ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 80 :เปิดร้านใหม่
ตอนที่ 80 :เปิดร้านใหม่
วันที่ 20 เมษายน ท้องฟ้าแจ่มใส
หลังจากเตรียมงานกันนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดร้าน “อร่อยสามมื้อ” ก็เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าเขาจะรู้พิธีการต่าง ๆ ในการเปิดกิจการในอนาคต แต่ในครั้งนี้ เจี่ยงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้วางแผนอะไรมาก
หลังจากเตรียมพะโล้ตุ๋นในตอนเช้า เขาหยิบกระดาษสีแดงออกมาและเขียนป้ายโฆษณาสองใบ
ป้ายใบหนึ่งเขียนว่า: ร้านอร่อยสามมื้อ อร่อยสุดคุ้ม ซื้อเมนูพะโล้ตุ๋น รับผัดมันฝรั่งฟรี
อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า : พะโล้ตุ๋นตำรับชาววัง เชิญชิมฟรี
หลังจากเขียนป้ายโฆษณามาสองใบแล้ว เขาให้หวังผิงติดกระดาษที่เขาเขียนลงบนป้ายโฆษณาไม้แล้ววางไว้ข้างถนนหน้าร้าน ก็เป็นอันเสร็จ
เนื่องจากมีพะโล้ตุ๋นขายอยู่ภายในร้าน แม้ว่าลูกค้าจะมองเห็นผ่านตู้กระจกได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเท่าตั้งขายที่แผงหน้าร้าน
เจียงเสี่ยวไป๋บอกให้หวังผิงจัดโต๊ะสองโต๊ะที่แผงริมถนน และเลือกพะโล้ตุ๋นห้าประเภท ทั้งผักและเนื้อสัตว์วางไว้ในถาดเล็ก ๆ แต่ละจานมีป้ายเล็ก ๆ ระบุชื่ออาหาร นอกจากนี้ยังมีไม้ไผ่เสียบไว้ให้ผู้ที่ต่อแถวซื้อผัดมันฝรั่งได้ลิ้มลองรสชาติพะโล้ตุ๋นแสนอร่อยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม พะโล้ตุ๋นแต่ละอย่างให้ลองชิมแค่ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น หากใครอยากกินเพิ่ม พวกเขาจะต้องเข้าไปในร้าน
“พะโล้ตุ๋นคืออะไรหรือ ? ”
“ใช่แล้ว น่ากินมากเลย”
“อืม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวด้วย”
“ป้ายเขียนว่า ‘ชิมฟรี’ เราไปลองชิมกันเถอะ”
“ชิมก็ชิม”
“……”
ในยุคนี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพะโล้ตุ๋นคืออะไร ทำให้เมนูตุ๋นที่จัดแสดงไว้ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนด้วยรูปลักษณ์และกลิ่นหอมที่น่าดึงดูดใจ
“ว้าว อร่อยจังเลย ! ”
หลังจากลองชิมไปชิ้นหนึ่ง ใบหน้าของลูกค้าก็เปล่งประกายด้วยความพอใจ พร้อมกับพูดว่า “รสชาติของมันทั้งเผ็ดและอร่อย ตอนแรกฉันคิดว่าผัดมันฝรั่งอร่อยที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าพะโล้ตุ๋นจะอร่อยกว่าเยอะ”
“มันอร่อยจริง ๆ ! ”
“อร่อยมาก ! ขอชิมหูหมูหน่อยสิ”
หลังจากลองชิมหลายจานติดต่อกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนอร่อย ลูกค้าจึงหันไปถามเฝิงเยี่ยนหงว่า “พะโล้ตุ๋นเหล่านี้ขายยังไงและราคาเท่าไหร่ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงตอบว่า “ถ้าลูกค้าอยากซื้อพะโล้ตุ๋นเหล่านี้ สามารถเข้าไปที่ร้านและซื้อตามน้ำหนักที่คุณต้องการได้เลย”
ลูกค้าขอบคุณเธอแล้วเดินเข้าไปในร้าน
แต่เมื่อเข้าไปในร้านก็ต้องตกใจ
ด้านหน้ามีตู้กระจกใสเรียงเป็นแถวพร้อมช่องเปิดหลายช่องด้านบน ภายในมีพะโล้ตุ๋นจัดวางไว้บนถาดอย่างเป็นระเบียบหลากหลายอย่าง แต่ละถาดมีพะโล้ตุ๋นกองเต็ม และดูดึงดูดความสนใจอย่างมาก
บนผนังใกล้ทางเข้า มีป้ายกระดาษสีแดงขนาดใหญ่แสดงชื่ออาหาร
เมื่อลูกค้าเงยหน้าขึ้นจะเห็นรายการอาหารประเภทเนื้อสัตว์: หัวหมูพะโล้, ขาหมูพะโล้, หูหมูพะโล้, น่องไก่พะโล้, ตีนไก่พะโล้, คอเป็ดพะโล้, ไส้เป็ดพะโล้, โครงเป็ดพะโล้ และเนื้อพะโล้
สำหรับรายการผัก ได้แก่ เห็ดเข็มทองพะโล้ สาหร่ายพะโล้ หน่อไม้ฝรั่งพะโล้ เต้าหู้แผ่นพะโล้ และมันฝรั่งพะโล้
รวมแล้วมีอาหารทั้งหมด 14 รายการ โดยทั้งหมดไม่ได้ระบุราคาไว้
ลูกค้ามองรายการอาหารมากมายอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกอยากซื้อไปเสียทุกอย่าง ทำเอาพวกเขาตัดสินใจกันลำบากไม่น้อย
ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจได้และคิดว่าหัวหมูอร่อยที่สุด เขาจึงถามว่า “เถ้าแก่ หัวหมูพะโล้ราคาชั่งละเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและตอบว่า “หัวหมูพะโล้ราคาละ 2.20 หยวน”
“อะไรจะแพงขนาดนั้น ? ”
ลูกค้าถึงกับตกตะลึงกับราคา
เนื้อสดทั่วไปที่ร้านขายเนื้อมีราคาเพียงชั่งละ 1 หยวนเท่านั้น ตอนนี้ราคาเนื้อเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพียงเพราะมันถูกนำมาตุ๋น ดูเหมือนจะค่อนข้างแพงไปหน่อยนะ
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายว่า “คุณอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อคุณตุ๋นเนื้อ น้ำหนักของเนื้อจะลดลง และเมื่อเรานำเนื้อหนึ่งชั่งไปตุ๋น เราจะได้เนื้อตุ๋นออกมาเพียงครึ่งชั่งเท่านั้น ซึ่งการที่คุณซื้อเนื้อตุ๋นพะโล้ของผมไป 1 ชั่ง ผมจะได้กำไรได้เพียง 2 เหมาเท่านั้น”
ตุ๋นแล้วเหลือครึ่งชั่ง ?
ลูกค้าได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เนื่องจากเขาไม่รู้วิธีตุ๋นอาหาร จึงไม่รู้ว่าการตุ๋นส่งผลต่อน้ำหนักของเนื้ออย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่อว่า “พะโล้ตุ๋นของผมปรุงด้วยตำรับชาววัง เราใช้เครื่องเทศที่แตกต่างกันมากถึง 28 ชนิดในการตุ๋น ในอดีต จะมีแค่พวกจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้กินพะโล้ตุ๋น ถ้าคุณได้ลองซื้อไป ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องกลับมาซื้ออีกแน่นอน”
“รสชาติมันอร่อยมากจริง ๆ ”
ลูกค้าพยักหน้าและถามอย่างลังเลว่า “งั้นขอลองซื้อครึ่งชั่งได้ไหม ? ”
“แน่นอน คุณสามารถซื้อเท่าไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ”
“ตกลง วันนี้ฉันจะซื้อครึ่งชั่ง”
“ได้เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบรับ และหั่นหัวหมูชิ้นเล็ก ๆ ชั่งได้ 6 เหลียง ก่อนที่เขาจะพูดว่า “6 เหลี่ยงหรือครึ่งชั่งของคุณ”
ลูกค้ายินดีและยื่นเงิน 1.10 หยวนให้ทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ถามว่า “ให้ผมหั่นมันให้ไหม ? ”
“หั่นเลย”
“ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋หั่นหัวหมูตุ๋นเป็นชิ้นบาง ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนวางมันลงในชามกระดาษ จากนั้นหยิบถ้วยกระดาษขนาดเล็กสามนิ้วออกมา เขาตักน้ำจิ้มสูตรลับใส่ถ้วยเล็ก ปิดฝาแล้ววางไว้ในชามหมู่ตุ๋น ก่อนจะยื่นให้ลูกค้า
“กลับบ้านไปคุณลองกินกับน้ำจิ้มนี้ดู มันจะอร่อยยิ่งขึ้น”
“ได้ ขอบคุณนะเถ้าแก่”
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ยังมอบกระดาษที่มีหมายเลข Z001 เขียนไว้ให้ลูกค้าคนนั้นด้วย โดยกล่าวว่า “นำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย คุณสามารถเอามันไปแลกผัดมันฝรั่งฟรีที่แผงขายด้านนอก”
ลูกค้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนได้กำไรมหาศาล
พวกเขาถือชามพะโล้ตุ๋นและใบคูปองด้วยรอยยิ้ม เพื่อไปรับผัดมันฝรั่ง
ในปี 1983 ไม่มีถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงต้องใช้ชามกระดาษเพื่อใส่พะโล้ตุ๋น และมีถ้วยขนาดเล็กพร้อมฝาปิด ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับใส่น้ำจิ้มสูตรพิเศษ
แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเล็กน้อย แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่รังเกียจ ตราบใดที่ให้ความสะดวกแก่ลูกค้า
ยิ่งไปกว่านั้น กำไรจากพะโล้ตุ๋นก็ค่อนข้างดี
หากบอกว่าการตุ๋นเนื้อหนึ่งชั่งจะได้เนื้อตุ๋นครึ่งชั่ง นั่นเป็นฝีมือของพ่อครัวทักษะน้อย แต่สำหรับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาสามารถตุ๋นเนื้อหนึ่งชั่งได้เนื้อตุ๋นออกมา 7 เหลียง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าเขาใช้เนื้อสองชั่ง เขาจะตุ๋นเนื้อได้ประมาณหนึ่งชั่งครึ่ง
เมื่อพิจารณาแล้ว การขายเนื้อตุ๋นหนึ่งชั่งจะได้กำไรประมาณ 6 เหมา
เมื่อมีลูกค้าได้ลองชิมพะโล้ตุ๋นจากแผงขายด้านหน้า ก็มีคนเข้ามาที่ร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อมากหรือน้อย เจียงเสี่ยวไป๋จะให้คูปองที่มีหมายเลขให้กับพวกเขา เพื่อรับผัดมันฝรั่งฟรีหนึ่งชาม
ด้วยวิธีนี้ ลูกค้าบางรายที่เดิมตั้งใจจะซื้อผัดมันฝรั่งหรือฟักเขียวเท่านั้น กลับเลือกที่จะซื้อพะโล้ตุ๋นด้วยเช่นกัน
เมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของพะโล้ตุ๋นแล้ว พวกเขาก็ชื่นชอบมาก
นอกจากนี้ พวกเขาสามารถซื้อผักพะโล้และรับผัดมันฝรั่งฟรีหนึ่งชาม ด้วยเงินเพียงไม่กี่เหมาเช่นกัน
ลูกค้าบางคนที่ตอนแรกซื้อผัดมันฝรั่งอย่างเดียว เมื่อสังเกตว่ามีหลายคนกินเมนูตุ๋นคู่กับผัดมันฝรั่ง ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป บางคนอดใจไม่ได้และลงเอยด้วยการซื้อพะโล้ตุ๋นเพิ่มอีกถ้วย
การชิมฟรีและแถมผัดมันฝรั่งฟรี 1 ชาม เมื่อซื้อพะโล้ตุ๋นทำให้เมนูพะโล้ตุ๋นเป็นที่รู้จักของลูกค้าในระยะเวลาอันสั้น และพะโล้ตุ๋นก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
เมื่อใกล้เที่ยง ชายวัยกลางคนร่างอ้วนคนหนึ่งกินเนื้อหัวหมูพะโล้ในร้านเสร็จแล้ว ก็เดินไปที่หน้าต่างเคาน์เตอร์ และพูดว่า “เถ้าแก่ เราคุยกันหน่อยได้ไหม ? ”
ร้านที่ออกแบบใหม่มีพื้นที่รับประทานอาหารสำหรับลูกค้า และด้านหลังกระจกกั้นเป็นเคาน์เตอร์และห้องครัว การจัดวางนี้ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกพะโล้ตุ๋นได้สะดวก และยังแยกลูกค้าออกจากพนักงานอีกด้วย ซึ่งสามารถรับประกันสุขอนามัยของพะโล้ตุ๋น และเป็นการรับประกันว่าพนักงานขายจะไม่ได้รับผลกระทบ
เมื่อเห็นว่ายังมีลูกค้าจำนวนมากที่ซื้อพะโล้ตุ๋น เจียงเสี่ยวไป๋จังกังวลว่าหากเขาออกไปอาจทำให้ถานเสี่ยวฟางรับมือกับลูกค้าเพียงลำพัง เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “พี่ชาย หากคุณมีเรื่องจะหารือก็พูดมาเถอะ ตอนนี้เรามีลูกค้าเยอะมาก ผมออกไปพบคุณไม่ได้หรอก”