ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 71 :เลือกทำเลสร้างบ้านใหม่
ตอนที่ 71 :เลือกทำเลสร้างบ้านใหม่
ฝนตกตลอดทั้งวัน
ยุคนี้ ในชนบทไม่มีโทรทัศน์ นับประสาอะไรกับสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชนบท พอฝนเริ่มตก ชาวบ้านจึงแทบไม่มีอะไรทำ
ผู้ชายที่ชอบเล่นไพ่จะไปเยี่ยมเพื่อนบ้านเพื่อรวมตัวกันสามหรือสี่คน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เดิมพันด้วยเงิน แต่พวกเขาก็สามารถเล่นได้ตลอดทั้งวัน
ในทางกลับกัน ผู้หญิงดูเหมือนจะสนใจเกมไพ่น้อยกว่าผู้ชาย พวกเธอมักจะรวมตัวกันเพื่อซ่อมรองเท้า ถักเสื้อ หรือแค่พูดคุยซุบซิบนินทากัน แน่นอนว่าพวกเธอพูดคุยกันได้ทั้งวันเช่นกัน
สรุปก็คือผู้คนในยุคนี้ค่อนข้างเรียบง่าย หาความสุขด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน ทั้งยังรู้สึกพึงพอใจได้ง่าย
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจที่จะเล่นไพ่ และหลินเจียอินก็ยิ่งรังเกียจการเล่นไพ่ ทั้งสองสามีภรรยาจึงอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวในโถงหลัก
เจียงถิงมาเล่นกับเจียงชานด้วยเช่นกัน
ระยะหลังมานี้ เด็กน้อยชอบมาเที่ยวเล่นที่บ้านลุง เพราะเธอสังเกตเห็นว่าลุงนิสัยไม่ดีในอดีตได้กลายเป็นลุงใจดีแล้ว ทั้งยังให้ขนมกับเธอ
ในขณะนี้ เจียงชานและเจียงถิงกำลังเล่นกันอยู่
”บด บด เปลือกข้าวสาลีสามชั่ง แล้วนำมาผัดหน้าขาว”
“นำมาทำขนม ไม่มีอะไรหวานอร่อยไปกว่านี้อีกแล้ว ของเธอหนึ่งชิ้น ของฉันหนึ่งชิ้น”
“นำมาทำทังหยวนให้ป้าเล็ก ป้าเล็กไม่ชอบกินถังหยวนรสเปรี้ยว”
“โยนกากถั่วหมักให้เป็ด เป็ดยังไม่กินกากถั่วที่เปรี้ยว”
“นำเต้าหู้ไปให้คุณป้า คุณป้าไม่กินเต้าหู้เปรี้ยว……”
เด็กน้อยสองคนร้องเพลงเด็กในท้องถิ่น เสียงที่ไร้เดียงสาของพวกเธอไพเราะราวกับเสียงดนตรีจากสวรรค์ และรอยยิ้มอันบริสุทธิ์นี้ทำให้พวกเธอดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อย
พวกเธอเรียบง่ายและสนุกสนานมาก
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูอย่างเพลิดเพลินขณะที่ยิ้มออกมา
ตอนนี้ เขาเพิ่งตระหนักรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นช่างเรียบง่ายเหลือเกิน
ในชาติที่แล้ว สังคมและเศรษฐกิจพัฒนาไปอย่างมาก ค่าครองชีพของผู้คนเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังคมได้เปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคแห่งวัตถุนิยม ในยุคนั้น สิ่งของทางวัตถุมีมากมาย แต่ขาดการเติมเต็มทางจิตวิญญาณ
ไม่มีความสุขที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้
หากไม่มีการเปรียบเทียบ จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรดีที่สุด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาเหม่อลอยและเริ่มมีสีหน้าเศร้าหมอง
“คุณเป็นอะไรไป ? ”
เมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอินก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋กลับสู่ความเป็นจริง เขาขยี้ตาและและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลย ผมแค่มีความสุขที่เห็นเด็ก ๆ สนุกสนานกัน”
“ใช่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ”
หลินเจียอินพูดพร้อมกับทอนถอนใจ
“เลียนแบบตามคนอื่น ทำให้กลายเป็นนกกระจอก”
“นกกระจอกบินไป แต่พวกมันได้กลายเป็นเต่า”
เต่าคลานและกลายเป็นมูล;
มูลมีกลิ่นและกลายเป็นถั่วเหลือง;
ถั่วเหลืองมีกลิ่นหอม กลายเป็นปืนกล;
“ปืนกลยิงได้ไกล ชายคนนั้นไม่มีความละอาย;
ปืนกลยิงเข้ามาใกล้ ชายคนนั้นไม่รักชีวิต
……”
เด็กทั้งสองเปลี่ยนไปร้องเพลงเด็กอีกเพลงหนึ่ง โดยยังคงร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา โบกมือให้กันและหัวเราะอย่างมีความสุข
ตลอดบ่ายผ่านไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋และครอบครัวกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทั้งครอบครัวก็เข้านอนเร็ว
ฝนยังตกต่อเนื่องตลอดทั้งคืน และในเช้าวันต่อมาก็ยังไม่หยุดตก
เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่ได้เข้าเมือง
อยู่บ้านนานเข้าเริ่มรู้สึกเบื่อ เขานึกสิ่งที่คุยกับหลินเจียอินเมื่อวานเกี่ยวกับการสร้างบ้านใหม่ ดังนั้นเขาจึงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
ความต้องการของหลินเจียอินนั้นไม่สูงนัก เธอพอใจกับบ้านสามห้องนอน มีห้องโถง และมีลานที่มีหลังคายื่นออกมา
แต่เจียงเสี่ยวไป๋มีแผนที่แตกต่างออกไป
จากความทรงจำในชีวิตที่แล้วของเขา เขารู้ว่าชิงโจวจะพัฒนาได้ดีในอนาคต และกลายเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของมณฑลทางตอนกลาง
เมื่อเมืองขยายตัวในอนาคต อำเภอชิงซานก็จะรวมอยู่ในเขตเมืองด้วย
แน่นอนว่าเจียงวานก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตเมืองเช่นกัน เพียงแต่เป็นชานเมืองเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋คิดจะสร้างบ้านใหม่ เขาจึงวางแผนระยะยาวเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นในคราวเดียว จะได้ไม่ต้องมาสร้างใหม่ในอนาคต
เนื่องจากเขากำลังวางแผนจะสร้างบ้าน เขาจึงต้องเลือกทำเล
หลังกินมื้อกลางวันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงหยิบร่มมาแล้วพูดว่า “ผมจะออกไปเดินเล่นหน่อยนะ”
หลินเจียอินมองไปที่ท้องฟ้า แม้ว่าฝนจะหยุดตกแล้ว แต่ก็ยังมีฝนตกปรอย ๆ เธอแปลกใจจึงถามว่า “หลังฝนตกมีแต่โคลน คุณจะไปไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้บอกว่าเขากำลังจะสำรวจทำเลสำหรับบ้านหลังใหม่ เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “หลังฝนตกในชนบทอากาศจะดีมาก ทิวทัศน์ในภูเขาและทุ่งนาสวยงาม พืชพรรณเขียวขจี เมฆและหมอกสร้างบรรยากาศเหมือนฝัน ผมแค่ออกไปเดินเล่นรอบฝายน้ำเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย”
หลินเจียอินหัวเราะเบา ๆ และพูดหยอกล้อว่า “มันไม่สวยเท่าที่คุณพูดหรอก”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอหันหน้าไปมองภูเขาและต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป บัดนี้ภูเขาและต้นไม้เหล่านั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกและปรอยฝนคล้ายกับภาพวาดหมึก เธอเห็นก็รู้ว่ามันดูมีเสน่ห์มากทีเดียว
เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
บางที มุมมองของเธออาจเปลี่ยนไป
เมื่อผู้คนรู้สึกมีความสุข ทุกสิ่งที่มองเห็นจะดูสวยงาม
……
เจียงเสี่ยวไป๋ถือร่มเดินไปตามทางเดินหิน เขาผ่านหน้าบ้านหลายครัวเรือน ชาวบ้านทุกคนที่อยู่ตามบริเวณบ้านต่างก็เอ่ยทักทายเขา
“เสี่ยวไป๋ วันนี้ไม่เข้าเมืองหรือ ? ”
“เสี่ยวไป๋ ฝนยังตกอยู่ นั่นนายจะไปไหน ? ”
“พี่เสี่ยวไป๋ เข้ามานั่งข้างในสิ”
“เสี่ยวไป๋…”
“……”
ตั้งแต่คืนที่นักเลงเฉินมาเป็นครั้งที่สอง ชาวบ้านในเจียงวานต่างปฏิบัติกับเจียงเสี่ยวไป๋ต่างออกไป พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มองว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนไม่เอาไหนอีกแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบรับคำทักทายของพวกเขาอย่างเป็นกันเอง
การมีปฏิสัมพันธ์และสนิทชิดเชื้อกับชาวบ้านเจียงวานเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเชิญเขาเข้ามานั่งในบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยบอกว่าเขาจะมาคราวหลัง
หลังจากผ่านเส้นทางเดินหินไปแล้ว ไม่มีถนนที่จะนำไปสู่ริมแม่น้ำอีก
เจียงเสี่ยวไป๋เดินลุยโคลนและทรายไปทางแม่น้ำอย่างตุปัดตุเป๋ ก้าวหนึ่งลึกอีกก้าวหนึ่งตื้น จากนั้นมองไปรอบ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำอย่างสบายใจ
ในไม่ช้า เขาก็ถูกดึงดูดโดยสถานที่แห่งหนึ่ง
จุดนั้นถือได้ว่าเป็นทางเข้าของแม่น้ำชิงเจียงสู่เจียงวาน ริมฝั่งแม่น้ำเป็นหน้าผาสูงชันสูงหลายสิบจั้ง ที่ด้านล่างของหน้าผาเป็นทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่ และด้านหน้าของทางเข้ามีต้นเสี่ยวเย่หนานสูงตระหง่านขึ้นจากบนเนินดิน
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ต้นเสี่ยวเย่หนานนี้มีอายุสามถึงสี่ร้อยปี
จากระยะไกล ดูเหมือนว่าต้นเสี่ยวเย่หนานจะเติบโตมาจากแม่น้ำ กิ่งขนาดมหึมาของมันยึดเกาะกับหน้าผา ทำให้หน้าผา ต้นไม้และแม่น้ำดูผสมผสานกันอย่างลงตัว
“ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
โดยไม่สนใจพื้นโคลน เขาดันผ่านหญ้าสูงและเดินข้ามไป จากนั้นปีนขึ้นไปบนเนินดินนั้น
เขาเคยมาที่นี่แล้ว และเด็กหลายคนจากเจียงวานมักจะเคยมาเล่นที่นี่เพื่อดูต้นเสี่ยวเย่หนานยักษ์
อย่างไรก็ตาม แทบไม่มีใครให้ความสนใจกับมันมากนัก
ครั้งนี้เจียงเสี่ยวไป๋สังเกตอย่างระมัดระวังและตระหนักว่าเนินดินนั้นไม่เล็กเลย มันครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยหกหรือเจ็ดหมู่
อย่างไรก็ตาม ภูมิประเทศที่นี่มีความลาดชัน ปกคลุมด้วยต้นอ้อและหญ้ารกทำให้ยากที่จะเข้าใจภูมิประเทศได้ชัดเจน
เขายืนหันหน้าไปทางแม่น้ำ สัมผัสได้ถึงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาจากผืนน้ำ
เมื่อมองไปข้างหน้า เขาเห็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่มีระลอกคลื่นเบา ๆ อยู่บนผิวน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าผาถูกปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มและหมอกสีฟ้าจาง ๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
หลังจากชื่นชมทิวทัศน์สักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็หันกลับไปมองที่ต้นเสี่ยวเย่หนานอีกครั้ง
เขาอดยิ้มไม่ได้
นี่คือต้นเสี่ยวเย่หนานที่มีมูลค่ามาก และยิ่งกว่านั้นยังเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุสามร้อยถึงสี่ร้อยปี
บางที หลายคนอาจไม่คุ้นกับชื่อ “ต้นเสี่ยวเย่หนาน”
แต่มีอีกชื่อหนึ่งที่หลายคนคุ้นหูกันดี นั่นก็คือ ‘ต้นไหมทองหนานมู่’
ส่วนความล้ำค่าของมันไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เมื่อมองไปที่ต้นเสี่ยวเย่หนานยักษ์ที่สูงกว่ายี่สิบเมตร และต้องใช้คนสามถึงสี่คนโอบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม
ในชาติที่แล้ว หลังจากที่เขากลายเป็นเศรษฐีร่ำรวย เขากลับมาที่เจียงวานและนึกถึงแม่น้ำที่หลินเจียอินและเจียงชานฆ่าตัวตาย เขาจึงเดินไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อเดินเล่นและพบว่าต้นเสี่ยวเย่หนานยักษ์จากความทรงจำในวัยเด็กของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
หลังจากสอบถามก็พบว่าช่างไม้ถานได้ตัดมันทิ้งไปแล้ว
“ช่างไม้ถาน ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณทำลายสมบัติล้ำค่านี้ ผมจะสร้างบ้านที่นี่และปล่อยให้มันยืนหยัดอยู่ในบ้านของครอบครัวผมตลอดไป”
เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับถ้ำที่ด้านล่างของหน้าผา แต่เขาไม่ได้ไปดู
เมื่อเขายังเป็นเด็ก เขาเคยเข้าไปสำรวจกับเพื่อนสองสามคน
เขาจำได้ว่าถ้ำนั้นไม่เล็ก และเข้าไปในถ้ำไม่ไกลมีทางลาดที่นำไปสู่แม่น้ำใต้ดินที่ไหลลงสู่แม่น้ำชิงเจียง
ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใด เขาค่อนข้างพอใจกับสถานที่นี้
หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าลุงของเขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านจะยอมยกที่นี่ให้เขาสร้างบ้านใหม่หรือไม่