริงๆแล้วละก็ ไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารจะดีกว่านี้อีก
ถึงโรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนที่สอนศาสนามาอย่างยาวนานแล้วก็เถอะ แต่ก็เป็นโรงเรียนที่ทันสมัยพอตัว นักเรียนที่นี่สามารถแอบทำงานพาร์ทไทม์แบบลับๆได้ในระดับนึง ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สถาบัน
ยังไงก็ตาม ผมก็เป็นนักเรียนทุน ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาอาจจะถูกเพิกถอนสิทธิ เพราะแบบนั้นถ้าผมอยากจะทำงานพาร์ทไทม์แล้วละก็มันมีแต่งานนี้ละนะที่ได้รับอนุมัติจากโรงเรียนถึงเงินจะไม่ค่อยดีก็เถอะ
อันที่จริงผมก็ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรหรอกแต่ในตอนเด็กๆแม่ผมมักจะพาไปที่โบสถ์อยู่บ่อยๆ ผมเลยค่อนข้างที่จะชินกับสถานที่แบบนี้
ซึ่งผมเองก็เรียนเปียโนมานานแล้ว การที่ผมจะรับงานนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แถมยังสามารถเล่นออร์แกนที่มีราคาหลายสิบล้านเยนอีกด้วย
ในขณะที่นัตสึโอมิได้เอานิ้วออกจากคีย์ เสียงสะท้อนของออร์แกนก็ค่อยๆจางหายไป
“อืม…น่าจะได้แล้วมั้ง”
นัตสึโอมิได้เขย่าข้อมือของตัวเองเพื่อเช็กความรู้สึกที่ปลายนิ้วของเขา
ผมได้กุญแจประตูหลังของโบสถ์มาเพื่อที่ผมจะสามารถเล่นออร์แกนได้อย่างอิสระหลังเลิกเรียนและในวันที่โบสถ์ว่าง และนี่ก็เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของผมก็คือการฝึกเล่นออร์แกน
“งั้นอีกซักเพลงแล้วค่อย..”
ในขณะที่นัตสึโอมิกำลังจะเล่นออร์แกนอีกครั้ง เขาก็สังเกตเห็นแสงแดดที่เล็ดลอดออกมาจากประตูที่แง้มอยู่จากนั้นเขาก็เหลือบไปเห็น
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“….คาตากิริซังงั้นเหรอคะ”
เธอคนนั้นก็คือวิลเลียสซังนั่นเอง นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตของเธอนั้นก็มองมายังนัตสึโอมิด้วยความประหลาดใจ
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
เคย์จะเข้าไปช่วยเขาเองแท้ๆน่าสงสารสุดๆฮ่าฮ่า
เป็นตอนที่แปลยากสุดๆโดยเฉพาะช่วงที่เกี่ยวกับศาสนาเนี่ยผมนั่งเหวอเลย ถ้าผมให้ข้อมูลผิดก็ขออภัยนะครับ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ แปลมังงะ By.Kiruya