ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 96 :ความฝันของหลินเจียอิน
ตอนที่ 96 :ความฝันของหลินเจียอิน
เมื่อทั้งสามคนกลับมาที่ร้าน หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงต่างงานยุ่งมาก
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องธุรกิจหน้าร้านเท่าไหร่นัก เขาเดินตรงไปที่สวนหลังร้านทันที
ตั้งแต่ที่เจียงชานและหวังกังเล่นหมากรุกเป็น เด็กทั้งสองก็ดูเหมือนจะสนุกสนานไปกับมัน แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่อยู่ใกล้ ๆ แต่พวกเขาก็สามารถเล่นหมากรุกกันได้สองคน
“ป่าป๊า ดูสิ เบี้ยม้าของหนูกำลังจะกินเบี้ยทหารแล้ว”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กำลังเดินเข้ามา เจียงชานก็พูดอย่างภาคภูมิใจ
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองที่ตารางหมากรุก นี่มันเบี้ยม้ากินเบี้ยทหารที่ไหน ? เห็นได้ชัดว่ามันคือการวางเบี้ยม้าแบบเส็งเคร็ง
“ชานชาน ม้าของหนูอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดี กินทหารของอีกฝ่ายไม่ได้หรอก”
นี่คือการเดินเบี้ยม้าเส็งเคร็ง ที่เจียงเสี่ยวไป๋เคยบอกเด็กทั้งสองก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะจำไม่ได้
ไม่มีทางอื่นแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดเตือนอีกครั้ง
“ดูสิ ตำแหน่งที่ลูกจะเดินหน้ามีเบี้ยขวางอยู่ 1 ตัว มันก็เหมือนกับเวลาหนูจะเดินไปข้างหน้าแล้วมีโต๊ะตัวหนึ่งขวางทางอยู่ แบบนั้นหนูก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้แล้วใช่ไหม ? ”
“อ้อ ๆ หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
เจียงชานขยับเบี้ยอีกครั้ง เธอเดินต่อไปอีกสองสามก้าวถึงสามารถกินตัวทหารของอีกฝ่ายได้
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าครั้งนี้ลูกสาวของเขาเดินไม่ผิด เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดในการเล่นหมากรุกคือการสังเกต หนูต้องหมั่นเรียนรู้ที่จะสังเกต”
“ลุงเจียง เรียนรู้ที่จะสังเกตคืออะไรหรือครับ ? ”
หวังกังถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ยกตัวอย่างโดยการเอาเบี้ยม้ามาวางไว้ที่มุมขอบและกลางกระดานหมากรุก จากนั้นก็ให้เด็กทั้งสองหาตำแหน่งที่ม้าสามารถเคลื่อนที่ได้
เมื่อม้าอยู่บนมุม จะขยับได้เพียง 2 จุดเท่านั้น
เมื่อม้าอยู่ขอบกระดาน จะมีจุดที่สามารถเคลื่อนที่ได้ 4 จุด
แต่เมื่อม้าอยู่ตรงกลาง มีจุดที่สามารถขยับได้ถึง 8 จุด เรียกกลยุทธ์นี้ว่า ‘ม้าก้าวไปรอบทิศ’
“เมื่อตัวหมากรุกอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ต้องสังเกตว่าตัวหมากจะสามารถเดินต่อไปได้กี่ตำแหน่ง ตำแหน่งใดดีที่สุด และต้องทำอย่างไรให้ตัวหมากรุกไปยังตำแหน่งที่กำหนดได้เร็วที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องอาศัยการสังเกตอย่างรอบคอบ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายให้เด็กทั้งสองฟังอย่างอดทน และยกตัวอย่างให้เห็นเป็นครั้งคราว
“ไอ้โหยว มันซับซ้อนจัง”
เจียงชานรู้สึกว่าหัวของตัวเองเริ่มหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “แต่ถ้าสังเกตอย่างระมัดระวังมากกว่าคนอื่นทุกครั้ง ก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้นไม่ใช่หรือ ? ”
“ใช่ค่ะ”
เจียงชานพยักหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋วางม้าในตำแหน่งกลางกระดานหมากรุก แสดงให้เห็นว่าม้าสามารถเดินไปได้ทุกทิศทุกทางและพูดต่อ “ดูสิ น่าสนใจไหมที่ม้าสามารถเดินไปทุกทิศทางแบบนี้ได้”
“อื้อ น่าสนใจค่ะ”
เจียงชานหยิบตัวหมากรุกขึ้นมา เลียนแบบวิธีของเจียงเสี่ยวไป๋กลับไปกลับมา จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ทั้งหมดแปดจุด และหลังจากจบแล้ว เธอก็เดินเป็นวงกลม และพูดด้วยความตื่นเต้น
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็สอนทั้งสองคนเดินไปรอบ ๆ กระดานหมากรุก ซึ่งบางครั้งก็เอาตัวหมากรุกอื่น ๆ หนึ่งถึงสองตัวมาเป็นฝ่ายศัตรู เพื่อฝึกทักษะการสังเกตและการเคลื่อนไหว
เหตุผลที่เลือกสอนลูกสาวเล่นหมากรุกเป็นอันดับแรก เพราะเขามองว่าการฝึกทักษะการสังเกตของลูกสาวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ความสามารถหลายอย่างของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เป็นผลจากการฝึกฝนที่ได้รับมา
เมื่อเทียบกับการรู้ตัวอักษรจีน ตัวเลข และพินอินเหล่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋เชื่อว่าการปลูกฝังความสามารถและบ่มเพราะนิสัยบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ก่อนไปโรงเรียนนั้นสำคัญกว่า
การเรียนรู้หมากรุก ไม่ว่าจะเป็นหมากรุกหรือหมากล้อมล้วนสามารถปลูกฝังความสามารถพื้นฐานของเด็กได้เป็นอย่างดี เช่น การสังเกต การคำนวณ และความรู้สึกเกี่ยวกับพื้นที่
หลังจากที่ความสามารถด้านหมากรุกชำนาญขึ้น ยังสามารถปลูกฝังความสามารถของเด็กในสถานการณ์โดยรวม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และกลยุทธ์การวางแผน
ที่สำคัญไปกว่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ยังต้องการให้พวกเขาเรียนรู้ว่าในชีวิตของพวกเขาต้องเจอทั้งความพ่ายแพ้และชัยชนะ เพื่อให้จิตใจที่อ่อนโยนของเด็ก ๆ ค่อย ๆ แข็งแกร่งและมีความมั่นคงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถบรรลุได้ในระยะเวลาอันสั้น และไม่สามารถปลูกฝังได้แค่การเล่นหมากรุกเท่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำที่ดีด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋อดทนและมีวิธีการเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน
ไม่ว่าจะทำอะไร ตราบใดที่คุณมีสมาธิกับมัน เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลากลับบ้านในพริบตาเดียว
หลังอาหารเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่บ้านของเจียงไห่เทียนอีกครั้ง
คราวนี้เขาไปมือเปล่า
“เสี่ยวไป๋ มาซื้อปลาตะเพียนอีกแล้วหรือ?”
“เจ้ารองยังไม่กลับมาเลย”
“นั่งลงก่อนสิ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เข้ามา เจียงไห่เทียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจียงเสี่ยวไป๋ได้มาหาเจียงเสี่ยวโจวเพื่อซื้อปลาตะเพียนทุกวัน อีกทั้งยังไม่ได้รับซื้อเป็นชั่ง แต่ซื้อตัวละ 3 เหมา ซึ่งสูงกว่าราคาตลาด
เจียงไห่เทียนจึงคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อมาซื้อปลาตะเพียนเหมือนเช่นเคย
“ลุงครับ ไม่เป็นไร เรื่องปลาเอาไว้ทีหลังก็ได้ วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อมาหาลุง” เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นมา
“มีธุระอะไรกับลุงงั้นหรือ ? ” เจียงไห่เทียนถามด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “ลุงก็รู้ว่าตั้งแต่ที่ผมแยกบ้านออกมาจากพ่อ บ้านของผมมีแค่ห้องโถงด้านนอกกับห้องนอน ห้องครัวก็แยกออกมาด้านข้าง ไม่มีห้องน้ำในตัวบ้านด้วยซ้ำ”
เจียงไห่เทียนรู้ดีว่าสภาพบ้านของเจียงสี่ยวไป๋เป็นแบบไหน
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและพูดว่า “บ้านของนายสมควรต่อเติมจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ครับ ผมเลยมาหาลุงเพื่อให้ลุงช่วยดำเนินการเรื่องที่ดินสร้างบ้านให้ผมหน่อย ผมคิดว่าจะสร้างบ้านใหม่มานานแล้ว แต่ก็เพิ่งมีโอกาส”
“คิดได้แบบนี้ก็ดี”
ใบหน้าของเจียงไห่เทียนแสดงความปีติยินดีออกมา เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ เขาที่เป็นลุงต้องสนับสนุนหลานชายอย่างแน่นอน จึงพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้นว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้พูดรายละเอียดออกมาว่า เขาต้องการซื้อที่และถมดินบนหน้าผาริมแม่น้ำ เพราะเขาวางแผนที่จะสร้างบ้านใหม่ที่นั่น
ทว่าเมื่อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงไห่เทียนก็แข็งค้างในทันใด
“ทำไมนายถึงเลือกจะสร้างบ้านที่นั่น ? ”
“แถวนั้นไม่มีบ้านเรือนสักหลัง หากว่าสร้างบ้านที่นั่น มันก็จะอยู่ห่างไกลผู้คน ไม่สะดวกสบายเอาเลยนะ”
“ลุงจะให้ที่ดินข้างบ้านเก่าดีไหม ? มันยังรวมไปถึงแปลงผักข้าง ๆ และสวนไผ่ด้านหลังด้วย หากสร้างบ้านที่นั่นมันไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและปฏิเสธ “ลุงครับ ผมอยากสร้างบ้านที่นั่นจริง ๆ ”
“งั้นได้”
เจียงไห่เทียนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจเจียงเสี่ยวไป๋ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะห้ามอะไรอีก
ทุกวันนี้ ขั้นตอนการสร้างบ้านในชนบทนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร ขอแค่มีใบรับรองจากผู้นำหมู่บ้านก็เพียงพอแล้ว ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากเหมือนรุ่นหลัง ๆ
หลังจากคุยรายละเอียดกันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
ที่ดินผืนนั้นเป็นของเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างบ้านบนเนินเขานั้น ประการแรก เพราะมันอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ประการที่สอง เพราะไม่มีถนนเข้าถึง และประการที่สาม ที่นั่นเป็นเนินเขา ไม่ใช่ที่ราบ ดังนั้นกว่าจะสร้างบ้านขึ้นมาได้สักหลังต้องปรับปรุงและดำเนินงานอีกหลายขั้นตอน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจียงเสี่ยวไป๋
ในคืนวันที่ฝนตก เขาได้เริ่มวางแผนว่าจะสร้างบ้านบนเนินดินนั้นอย่างไร
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ได้คิดแผนการไว้ในใจแล้ว
หลังจากที่เจียงเสี่ยวโจวกลับมาถึงบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ซื้อปลาตะเพียนที่เขาจะเอาไปขายในวันพรุ่งนี้กลับบ้านไป
“เมียจ๋า ดูสิว่านี่คืออะไร”
เจียงเสี่ยวไป๋มอบแบบแปลนบ้านของเขาให้กับหลินเจียอินและพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนแรกหลินเจียอินไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเธอเห็นว่าเป็นแบบแปลนของบ้านหลังใหม่ที่จะสร้าง เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“คุณไปขอให้ลุงใหญ่ดำเนินการเรื่องที่ดินมาใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ถูกต้อง คุณพูดมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ เมื่อเงินปันผลออก เราจะสร้างบ้านใหม่”
หลินเจียอินพยักหน้าซ้ำ ๆ
ในที่สุดก็สามารถสร้างบ้านใหม่ได้แล้ว เธอแทบรอไม่ไหวที่จะถามไปว่า “คุณวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างเมื่อไหร่ ? ”
หากขึ้นบ้านใหม่ ทุกคนในครอบครัวก็ต้องอยู่ฉลอง ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่สามารถไปทำงานที่ร้านได้
และหากว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ไปที่ร้าน ก็จะไม่มีใครทำพะโล้
หลินเจียจึงต้องถามออกมาให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้จัดการงานในมือให้เสร็จ จะได้มีเวลากลับมาดูแลบ้านหลังใหม่ด้วย