ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 69 :ฝนกำลังจะตก
ตอนที่ 69 :ฝนกำลังจะตก
ตอนนี้เหรินฉางเซี่ยเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมของสำนักความมั่นคงสาธารณะเมืองชิงโจว
เมื่อคืนก่อน เขากลับไปที่หมู่บ้านชิงหลงบ้านเกิดเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบปีที่เจ็ดสิบของจงหยุนฟาง แม่ของเขา
เดิมทีมันควรจะเป็นวันแห่งความสุข แต่จู่ ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในขณะที่เหรินฉางเซี่ยกำลังเตรียมตัวกลับ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับจงหยุนฟาง จู่ ๆ เธอก็หายใจลำบากและทรุดลงกับพื้น
เหรินฉางเซี่ยไม่เสียเวลาใด ๆ เขารีบอุ้มจงหยุนฟางขึ้นรถทันที แล้วรีบกลับไปที่เมืองชิงโจว อย่างไรก็ตาม รถของเขาดันมาเสียที่นอกอำเภอชิงซานพอดี
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเสี่ยวไป๋บังเอิญผ่านมา จะทำให้การรักษาล่าช้าอย่างแน่นอน
ในความทรงจำของเจียงเสี่ยวไป๋ ชาติที่แล้วจงหยุนฟางเสียชีวิตเพราะไปถึงโรงพยาบาลช้า ทำให้หมอไม่สามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้
ในครั้งนี้ เมื่อเหรินฉางเซี่ยพาจงหยุนฟางไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าเขาพาแม่มาถึงทันเวลาสำคัญพอดี ถ้าพวกเขามาช้ากว่านี้เพียงครึ่งชั่วโมง มันอาจจะสายเกินไป
กล่าวได้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ได้ช่วยชีวิตของจงหยุนฟางเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ ท่าทีของเหรินฉางเซี่ยที่มีต่อเขาจึงแตกต่างออกไป
มิฉะนั้น ในฐานะหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม เหรินฉางเซี่ยคงไม่เป็นกันเองกับเจียงเสี่ยวไป๋แบบนี้แน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหรินฉางเซี่ยมากนัก แต่จากข่าวที่เขาเคยอ่านในชาติที่แล้ว เขาจึงเชื่อในตัวของเหรินฉางเซี่ย นั่นเป็นเหตุผลที่เขากล้าจะส่งมอบหลักฐานที่รวบรวมได้มาให้เขา
มิฉะนั้น หากหลักฐานไปตกอยู่ในมือของพวกหม่าตงหลายก็เท่ากับหายนะน่ะสิ
“นี่คือข้อมูลและหลักฐานบางส่วนที่ผมได้รวบรวมมา”
เจียงเสี่ยวไป๋มอบเอกสารที่เขาเขียนเมื่อคืนนี้ให้กับเหรินฉางเซี่ย
ลายมือที่สง่างาม มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวอักษรเสียวข่ายสมัยเว่ยจิ้น
เมื่อเห็นลายมือของเจียงเสี่ยวไป๋ เหรินฉางเซี่ยถึงกับประหลาดใจ ในยุคนี้ การอ่านออกเขียนได้มีไม่มากนัก และการจะหาคนที่มีลายมือที่โดดเด่นเช่นนี้นั้นยังหาได้ยากยิ่ง
อีกทั้งข้อมูลที่เจียงเสี่ยวไป๋มอบให้เขามีหลายหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเตรียมมาอย่างตั้งใจ
เหรินฉางเซี่ยอดไม่ได้ที่จะจริงจังมากขึ้น
ขณะที่เขาอ่านไปทีละหน้า สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณแน่ใจหรือว่าข้อมูลในเอกสารเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ? ”
หลังจากอ่านจบ เหรินฉางเซี่ยก็ถามอย่างจริงจัง
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “ผมได้จดที่อยู่และบุคคลสำคัญไว้อย่างชัดเจนแล้ว จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้กองเหรินตรวจสอบดูก็รู้แล้ว”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญ ผมจะทำการสอบสวนด้วยตนเองในทันที”
หลังจากพูดจบ เขากล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้ให้ข้อมูล คุณช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อของคุณไว้ เพื่อที่ผมจะได้ติดต่อคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ต้องการทราบความคืบหน้าของคดีด้วย ดังนั้นเขาจึงแจ้งที่อยู่ของร้านอร่อยสามมื้อให้กับเหรินฉางเซี่ยทันที
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอบคุณคุณมาก ผมตั้งใจจะตามหาคุณในอีก 2-3 วัน แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบคุณอีกในลักษณะนี้ ผมจะไม่รั้งคุณไว้แล้ว เดี๋ยวผมต้องไปตรวจสอบเรื่องนี้ก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คัดค้านและขอตัวลาทันที
เมื่อเขาไปถึงประตู จู่ ๆ เขาก็หันกลับมาและพูดว่า “ผู้กองเหริน ในตอนจับกุมพวกเขา คุณต้องระวังตัวให้ดีนะ เพราะพวกเขาอาจมีปืน”
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอาจมีปืน ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหรินฉางเซี่ยจึงถามกลับทันที
เพราะเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้กล่าวไว้ในเอกสารว่าคนเหล่านั้นมีปืน
อย่างไรก็ตาม เจียงเสี่ยวไป๋ไม่แน่ใจว่าหวงฟู่ไห่มีปืนหรือไม่ แต่เขาจำเรื่องราวการตายของเหรินฉางเซี่ยเมื่อชาติที่แล้วได้ และคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะเตือนเขาไว้ก่อน
“แค่ความรู้สึกน่ะ ! ”
เจียงเสี่ยงไป๋ไม่สามารถให้คำตอบที่ตรงไปตรงมาได้ ดังนั้นเขาจึงคิดเหตุผลนี้ขึ้นมาและไม่ลืมที่จะเน้นย้ำว่า “สัญชาตญาณของผมแม่นยำเสมอ”
“ผมเข้าใจแล้ว”
เหรินฉางเซี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“หวังว่าผู้กองเหรินจะคลี่คลายคดีได้โดยเร็ว”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดจบ เขาก็ก้าวออกไป
เหรินฉางเซี่ยได้รับเบาะแสแล้ว จางเสี่ยวไป๋จึงไม่รบกวนงานของเขา เขาได้แต่หวังว่าเหรินฉางเซี่ยจะไขคดีได้โดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดจากหม่าตงหลายในอนาคต
เขากลับมาที่ร้าน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ
ช่วงนี้นักเลงเฉินไม่ได้มาสร้างปัญหาให้กับเขา ซึ่งช่วยคลายความกังวลของเจียงเสี่ยวไป๋ไปได้บ้าง
พอใกล้เที่ยง ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืด เมฆสีเทาหมุนวนบนท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ทำให้ฝุ่นจำนวนมากฟุ้งกระจาย
เจียงเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วและพูดว่า “ดูเหมือนว่าฝนจะตก”
หวังผิงยังเสริมว่า “ฝนไม่ได้ตกมาสักระยะแล้ว ถ้าฝนตกในครั้งนี้อาจจะตกหนักทีเดียว”
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปมองร้านค้าที่กำลังปรับปรุงและพูดว่า “วันนี้มาเก็บร้านกันเร็วหน่อย ถ้าฝนตกหนักจริง ๆ คนอาจจะไม่ออกจากบ้าน”
“ตกลง”
หวังผิงพยักหน้าและมองไปที่ท้องฟ้า
นี่เพิ่งจะเดือนเมษายน ยังไม่เข้าฤดูร้อน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่ฝนจะตกหนักจึงค่อนข้างต่ำ
ตามประสบการณ์ ฟ้าครึ้ม ๆ ลมแรงแบบนี้อาจไม่ทำให้ฝนตกลงในทันที แต่เมื่อฝนตั้งเค้ามาแล้ว มันก็อาจจะตกในไม่ช้า
และบางครั้งอาจมีฝนตกติดต่อกันหลายวัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังผิงก็พูดว่า “ทำไมนายไม่รีบกลับล่ะ หากฝนตกหนัก นายอาจเป็นหวัดเพราะเปียกฝนได้”
“ตกลง ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ปฏิเสธและปั่นจักรยานไปทางเจียงวาน โดยหวังว่าจะถึงบ้านก่อนที่ฝนจะตกหนัก
ไม่ต้องพูดถึงหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงที่เตรียมที่เตรียมปิดร้าน เรามาพูดถึงฝั่งของนักเลงเฉินกันดีกว่า
เมื่อคืนวานก่อน นักเลงเฉินและเจียงเสี่ยวไป๋ตกลงกันไม่ได้ เช้าวันรุ่งขึ้น เขาเข้าไปในเมืองและพบกับหม่าตงหลายเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้พี่เขยรู้
หม่าตงหลายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่ยอมลดลาวาศอก เราก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพอีกต่อไป”
นักเลงเฉินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดำเนินการต่อทันที
หม่าตงหลายกล่าวว่า “เป็นเรื่องยากสำหรับบางคนที่จะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ แต่การทำลายธุรกิจของคนอื่นนั้นง่ายกว่ามาก จริงไหม ? ”
นักเลงเฉินกล่าวว่า “ก็จริง ผมจะรวบรวมคนสัก 2-3 คนแล้วไปพังร้านของเขา”
“เอาล่ะ ถ้าเขาตั้งร้าน ผมจะทุบทิ้ง มาดูกันว่าเขาจะทำธุรกิจต่อไปอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หม่าตงหลายก็โมโหและตะโกนว่า “นายช่วยใช้สมองคิดวิธีอื่นนอกจากทุบทำลายข้าวของไม่ได้หรือไง ? ”
เขาค่อนข้างปวดหัว เมื่อต้องรับมือกับน้องเมียที่โง่เขลาคนนี้
แม้ว่าเขาจะทำตามคำสั่งและจัดการปัญหาได้ดี แต่เขาก็มักจะใช้วิธีที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็น
หม่าตงหลายพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ช่วงนี้อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ให้เขาคิดว่าเราไม่ก่อปัญหาให้เขาแล้ว และเมื่อเขาคลายความระวังลงแล้ว ประมาณ 2-3 วันหลังจากนี้ค่อยไปหาคนไปที่ร้านของเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อซื้อผัดมันฝรั่งและฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงมากิน”
นักเลงเฉินเข้าใจในทันที และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “จากนั้นให้พวกเขาอ้างว่าปวดท้อง หลังจากกินอาหารของเจียงเสี่ยวไป๋ ด้วยวิธีนี้ เราจะมีเหตุผลที่จะพังร้านของเขาแล้วใช่ไหม ? ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม นี่เป็นความคิดที่ดี มันจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียและไม่มีข้อแก้ตัว งั้นทำตามแผนนี้เลย”
“เอะอะก็พังร้าน ในหัวของนายคิดได้แค่นี้หรือไง” หม่าตงหลายถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด และพูดอย่างผิดหวังว่า “ฉันพึ่งนายไม่ได้จริงด้วย”
นักเลงเฉินไม่เข้าใจจึงถามว่า “พี่เขย ถ้าเราไม่พังร้านของเขา ทำไมพี่ถึงให้ผมหาคนไปซื้อผัดมันฝรั่งของเขาล่ะ ? ”
หม่าตงหลายพูดอย่างหงุดหงิดว่า “บอกให้พวกเขากินยาระบายก่อนไป หรือไม่ก็กินของแสลงเข้าไป หลังจากที่พวกเขากินผัดมันฝรั่งของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว พวกเขาจะได้บ่นว่าปวดท้องได้สมจริง หากมีเลือดปนออกมาด้วยได้ยิ่งดี แค่นี้เราก็ก่อเรื่องได้แล้ว”
นักเลงเฉินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย และคิดว่า ‘นั่นไม่เหมือนกับที่ฉันตรงไหน’
น้ำเสียงของหม่าตงหลายหนักแน่นขึ้น และเน้นย้ำว่า “จำไว้ให้ดี อย่าใช้ความรุนแรง แค่ทำให้สถานการณ์วุ่นวายที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ”
“เมื่อถึงเวลา ฉันจะส่งคนไปจับตัวเจียงเสี่ยวไป๋เอง”
“เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ถูกจับ ฉันสามารถกล่าวหาว่าเขาวางยาหรือใส่พิษลงในผัดมันฝรั่ง จากนั้นฉันจะยัดข้อหาเขาให้ได้มากที่สุด ทำให้เขาต้องถูกตัดสินโทษจำคุกสัก 2-3 ปี”
“เมื่อเขาถูกขัง ธุรกิจผัดมันฝรั่งจะตกเป็นของนายไม่ใช่หรือไง ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักเลงเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นทันที
“พี่เขย ไม่แปลกใจเลยที่พี่สาวของผมมักจะบอกว่าพี่มีความสามารถ พี่น่าทึ่งจริง ๆ วันนี้ผมได้เห็นกับตาแล้ว”