ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 95 :สองเศรษฐินี
ตอนที่ 95 :สองเศรษฐินี
วันนี้เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันแรงงาน
ในปี 1983 วันแรงงานเป็นเพียงเทศกาลหนึ่งที่ไม่ได้หยุดงานกันจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเริ่มเตรียมของในร้านตามปกติ เขาได้เขียนป้ายใหม่ขึ้นมาสองป้าย เอามาแทนที่ป้ายเก่าที่หน้าประตู “งานอันทรงเกียรติ คืองานหนัก แต่แค่ได้กินข้าวก็หายเหนื่อยแล้ว อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยพะโล้แสนอร่อยสักชาม”
ส่วนอีกป้ายถูกแทนที่ด้วยคำว่า “ฉลองวันแรงงาน ซื้ออาหารครบ 2 หยวนรับส่วนลด 2 เหมา และแถมอีกหนึ่งต่อด้วยบัตรกำนัลมูลค่า 2 เหมา”
ผู้สัญจรที่ผ่านไปมาและลูกค้าประจำต่างก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาทันทีที่เห็นป้ายโฆษณานี้
“ดูสิว่าป้ายนี้มันเขียนไว้ดีแค่ไหน แค่ได้กินข้าวก็หายเหนื่อยแล้ว อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยการกินของอร่อยใช่ไหม ? ”
“ใช่ ปกติเรากินอยู่อย่างประหยัด วันนี้วันแรงงานทั้งที เราควรให้รางวัลตัวเองบ้าง”
“พอดีเลย ฉันจะซื้อหมูพะโล้สัก 1 ชั่ง”
“ฉันก็อยากซื้อเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าเมนูพะโล้ของร้านนี้อร่อยมาก ฉันลังเลที่จะซื้อมานานแล้ว วันนี้เป็นวันแรงงาน ฉันว่าจะซื้อมาลองสักหน่อย”
“วันนี้มีโปรโมชั่นพอดีเลย ซื้อครบ 2 หยวนรับส่วนลด 2 เหมา”
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่ร้านยังให้บัตรกำนัลมูลค่า 2 เหมาด้วย เท่ากับว่าครั้งถัดไปจะประหยัดไปอีก 2 เหมา”
“ซื้อครบ 2 หยวนถึงจะได้ นั่นคือราคาของหัวหมูพะโล้พอดีไม่ใช่หรือ ? ”
“ใช่แล้ว เร็วเข้า ฉันจะไปซื้อหัวหมูพะโล้”
“……”
คำโฆษณาง่าย ๆ ดูเหมือนจะไปโดนใจคนที่มักจะใช้ชีวิตอย่างอดออม บอกได้คำเดียวว่ามันสามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้จริง ๆ
ใช้ช่วงเวลาพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในการแสวงหาผลประโยชน์
เพียงเพราะป้ายโฆษณานี้ พอร้านเปิด ธุรกิจก็บูมขึ้นมาทันที
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูฉากการขายที่คึกคักด้วยรอยยิ้ม เขารีบบรรจุพะโล้ลงในชามแล้วเอาไปส่งให้ลูกค้าประจำที่สั่งไว้ทีละหน่วยงาน
“ผู้อำนวยการหวัง สุขสันต์วันแรงงานครับ ! ”
”ฮ่าฮ่า เถ้าแก่เจียง ไว้ว่าง ๆ แวะมาคุยกันบ้างนะ”
“ผู้อำนวยการหวัง เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรงงาน ผมจึงแถมหัวหมูพะโล้ 2 ชั่งให้คุณและผู้อำนวยการโจว พวกคุณทำงานหนักมานาน ดังนั้นต้องกินให้เยอะ ๆ นะครับ”
“เกรงใจแล้ว”
“ผู้อำนวยการหวัง ผมยินดีจริง ๆ ไม่ใช่แค่กับคุณคนเดียว ผมยังได้เตรียมของขวัญให้กับพนักงานทุกคนในโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของคุณอีกด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว จากนั้นก็หยิบบัตรกำนัลที่เขาทำออกมา
แต่ละใบมีมูลค่า 6 เหมา สามารถนำไปแลกพะโล้ผักได้ฟรี 1 ชั่ง หรือจะนำมาแลกเป็นส่วนลดเงินสดเวลาซื้อพะโล้ที่ร้านของเขาก็ได้
ในโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรมีพนักงานมากกว่า 400 คน ซึ่งหมายความว่ามีบัตรกำนัลมากกว่า 400 ใบ
หวังเหล่ยถือมันไว้ในมือ อดไม่ได้ที่จะชมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เถ้าแก่เจียงใจป้ำมาก คุณถึงกับให้ของขวัญวันแรงงานแก่พนักงานในโรงงานของเราด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แม้ว่าคนงานในโรงงานของคุณจะได้กินพะโล้ทุกวัน แต่ก็ใช่ว่าคนในครอบครัวของพวกเขาจะได้กิน ผมยังหวังว่าครอบครัวของพวกเขาจะได้มาลองชิมพะโล้ที่แสนอร่อยของร้านผมบ้าง”
“งั้นฉันขอเป็นตัวแทนของคนงานในโรงงานและครอบครัวของพวกเขาขอบคุณเถ้าแก่เจียงจากใจจริง”
“ด้วยความยินดีครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ก่อนจะขอตัวออกมาจากหวังเหล่ย เพื่อไปที่อื่นต่อ
ที่สำนักงานคลังประจำเมือง
“ผู้อำนวยการหลี่ สุขสันต์วันแรงงานครับ ! ”
“……”
ที่สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรม
“ผู้อำนวยการเฉิน สุขสันต์วันแรงงานครับ ! ”
“……”
ที่ร้านอาหารของรัฐ
“ผู้อำนวยการเหลียง สุขสันต์วันแรงงานครับ ! ”
“……”
ที่สำนักความมั่นคงสาธารณะ
ที่สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ
สำนักพิมพ์ชิงโจว
บริษัทรับเหมาก่อสร้าง
บริษัทก่อสร้างทางหลวง
……
สำหรับหน่วยงานแต่ละหน่วย เจียงเสี่ยวไป๋ได้แถมพะโล้ให้กับพวกผู้นำ จากนั้นก็ให้บัตรกำนัลแก่พนักงานของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วย
สำหรับจำนวนพนักงานในหน่วยงานเหล่านี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้ทราบจำนวนดี จึงได้ทำบัตรกำนัลขึ้นมาตามจำนวน และให้ผู้นำของพวกเขาเอาไปแจกลูกน้องเอง
เขาออกแบบบัตรกำนัลด้วยตนเองและขอให้เซี่ยงเฉียนจิ้นพิมพ์ให้เขา
ซึ่งเขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องการปลอมแปลงบัตรกำนัลเลยสักนิด
แน่นอนว่าถึงจะมีคนปลอมแปลงมันขึ้นมา แต่เขาก็ไม่กังวล
ในการออกแบบที่เรียบง่าย เขาได้เพิ่มรหัสและองค์ประกอบพิเศษต่าง ๆ เข้าไป เมื่อบัตรกำนัลมาอยู่ต่อหน้าของเขา เขาก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
เขาเอาพะโล้ไปส่งที่หน่วยงานต่าง ๆ มากกว่าสิบแห่ง กว่าจะเสร็จและกลับมาถึงร้านก็เป็นเวลา 11.00 น. แล้ว
“เมียจ๋า คุณเรียกเฝิงเยี่ยนหงให้ไปที่ธนาคารด้วยกัน แล้วไปถอนเงินมาแบ่งให้เธอเถอะ”
เขายุ่งอยู่กับการส่งพะโล้เป็นหลักในช่วงเช้า ในด้านธุรกิจผัดมันฝรั่งก็ยังเป็นปกติ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงให้หลินเจียอินไปทำธุระเรื่องเงินที่ธนาคาร
ในเมื่อตกลงแบ่งเงินกันแล้ว คงไม่สามารถพูดแค่เพียงปากเปล่าได้
ต้องแบ่งเงินสดที่จับต้องได้ให้แก่กัน แบบนั้นถึงจะเรียกว่าแบ่งเงินอย่างแท้จริง
เมื่อเฝิงเยี่ยนหงได้ยินว่าจะไปแบ่งเงินที่ธนาคาร ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่ เดี๋ยวไปบ้านฉันก่อน ฉันจะเอาเงินไปฝากธนาคารด้วย”
เมื่อคืนนี้ เธอและหวังผิงเอาเงิน 2,557.1 หยวนกลับไปที่บ้าน ทั้งคู่ช่วยกันนับเงินเมื่อคืนนี้ก็อดที่จะมีความสุขไม่ได้
อืม เพราะพรุ่งนี้เธอตั้งใจจะเอาไปฝากธนาคาร
ถ้านับไม่ดีก็อาจจะผิดพลาดได้
ท้ายที่สุดแล้ว การนับเงินเองให้ความรู้สึกแตกต่างจากการให้ธนาคารนับให้
“ได้ ไปที่บ้านเธอก่อนก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบรับ
พ่วงข้างของมอเตอร์ไซค์สามารถนั่งได้เพียงคนเดียว ดังนั้นเฝิงเยี่ยนหงจึงได้นั่งตรงพ่วงข้าง ส่วนหลินเจียอินก็นั่งอยู่ข้างหลังเจียงเสี่ยวไป๋
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถบนทางลูกรัง หน้าอกของเธอก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอยู่หลายครั้ง
อ่า……
การนั่งแบบนี้มันสะดวกสำหรับหลินเจียอิน แต่มันยากสำหรับตัวเขาเอง
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
เฝิงเยี่ยนหงได้แวะไปเอาเงินที่บ้าน ก่อนที่ทั้งสามคนจะไปที่ธนาคารด้วยกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ขอให้หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา จากนั้นก็ย้ายเงิน 8,524.18 หยวนจากบัญชีเก่าของหลินเจียอินไปยังบัญชีของเฝิงเยี่ยนหง และย้ายเงิน 14,621.92 หยวนยังบัญชีใหม่ของเธอ
ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้ในบัญชีเก่าของหลินเจียอินมีเงินทุนอยู่แค่ 5,000 หยวน
ในอนาคต รายได้และรายจ่ายของร้านจะหมุนเวียนอยู่ในบัญชีนี้ทั้งหมด แล้วค่อยแบ่งกัน
ส่วนเงิน 14,621.92 หยวนในบัญชีใหม่เป็นของหลินเจียอินทั้งหมด
คือเงินออมทั้งหมดของเธอ
และเธอยังมีเงินสดมากกว่า 1,000 หยวนอยู่ในมือ ซึ่งเป็นเงินเดือนของเจียงเสี่ยวไป๋ที่เอาให้เธอเก็บไว้
เฝิงเยี่ยนหงมองไปที่สมุดบัญชีเงินฝากในมือของเธอ
ชื่อบัญชี: เฝิงเยี่ยนหง
ธนาคารสาขา: ธนาคารการเกษตร สาขาจิงโจว
ยอดคงเหลือ: 11,360.00 หยวน
เธอไม่เพียงเก็บเงินปันผลได้มากกว่า 11,000 หยวนเท่านั้น แต่เงินออมของครอบครัวก่อนหน้านี้ที่มี 200 กว่าหยวนก็ยังถูกนำมาฝากเข้าบัญชีด้วย ตอนนี้เธอเหลือเงินสดติดตัวประมาณ 20-30 หยวนเท่านั้น
เมื่อนึกย้อนกลับไป สี่ถึงห้าปีที่แต่งงานกับหวังผิงมา เธอสามารถเก็บเงินได้เพียง 200 กว่าหยวนเท่านั้น ทว่าเมื่อมาทำงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ เธอกลับสามารถเก็บเงินได้มากถึงหนึ่งหมื่นหยวนภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อคิดได้แบบนี้ ดวงตาของเฝิงเยี่ยนหงก็มีน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งและดีใจ
“พี่ ฉันต้องขอบคุณพี่มากจริง ๆ ”
เฝิงเยี่ยนหงระงับความตื่นเต้นของเธอไว้ และกล่าวขอบคุณเจียงเสี่ยวไป๋จากใจจริง
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออก ขนาดได้เงินเพียงเท่านี้ เธอยังกล่าวขอบคุณเขา หากว่าในอนาคตได้เงินมากกว่านี้ เธอคงพูดขอบคุณเขาไม่หยุดเป็นแน่
แต่ถึงอย่างไรเขาก็พอเข้าใจความรู้สึกของเฝิงเยี่ยนหง
ผู้คนในยุคนี้ยากจนมาก เมื่อได้กำเงินจำนวนมหาศาลก็ไม่ต่างจากการได้เกิดใหม่ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตื่นเต้นและซาบซึ้งใจ
“สองเศรษฐินี ไปกันเถอะ ! ”
เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงยังคงตื่นเต้นและมีความสุขกับยอดเงินฝากในบัญชี เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้แต่เรียกพวกเธอให้กลับร้านอย่างช่วยไม่ได้
“จะเรียกแบบนี้ทำไม ? ”
หลินเจียอินพูดอย่างไม่พอใจ ดวงตาคู่งามของเธอมองค้อนมาที่เจียงเสี่ยวไป๋ “คำเรียกแบบนั้นดูแก่จะตาย ฉันแก่ขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตระหนักได้ว่าภรรยาของเขาเข้าใจผิดคิดว่าเขามองว่าเธอแก่ที่เรียกเธอว่าเศรษฐินี ซึ่งมันฟังดูเหมือนเธอแก่แล้ว
ใช่แล้วล่ะ เพราะในปี 1983 ผู้หญิงที่ร่ำรวยจนถึงขั้นเรียกกันว่าเศรษฐินีได้นั้นมักจะมีอายุกันหมดแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่ภรรยาของเขาจะคิดแบบนี้
เขาหัวเราะและอธิบายอย่างรวดเร็ว “เมียจ๋า ในที่นี้ผมหมายถึงหญิงสาวที่ร่ำรวย และไม่เกี่ยวอะไรกับเศรษฐินีอายุมากอะไรพวกนั้นเลย”
เฝิงเยี่ยนหงยิ้มออกมา
เธอชอบที่เขาเรียกเธอว่า “เศรษฐินี”