ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 692 เค้กวันเกิด
ตอนที่ 692 เค้กวันเกิด
การทานบะหมี่อายุยืนและไข่ลวกในวันเกิดถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ
ไม่ว่าครอบครัวจะยากจนแค่ไหน พวกเขาก็จะหาทางทำบะหมี่อายุยืนและไข่ลวกให้กับสมาชิกในครอบครัวเพื่อฉลองวันเกิด ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ครอบครัวเจียงก็ไม่ได้เตรียมอะไรให้เธอเลย หวังซิ่วจวี๋จึงอยากทำบะหมี่อายุยืนให้ลูกสะใภ้ของเธอ
หลิวอี้ถิงรู้ว่าลูกสาวของเธอกินของในตลาดมาเยอะแล้ว เธอจึงพูดว่า “แม่เสี่ยวไป๋ ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก พวกเรากินกันมาอิ่มพอแล้ว ไว้ค่อยกินทีหลังก็ได้”
หลินต้าเหว่ยยังกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าไร ยังไม่สิบโมงด้วยซ้ำ บางทีเที่ยงคืนเราอาจจะหิว ไว้ค่อยทำก็ได้”
หวังซิ่วจวี๋ไม่ได้คัดค้านข้อเสนอของพ่อตาแม่ยาย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังจะกิน เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เธอจึงพูดว่า “เอาล่ะ งั้นก็นั่งพักกันสักหน่อยเถอะ มากันเหนื่อย ๆ ”
หลินเจียอินเอามือจับหน้าท้องที่นูนป่องของเธอ แม้ว่าเธอจะนั่งพักนานแค่ไหน เธอก็กินต่อไม่ได้อยู่ดี จึงพูดว่า “แม่คะ มันคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่หิวแล้วจริง ๆ ”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าจะหิวหรือไม่หิว อย่างน้อยก็ควรกินบะหมี่อายุยืนและไข่ลวกสักหน่อยเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของลูก เพื่อที่จะได้เป็นมงคลกับชีวิต”
“เอ่อ……”
คนหนุ่มสาวไม่ดื้อรั้นเหมือนคนแก่ เธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องการกินบะหมี่อายุยืนและไข่ลวกในวันเกิดสักเท่าไหร่ หลินเจียอินจึงมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋เพื่อขอความช่วยเหลือ
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องมาลำบากทำให้เธอกินหรอก ! ” เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เดี๋ยวผมจะไปทำให้เอง ! ”
หลินเจียอินคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะพูดแทนเธอ แต่ที่ไหนได้ เธอไม่คาดคิดว่าเขาก็จะทำแบบเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความไม่พอใจ
เพราะคุณ ฉันถึงได้กินขนมมากมายที่ตลาดจนกินบะหมี่ยายุยืนและไข่ลวกไม่ได้ แล้วแบบนี้ฉันจะกินอย่างไร ?
หวังซิ่วจวี๋ได้ยินที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดก็ได้แต่พยักหน้า “งั้นก็ไปทำเลย เจียอินชอบกินบะหมี่ฝีมือลูกอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องรีบ นั่งพักกันก่อนเถอะ ! ” เจียงไห่หยางทักทายทุกคน “เตากำลังติด นั่งพักให้อุ่นขึ้นก่อน”
ทุกคนจึงมานั่งรอบโต๊ะไฟ จากนั้นหัวข้อการสนทนาก็พูดถึงเรื่องล็อตเตอรี่
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “เจียงเสี่ยวซินโชคดี เขาถูกรางวัลได้เงินมาหนึ่งร้อยหยวนด้วยนะ”
หวังซิ่วจวี๋ก็กล่าวว่า “ใช่ เขาเป็นเพียงคนเดียวในเจียงวานที่ถูกรางวัลที่สอง ส่วนเฉินหยวนชางก็ซื้อเยอะถึง 200 หยวน แต่กลับได้แค่รางวัลมูลค่า 10 หยวน กับคูปองส่วนลดอีกหลายใบ”
หลินเจียอินจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “แม่คะ แล้วพี่หยวนชางเขาโวยวายอะไรบ้างไหม ? ”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “เจียอินไม่ต้องกังวล เขาไม่ได้โวยวายอะไร เขาแค่ตัดพ้อว่าโชคไม่ดี เขาจึงอยากพาลูกสาวตัวน้อยของเขาไปเลือกซื้ออีกในวันพรุ่งนี้ เพราะเชื่อว่าเด็กมักจะให้โชค”
เจียงชานหัวเราะเบา ๆ “หนูไม่ใช่เด็กเหรอคะ ซื้อไปตั้งเยอะ แค่รางวัล 10 หยวนก็ยังไม่ถูกด้วยซ้ำ”
ในตอนนั้น เจียงถิงก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า “แต่หนูถูกรางวัล 10 หยวน ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “การซื้อล็อตเตอรี่เป็นเพียงความบันเทิงเท่านั้น อย่าเอามาเล่นเป็นจริงเป็นจังเลย”
หลัวเจาตี้ได้ยินแบบนั้นจึงกล่าวว่า “ขนาดคุณไม่ได้จริงจังกับมันยังซื้อตั้งร้อยหยวนเชียวนะ ? ถ้าไม่รู้ ฉันคงคิดว่าคุนอยากถูกรางวัลพิเศษแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงยิ้มออกมา “นี่ไม่ใช่กิจกรรมที่พี่ใหญ่จัดหรือไง ผมกำลังสนับสนุนอาชีพของเขาอยู่นะ ! ”
“เจ้าเล่ห์ ! ” หลัวเจาตี้บ่นอุบ
หลินต้าเหว่ยหยิบบุหรี่ของเขาออกมาและยื่นให้เจียงไห่หยาง เจียงเสี่ยวเฟิง เจียงเสี่ยวไป๋ และหลินเจียเหว่ย จากนั้นเขาก็พูดว่า “เสี่ยวเฟิง หลังจากนี้นายไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป หากนายมีปัญหาอะไรในเจี้ยนหยางก็บอกฉันได้”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “ลุงหลิน ถ้ามีปัญหา ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากลุงแน่นอนครับ ! ”
หลิวอี้ถิงกล่าวว่า “ถ้าว่าง ๆ พวกเธอสองคนก็มาทานข้าวที่บ้านเราได้ กินข้าวในโรงงานทุกวัน เบื่อจะตายไป”
หลัวเจาตี้กล่าวขอบคุณเธอ “ป้าหลิว เราเข้าใจแล้วค่ะ จากนี้ไปถ้าว่างเมื่อไหร่ เราจะไปกินข้าวที่บ้านป้านะคะ”
“ได้เลย ด้วยความยินดี ! ” หลิวอิ้ถิงตอบด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขที่เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างน้องชาย น้องสะใภ้ พ่อตา และแม่ยายของเขาก็ดีขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าเจียงเสี่ยวเฟิงและหลินต้าเหว่ยจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติกันโดยตรงก็ตาม ดังคำกล่าวที่ว่า ญาติห่าง ๆ นั้นไม่เท่ากับเพื่อนบ้านที่สนิทสนม เพราะเมื่อเดือดร้อนขึ้นมาจริง ๆ ญาติห่าง ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย มีแต่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือกันได้
นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือความใกล้ชิด
ในอดีต เจียงเสี่ยวเฟิงและหลินต้าเหว่ยไม่ได้ติดต่อกันมากนัก จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้สนิทกัน แต่เมื่อพวกเขาเจอกันบ่อยมากขึ้น พวกเขาก็จะใกล้ชิดและสนิทสนมกันในที่สุด
ทั้งครอบครัวคุยกันเรื่องต่าง ๆ และเรื่องธุรกิจในเครือของบริษัท จนเวลาผ่านเลยไปโดยไม่รู้ตัว
หวังชิ่วจวี๋มองดูเวลา และอุทานออกมาว่า “โอ้ นี่มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เจ้ารอง ไปทำบะหมี่ได้แล้ว ขืนช้ากว่านี้จะเลยเที่ยงคืนเอาได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและตอบว่า “แม่ครับ ใครบอกว่าวันนี้ผมจะทำบะหมี่กัน…..”
หวังซิ่วจวี๋โกรธขึ้นมาทันที เฮอะ สิ่งที่ฉันคอยเตือนมันไม่ดีกับภรรยาของแกหรือไง ทำไมถึงชอบมามีปัญหาเวลาวิกฤติแบบนี้อยู่ได้ ?
โดยเฉพาะตอนนี้ที่พ่อตาและแม่ยายอยู่ที่นี่ ลูกชายของฉันกลับบอกว่าไม่อยากทำบะหมี่ให้ภรรยาแล้ว แบบนี้มันหักหน้ากันชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ ?
มันอาจทำให้บางคนคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจวันสำคัญของภรรยาเอาได้ !
หวังซิ่วจวี๋เกือบจะสาปแช่งลูกชายของเธอออกมาเสียตอนนั้น
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ก็หยิบกล่องกระดาษขึ้นมาก่อน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะผมซื้อนี่มาแล้ว……”
“เค้กวันเกิด ! ” เจียงชานกระโดดขึ้นแล้วพูดออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋กลอกตามองไปที่ลูกสาวของเขาและพูดด้วยความโกรธ “มีเพียงหนูเท่านั้นที่รู้ ! ”
เด็กน้อยหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนค่ะ หนูรู้ เพราะหนูกับลุงเป็นคนไปซื้อเค้กนี้ด้วยกัน ! ”
จากนั้น เธอก็มองไปที่หลินเจียจวิน “ใช่ไหมคะคุณลุง ? ”
หลินเจียจวินยิ้ม “ใช่ หนูเป็นคนเลือกเค้กเอง ! ”
เจียงชานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง ! ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ปรบมือแล้วพูดว่า “ป่าป๊า เรารีบเปิดเค้กวันเกิดกันเถอะค่ะ หนูอยากจะจุดเทียนแล้ว ! ”
หวังชิ่วจวี๋มองดูด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เค้กวันเกิดอะไรล่ะ ? มันสามารถทดแทนบะหมี่อายุยืนได้ที่ไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้แม่ของเขาฟังอย่างไร ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “การกินเค้กวันเกิดในวันเกิดก็เหมือนกับการกินบะหมี่อายุยืน เพียงแค่ว่าราคาแพงกว่าเท่านั้นครับ”
การกินเค้กวันเกิดในวันเกิดเดิมเป็นประเพณีของต่างประเทศที่แพร่มาในประเทศของเราในช่วงทศวรรษ 1970 การกินเค้กวันเกิดเป็นที่นิยมครั้งแรกในเทียนจิง แล้วค่อย ๆ แพร่กระจายไปทั่วประเทศ
แต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
ที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า ‘ราคาแพงกว่า’ ก็เพื่อจะหยุดคำถามและความสงสัยของหวังชิ่วจวี๋
นี่ถือเป็นศิลปะในการพูดด้วย
ถ้าเขาบอกหวังชิ่วจวี๋ว่าสิ่งนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศ หวังซิ่วจวี๋ก็จะถามว่าเขาไปเป็นคนต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ และอาจถึงขั้นบอกว่าความเชื่อของคนต่างประเทศนั้นเชื่อถือไม่ได้ เจียอินจะต้องกินบะหมี่อายุยืนตามธรรมเนียมของจีนเท่านั้น
แต่สิ่งที่เขาพูดก็คือราคาแพงกว่า มันจึงทำให้หวังชิ่วจวี๋รู้สึกว่าลูกชายของเธอมีความรู้มากกว่าเธอ และการต่อต้านต่าง ๆ ก็จะลดลง
ดังนั้นในการสื่อสารระหว่างผู้คน บางครั้งความจริงก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการบรรลุวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
ซึ่งต้องเลือกเนื้อหาและวิธีการพูดที่อีกฝ่ายยอมรับได้
“ในเมื่อ…มันราคาแพงกว่า งั้น… ก็มากินเค้กวันเกิดกันดีกว่า ! ” หวังชิ่วจวี๋กล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เอาล่ะ ทุกคนนั่งลงก่อน ผมขอเอามันออกจากกล่องก่อน”
“เอาล่ะ รีบทำเถอะ ! ” เจียงไห่หยางพูด “ขืนช้าจะเลยเที่ยงคืนเอาได้”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย จึงรีบเดินออกไปพร้อมกับเค้ก
“ป่าป๊าคะ หนูไปด้วย ! ”
เจียงชานตามพ่อของเธอไปทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและส่งสัญญาณให้หลินเจียจวินเมื่อเดินผ่านเขาไป
หลินเจียจวินพยักหน้า