ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 749 ไปดูพิธีเชิญธง
ตอนที่ 749 ไปดูพิธีเชิญธง
“ดีเลยครับคุณพ่อ เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า”
หลินต้ากั๋วเห็นด้วยทันที
ในที่สุด อารมณ์ที่ตึงเครียดของเจียงเสี่ยวไป๋ก็ผ่อนคลายลง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อย
หลินต้ากั๋วกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม กว่าที่โครงการนี้จะสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงก็คงต้องทำไปตามขั้นตอนอยู่ดี โดยจะยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นทางการ อย่างเร็วที่สุดคือต้นปีนี้ โครงการนำร่องจะเริ่มที่ภาคกลางของจีน”
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจดีว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ จะต้องดำเนินการไปทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการนำร่องจะเริ่มที่ภาคกลางของจีน จึงหวังว่าหลินต้ากั๋วจะเป็นผู้นำในอนาคต
“แล้วเรื่องร้านขายล็อตเตอรี่แห่งความหวัง พวกเขาได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้างครับ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง จึงถามออกมาอย่างระมัดระวัง
หลินต้ากั๋วกล่าวว่า “ยังไม่มีแถลงการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งอาจหมายความว่าเรื่องนี้อาจให้สำนักงานโครงการล็อตเตอรี่แห่งความหวังเป็นผู้ตัดสินใจโดยตรง โดนที่ทางเบื้องบนจะไม่เข้าไปยุ่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “งั้นก็หมายความว่าเราต้องรอจนถึงปีหน้า จึงจะตัดสินใจได้ใช่ไหมครับ ? ”
หลินต้ากั๋วกล่าวว่า “อย่างน้อยก็จะยังไม่มีการตัดสินใจจนกว่าจะถึงสิ้นปี รอจนกว่าสำนักงานโครงการล็อตเตอรี่แห่งความหวังได้รับการจัดตั้งขึ้น”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตอนนี้ผมเองก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ ผมทำได้เพียงรอข่าวจากลุงรองเท่านั้น”
หลินต้ากั๋วยิ้ม “ใจเย็น ๆ ฉันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานโครงการล็อตเตอรี่แห่งความหวังแล้ว ฉันจะรับผิดชอบในการจัดการและดำเนินโครงการให้เอง แต่ฉันได้ปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อและวางแผนที่จะให้นายมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงาน และเตรียมพร้อมสำหรับเปิดสำนักงาน”
หา ?
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ข่าวนี้ทำให้เขาประหลาดใจจริง ๆ
“จะให้ผมเป็นที่ปรึกษาเหรอ ? ”
ที่จริงแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นเขาจึงถามอย่างออกมาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
หลินต้ากั๋วจะมองไม่เห็นท่าทีลนลานของเขาได้อย่างไร “อาจพูดได้ว่านายเป็นผู้ตัดสินชะตาของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ หากนายไม่ยอมทำหน้าที่นี้ ก็ล้มเลิกความคิดเปิดร้านขายล็อตเตอรี่ที่นายวางแผนไว้ในอนาคตไปได้เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างไม่พอใจ “ลุงรอง นี่ลุงกำลังข่มขู่และบีบบังคับผมอยู่ใช่ไหม ! ”
หลินต้ากั๋วพูดอย่างมีความสุข “ทีนายยังบังคับฉันได้ ฉันจะบังคับนายไม่ได้เชียวเหรอ หยุดพูดไร้สาระกับฉันได้แล้ว สำนักงานใหญ่จะตั้งอยู่ในเจียงเฉิง ฉันหวังว่านายจะมาบ่อย ๆ ในอนาคต”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จะพูดอะไรได้อีก ?
เขาทำได้แค่จับจมูกแล้วยอมรับมัน
ต่อไป หลินต้ากั๋วก็พูดคุยกับเขาถึงรายละเอียดบางอย่างหลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมง
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ชายชราก็กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ฉันขอไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งหน่อยสิ วันนี้ที่สามารถเจรจาได้อย่างราบรื่น ก็เพราะอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ นี้ที่มีส่วนช่วยอย่างมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบหยิบอีกเจ็ดถึงแปดอันออกจากถุงแล้วยื่นให้ชายชรา
หลินต้ากั๋วต้องการให้เขาดำเนินการให้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำแบบนี้
“เอาล่ะ ถ้าจะพูดก็พูดต่อเถอะ ฉันจะไปนอนแล้ว” ชายชราลุกขึ้นหลังจากได้ไฟแช็กใช้แล้วทิ้ง ก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าเรายังได้ออกไปข้างนอกด้วยกันอยู่”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
จึงทำให้ในห้องเหลือเพียงหลินต้ากั๋วและเจียงเสี่ยวไป๋ หลินต้ากั๋วหยิบบุหรี่ของเขาออกมา แล้วยื่นให้ เจียงเสี่ยวไป๋
พวกเขาทั้งสองเริ่มคุยกันอีกครั้งในขณะที่สูบบุหรี่
ครั้งนี้ทั้งคู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องโครงการล็อตเตอรี่แห่งความหวัง แต่หัวข้อก็กลับมาที่ผักนอกฤดูกาล
ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่พูดถึงวิธีการ แต่คราวนี้ทั้งสองได้พูดถึงรายละเอียดกันจริง ๆ
บทสนทนานี้กินเวลาจนถึงเกือบสิบเอ็ดโมง จากนั้นทั้งสองก็ได้แยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นแต่เช้า อาบน้ำและลงไปชั้นล่าง ข้างนอกยังไม่สง่า เขาจึงเปิดไฟแล้วเดินไปเปิดประตู
ภายนอกถนน สวน และบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกลออกไปล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
เมื่อคืนหิมะตกหนักมาก และยังคงไม่หยุดจนถึงตอนนี้ จึงทำให้มองไปทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดใหม่ที่เขาได้เห็นหิมะตกหนักขนาดนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงมองออกไปอย่างเงียบ ๆ
“ป่าป๊าตื่นเช้าจังเลยค่ะ ! ”
เสียงของเจียงชานดังมาจากด้านหลัง
เจียงเสี่ยวไป๋หันกลับมาและเห็นว่าเธอเดินมาด้วยรอยยิ้ม
“มานี่มา มาดูหิมะกันเถอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขยับไปด้านข้าง เอาแขนโอบไหล่ลูกสาว ยืนพิงประตูมองดูหิมะข้าง ๆ เธอ
“ว้าว หิมะเยอะมาก ! ”
เด็กน้อยดูตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหิมะตกหนักแบบนี้
เมืองชิงโจวและเจียงวานก็มีหิมะตกเหมือนกัน แต่ยกเว้นบริเวณบนพื้นที่สูง จึงทำให้หิมะไม่ได้ตกหนักแบบนี้ การที่มีหิมะปกคลุมหนา 2-3 เซนติเมตร ก็ถือว่าตกหนักแล้ว
แต่เทียนจิงนั้นแตกต่างออกไป หิมะตกลงมาไม่หยุด ซึ่งหนักกว่าในเจียงวานมาก
“ป่าป๊า เราไปเล่นหิมะกันเถอะ ! ”
เจ้าตัวน้อยมองไปที่หิมะหนาทึบด้านนอกประตูด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “มากวาดหิมะในลานบ้านกันก่อน คุณปู่ทวดของหนูตื่นมาคงอยากมาฝึกไทเก๊ก มันจะสะดวกกว่าถ้าหิมะถูกกวาดออกไป”
“ได้ค่ะ ! ” เจ้าตัวเล็กตอบตกลงอย่างตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม การกวาดหิมะก็เป็นเพียงการเล่นหิมะเท่านั้นสำหรับเธอ
ในขณะนี้ ชายชราและติงจงผิงก็ได้ลงมาชั้นล่างด้วยกัน เมื่อเห็นเจียงชานถือไม้กวาด ชายชราจึงถามว่า “เสี่ยวชานชาน หนูเอาไม้กวาดมาทำอะไร ? ”
เด็กน้อยพูดว่า “คุณปู่ทวด ป่าป๊ากับหนูกำลังกวาดหิมะอยู่ค่ะ”
ชายชรามีความสุขมาก “หนูจะกวาดหิมะไปทำไม ? รีบไปเตรียมตัวได้แล้ว พ่อของหนูไม่ได้บอกเหรอว่าเขาจะพาหนูไปเที่ยวจัตุรัสเทียนอันเหมิน ? ”
“อ๊า ? ” เจียงชานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณปู่ทวดค่ะ ป่าป๊าบอกว่าวันนี้จะพาหนูไปปีนกำแพงเมืองจีนไม่ใช่เหรอ ? ”
ชายชรากล่าวว่า “พรุ่งนี้เราจะไปปีนกำแพงเมืองจีนด้วยกัน วันนี้ฉันจะพาไปดูการเชิญธงชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมินก่อน”
“โอ้ โอ้ โอ้ ! ”
เจ้าตัวเล็กวางไม้กวาดลงทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ตระหนักได้ว่าตารางเที่ยวนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเขายังไม่ได้บอกลูกสาวของเขาเลย เขาจึงพูดว่า “ชานชาน วันนี้เราจะไปเทียนอันเหมิน ส่วนกำแพงเมืองจีนเราจะไปกันพรุ่งนี้ เมื่อคืนพ่อลืมบอกหนูไปเลย”
เจียงชานไม่สนใจ ไม่ว่าเธอจะได้ไปเที่ยวที่ไหนก่อนก็เหมือนกันนั่นแหละ เธอจึงพูดว่า “ป่าป๊า ไม่เป็นไรค่ะ รีบไปเอากล้องเร็วเข้า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เดินกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบกระเป๋าและกล้องถ่ายรูปมา แล้วลงไปชั้นล่างอีกครั้ง
หลังจากที่ติงจงผิงกวาดหิมะที่กระจกหน้าและหลังรถเสร็จ หลินชู่ก็มาด้วย เขาขับรถพาชายชรา ติงจงผิง เจียงเสี่ยวไป๋และลูกสาวของเขาไปที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
การเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินจะขึ้นอยู่กับเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและเมื่อแสงแรกส่องเข้ามาถึงในตอนเช้า ธงชาติก็ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสาอย่างช้า ๆ
ดังนั้นในฤดูร้อนมักจะมีการเชิญธงหลังจากเห็นแสงแรกตอนพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนในฤดูหนาวจะต้องรอหลังเจ็ดโมงเช้า
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋และพรรคพวกของเขามาถึงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ยังไม่มีการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ทั้งถนนฉางอันและจัตุรัสเทียนอันเหมินยังคงมืดอยู่
ยุคนี้มีคนมาชมพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ไม่มากเหมือนรุ่นหลัง และไม่ต้องจองคิว ผู้คนยังสามารถเข้าจัตุรัสได้อย่างอิสระ
จัตุรัสขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนหมด ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึมยิ่งขึ้น มีคนประมาณสิบกว่าคนยืนอยู่ที่จัตุรัสไม่ไกลจากเสาธง ไม่มีใครส่งเสียงดังหรือเล่นหิมะ พวกเขายืนรออยู่อย่างสงบ รอพิธีเชิญธงอย่างเงียบ ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่นเดินเข้าไปในฝูงชนและรออย่างเงียบ ๆ
จากนั้นก็มีคนมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีคน 30-40 คน พวกเขาเห็นทหารเชิญธงชาติเดินออกมาจากเทียนอันเหมิน ตรงมาทางนี้ด้วยย่างก้าวที่มั่นคง
ธงชาติซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณประจำชาติของประเทศ ไม่ว่าจะมีลมแรงหรือฝนตก ไม่ว่าจะหนาวหรือหนาวจัด ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งการชักธงขึ้นสู่ยอดเสาได้