ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 70 กินในจานไม่ได้เลยมากินในหม้อแทน!
ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 70 กินในจานไม่ได้เลยมากินในหม้อแทน!
วันนี้อากาศดีมาก เมื่อตกกลางคืน ลมยามค่ำคืนก็พัดโชยอย่างเย็นสบาย
เมื่อสายลมพัดผ่าน ท่ามกลางช่องผ้าม่านที่สั่นไหว และภายใต้แสงไฟคริสตัลที่สว่างไสว ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโอบกอดและสบตากัน
ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าที่ใกล้แค่เอื้อมอย่างไม่กระพริบตา ช่างงดงามประณีตราวกับผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เพียงแวบเดียว เขาก็เริ่มหายใจถี่ขึ้น
เสิ่นเจียเหวินนอนเอนอยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยอย่างสงบ รับรู้สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงไอความร้อนที่พ่นลงบนแก้มของตัวเอง ยิ่งใกล้มากขึ้น ยิ่งใกล้มากขึ้น……
บนโซฟา มือของเสิ่นเจียเหวินเองก็อดที่จะประหม่าไม่ได้เลยจับพรมบนโซฟาเอาไว้ โดยเธอที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นความตื่นเต้นเหมือนกับรักครั้งแรก
เธอยังไม่ทันจะลืมตา ก็รู้สึกว่าปากของตัวเองนั้นถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว
เสิ่นเจียเหวินรู้สึกได้ว่า ฉินเฟยตื่นเต้นอย่างมาก ถึงขนาดทำอะไรไม่ถูก โดยที่มือใหญ่สองข้างได้ทำการโอบกอดตัวเองไว้แน่น
เหมือนว่าเขาตื่นเต้นจนไม่สามารถที่จะควบคุมกำลังของตนเองเอาไว้ได้แล้ว!
ราวกับว่าจะนำร่างของเธอรวมใส่เข้าไปในร่างของตัวเขาเองด้วย
ทันใดหลังจากนั้น ก็มีกลิ่นอายลมหายใจของความเป็นผู้ชายที่รุนแรง เหมือนต้องการจะทะลุผ่านร่างกายของเธอ
ฉินเฟยกำลังพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตนเองอย่างชัดเจน เขาต้องการให้การกระทำของเขานั้นอ่อนโยนขึ้น แต่เขาจูบอย่างไม่ชำนาญ โง่เขลา แต่เพราะความไม่ชำนาญนี้ กลับยิ่งทำให้เสิ่นเจียเหวินเคลิบเคลิ้มมากขึ้น
ฉินเฟยโตขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบผู้หญิง
เวลานี้ ฉินเฟยถึงขนาดหลงลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน หลงลืมไปเลยว่าเสิ่นเจียเหวินที่อยู่เบื้องหน้านี้คือลูกน้องของตนเอง เขาคิดเพียงแต่จะครอบครองผู้หญิงคนนี้ให้ได้
ฉินเฟยไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ เอาแต่จูบอย่างมั่วซั่ว
การที่เสิ่นเจียเหวินไม่ดิ้นรน ไม่ปฏิเสธ ยิ่งทำให้ฉินเฟยคุ้มคลั่งอย่างสิ้นเชิง……
“กริ๊งงงง……” ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของฉินเฟยก็ดังขึ้น
โทรศัพท์สั่นและยังมีเสียงเรียกเข้าที่เป็นเนื้อเพลงสนุกสนาน: “คุณคือลูกตัวน้อยของฉัน แอปเปิ้ลน้อย ฉันไม่มีวันรักคุณมากเกินไป…”
ฉินเฟยพลันตื่นขึ้นมาจากความหลงใหลเคลิบเคลิ้ม โทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันไม่เพียงแต่จะทำลายความเคลิบเคลิ้มของเขาเท่านั้น โดยเฉพาะเพลงเรียกเข้าที่สนุกสนาน ยิ่งทำลายบรรยากาศอันคลุมเคลือภายในห้องลงอย่างสิ้นเชิง ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงเลย
ในขณะเดียวกัน เสิ่นเจียเหวินที่นอนเอนอยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“ฉัน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉินเฟยเหงื่อไหลท่วมตัว และยิ่งเขินอายจนแทบจะตายลงไปกับที่ แทบทนรอไม่ไหวที่จะสับไอ้คนที่โทรมาหานี้ออกเป็นเสี่ยง ๆ
“คุณรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ” เสิ่นเจียเหวินเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอเองก็เขินอายมากเหมือนกัน เวลานี้ที่ตั้งสติขึ้นมาได้นั้น ก็รู้สึกอับอายและเสียใจขึ้นชั่วขณะเช่นกัน
เธอประทับใจต่อชายหนุ่มคนนี้จริง ๆ แต่ถ้าจะพูดว่าเป็นความรู้สึก มันก็คงจะยังไม่ใช่ เพียงแค่วันนี้ตัวเองมีจิตใจที่หวั่นไหวมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองได้ทันท่วงที จึงรู้สึกอับอายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงว่าตัวเองนั้นก็ถือเป็นผู้ใหญ่กว่า และยังเป็นอาคนเล็กของเสิ่นหลิงเอ๋อร์ด้วย แต่กลับเกือบที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาแล้ว ซึ่งรู้สึกอับอายใจเป็นอย่างมาก
ฉินเฟยอ้าปาก แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความโกรธ และดุด่าสาปแช่งในใจ
แม่งสิ หากไม่ใช่โทรศัพท์นี้ดังขึ้น คาดว่าวันนี้ตนเองคงจะกลายเป็นผู้ชายตามที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว!
เมื่อฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เห็นสายเรียกเข้าบนหน้าจอ ก็ตกใจจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง
ศรีภรรยา?
เจียงเยว่ถงโทรศัพท์มาหา?
แต่งงานมาสามปี ทั้งสองคนโทรศัพท์หากันแทบจะนับครั้งได้ แม้ว่าในตอนนี้ก็เหมือนกัน เจียงเยว่ถงเหมือนจะเคยชินกับการใช้วีแชดและข้อความติดต่อกับฉินเฟยแล้ว
ฉินเฟยกลัวว่าเจียงเยว่ถงจะได้ยินอะไร จึงรีบตัดสายทิ้งทันที
“หากนายมีธุระอะไรก็ไปก่อนได้นะ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เรื่องในวันนี้ก็ถือว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นพร้อมกับสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม
อะไรวะ!
พูดแบบนี้ ฉินเฟยก็รู้สึกละอายใจ การที่ไปรังแกคนอื่นถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายนั้น แต่ฉินเฟยมองว่า ก็ยังคงเป็นการล่วงเกินคนอื่นแล้ว แต่ตนเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว จึงไม่อาจที่จะพูดถึงความรับผิดชอบอะไรได้
เสิ่นเจียเหวินก้มหน้าลง ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ นอกจากจะพูดแบบนี้แล้ว เธอยังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ฉินเฟยยิ้มอย่างเก้อเขิน ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขายังคงอยู่ที่นี่ต่อคงจะทำให้ทั้งสองคนยิ่งเก้อเขินกันเข้าไปใหญ่ จึงพยักหน้า แล้วรีบเดินจากไปทันที
โดยที่ไม่พูดจาอะไรสักคำ แล้ววิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมองไปยังประตูบ้านที่ปิดลง เสิ่นเจียเหวินก็พิงเข้ากับโซฟาอย่างใจลอย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าภายในบ้านอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ภายในหัวสมองนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ของทั้งสองคน เสิ่นเจียเหวินก็พลันตระหนักได้ถึงความโง่เขลาของฉินเฟย แปลกใจว่า ไอ้หนุ่มนี้ไม่เคยสัมผัสแตะต้องผู้หญิงมาก่อนเลยจริง ๆ เหรอ?
เสิ่นเจียเหวินพูดพึมพำคนเดียว แล้วก็หัวเราะก๊ากขึ้น และก้มหน้ามองลงไปที่ข้อเท้าที่ประคบด้วยน้ำแข็ง เนื่องจากเมื่อครู่ทั้งสองคนขยับเคลื่อนไหวไปมาจึงได้ตกหล่นลงไปบางส่วนแล้ว ไม่รู้ว่าหัวสมองคิดเรื่องอะไรขึ้นมา ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นอย่างกะทันหัน……
ฉินเฟยแทบจะวิ่งลงมาจากชั้นสิบเอ็ด เมื่อออกไปจากตึกแล้ว ถึงจะถอนหายใจยาว
หันหลังกลับไปมองแสงสว่างของไฟบนชั้นสิบเอ็ด ฉินเฟยตีไปที่ศีรษะแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าดาบเสวี่ยอิ่นของตนเองนั้นยังอยู่ในรถของเสิ่นเจียเหวิน
แต่เมื่อครู่ทั้งสองคนกระทำเรื่องดังกล่าวขึ้น ต่อให้เขาหน้าด้านขนาดไหนก็คงไม่กล้าที่จะกลับไปขอกุญแจรถจากเธอแน่นอน
แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉินเฟยก็ยังรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดวีแชดและค้นหาเสิ่นเจียเหวิน พร้อมกับพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว: “ใช่แล้ว ลืมบอกคุณไปเลยว่า จากนี้ไปสักระยะหนึ่งคุณห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อบริเวณที่บาดเจ็บ วันนี้ก็ไม่ต้องอาบน้ำแล้ว แหะแหะ ฉันอนุมัติให้คุณลาหยุดงานสองวัน เพื่อพักผ่อนอยู่ที่บ้าน”
เมื่อส่งวีแชดออกไปแล้ว ฉินเฟยก็รีบเดินออกไปจากหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันก็เห็นข้อความที่เจียงเยว่ถงภรรยาของเขาส่งมา: “คืนนี้ยังจะต้องทำโอทีอีกไหม? ต้องกลับมาบ้านนะ”
ข้อความส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นตนเองกำลังโอบกอดเสิ่นเจียเหวินและฟังหล่อนเล่าชีวิตความหลังอยู่ โดยที่ไม่ได้ยินข้อความดังขึ้นแม้แต่น้อย
มิน่าล่ะที่ทำไมเจียงเยว่ถงถึงได้โทรศัพท์มาหาเขา ที่จริงแล้วก็เพราะตนเองไม่ได้ตอบข้อความกลับ
เมื่อนึกถึงเสิ่นเจียเหวิน ก็นึกถึงภรรยาของตนเอง ฉินเฟยจึงอดที่จะละอายใจไม่ได้ ถึงขนาดที่มีความรู้สึกผิดต่อเจียงเยว่ถงด้วย
“กริ๊งงงงง……” ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของฉินเฟยก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสิ่นเจียเหวินที่โทรวีแชดมาหา
ฉินเฟยมองไปยังโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้านั้นแล้วก็อึ้งอยู่กี่วินาที ในที่สุดก็ได้กดรับสาย
“อืม เท้าของคุณยังเจ็บอยู่ไหม? ” ฉินเฟยควบคุมความเขินอาย พยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองเป็นธรรมชาติมากหน่อย
“ฉินเฟย คืนวันนี้ฉันเองที่บุ่มบ่ามไป แต่ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองคน ถือซะว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้น
คำพูดของเสิ่นเจียเหวินยิ่งทำให้ฉินเฟยละอายใจมากขึ้นไปอีก และพูดออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นว่า: “ไม่ได้ ฉันจะรับผิดชอบ ฉันสามารถที่จะปกป้องคุณ สามารถที่จะดูแลคุณได้ ฉัน……”
“น้องฉินเฟย นายกำลังสารภาพรักกับพี่อย่างนั้นเหรอ? ” เสิ่นเจียเหวินพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฉัน……” ฉินเฟยสำลักในทันทีโดยที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ใช่ว่าจะมาจีบฉันได้ง่าย ๆ นะ อีกทั้ง ฉันได้คิดล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า ต่อไปฉันจะไม่แต่งงานแล้ว” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย: “นายอย่าได้มีภาระทางจิตใจอะไรเลย และต่อไปนายก็กำลังคิดที่จะรักษาระยะห่างกับฉันด้วยใช่ไหม? ”
“อ่า? คุณรู้ได้อย่างไร? ” ฉินเฟยพลันอุทานขึ้นด้วยความตกใจ พูดตามจริงว่า ในสมองของเขาได้เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วย
ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบได้ ก็อย่าได้ไปยุ่มย่ามกับหล่อน เสิ่นเจียเหวินเป็นผู้หญิงที่ดี
“บอกนายไว้เลยว่า เรื่องแบบนี้นายไม่ต้องแม้แต่จะคิด เมื่อครู่ใครพูดว่าจะดูแลฉัน? หากว่าต่อไปนายกล้าที่จะไม่สนใจฉัน ฉันก็จะให้คนในบริษัททั้งหมดรับรู้ว่า ประธานกรรมการผู้บริหารคนใหม่นี้ได้ข่มขืนใจรองประธานบริษัท”
จบข่าว!
ฉินเฟยโซซัดโซเซขณะที่ในมือยังถือโทรศัพท์ แทบจะล้มกองลงไปที่พื้น
“ฉัน……”
“พอเถอะ อย่าได้มาฉันฉันคุณคุณอะไรอีกแล้ว เรื่องที่อนุมัติให้ฉันหยุดงานสองวันนั้นยกเลิกไปเสียเถอะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น พักผ่อนแค่วันเดียวก็พอแล้ว พรุ่งนี้นายมาขับรถของฉันไปได้ ฉันเองยังไม่จำเป็นต้องใช้ มะรืนนี้ก็อย่าลืมมารับฉันไปทำงานด้วยล่ะ แค่นี้แล้วกัน” ฉินเฟยมองไปยังวีแชดคอลที่เพิ่งวางสายลงไปอย่างเหม่อลอย พร้อมกับมีรอยยิ้มขมขื่นขึ้นที่มุมปาก
เรื่องจริงก็เป็นแบบนี้ เรื่องราวในค่ำคืนนี้ของพวกเขาทั้งสองคนนั้นได้เกินเลยความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไปแล้ว หากคิดที่จะเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
หากว่าต่อไปจะยุติความสัมพันธ์กับเสิ่นเจียเหวินจริง ๆ ล่ะก็ ฉินเฟยเองก็ลังเลใจอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน
กินในจานอยู่แต่ก็ยังมองไปที่ในหม้ออีก ช่างโลภมากเสียจริง
บางที นี่ก็คือความเลวทรามของผู้ชายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ที่จริง น่าจะพูดว่าในจานเองก็ยังไม่ได้กิน คิดที่จะกินในหม้อ แต่กลับเกรงใจที่จะกิน!