ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 68 :ปรากฏว่าเป็นเขา
ตอนที่ 68 :ปรากฏว่าเป็นเขา
พ่อและลูกชายเดินทางต่อไปยังอำเภอชิงซาน แต่ก็ยังไม่พบเจียงเสี่ยวไป๋
ท่ามกลางแสงไฟที่ริบหรี่ ใบหน้าของเจียงไห่หยางแสดงออกถึงความกังวล เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ไอ้ลูกชายหัวดื้อคนนี้ ฉันบอกแล้วว่าช่วงนี้อย่าเข้าเมือง แต่เขาก็ไม่ฟัง”
เจียงเสี่ยวเฟิงและเจียงเสี่ยวเหลยไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาเพียงแค่เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ
หลังจากเดินไปอีก 2 ลี้กว่า พวกเขาก็เห็นแสงไฟฉายส่องมาไกล ๆ และเห็นร่างที่คลุมเครือกำลังปั่นจักรยานเข้ามาใกล้พวกเขา
เจียงเสี่ยวเหลยจึงตะโกนออกไปอย่างกระวนกระวายใจ “พี่รอง นั่นพี่หรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังปั่นจักรยานบนถนน เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนน้องชายของตน เขาก็ยกไฟฉายขึ้นเพื่อส่องไปข้างหน้า ก็เห็นเป็นเจียงไห่หยางและน้องชายของเขาถือคบไฟอยู่ไม่ไกล
“พ่อ เสี่ยวเฟิง เสี่ยวเหลย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ? ”
เมื่อได้ยินเสียงของเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงไห่หยางและอีกสองคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไอ้ลูกชายตัวดี แกกลับบ้านช้าแล้วยังกล้ามาถามอีกว่าทำไมพวกฉันถึงมาอยู่ที่นี่ ? ”
เมื่อความกังวลของเขาคลายลง ความโกรธของเจียงไห่หยางก็ปะทุขึ้น
ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ก็ยอมรับการดุอย่างเชื่อฟัง ทว่าภายในใจกลับความรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจของเขา
‘ตีเพราะรัก ดุด่าเพราะเอาใจใส่’ วลีนี้อาจมีความแตกต่างออกไปหากนำไปใช้กับคู่รัก แต่เมื่อใช้ในบริบทของพ่อแม่ที่มีต่อลูก นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง
จากคำพูดของพ่อ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกได้ถึงความห่วงใยและความรักอย่างสุดซึ้ง
“พ่อ ผมขอโทษ วันนี้มีเรื่องบางอย่างทำให้ผมต้องกลับบ้านช้า ผมขอโทษที่ทำให้พ่อเป็นห่วง”
“ทำไมฉันต้องเป็นห่วงด้วย” เจียงไห่หยางปฏิเสธอย่างดื้อรั้น แล้วพูดต่ออีกว่า “ที่ฉันมาตามหา แกเพราะเห็นเจียอินเป็นกังวลต่างหาก”
“ปากไม่ตรงกับใจ ! ” เจียงเสี่ยวเหลยทำปากมุ่ย “ไม่รู้ว่าใครกันที่บ่นเป็นกังวลมาตลอดทาง”
เมื่อลูกชายคนเล็กของเขาเปิดโปง เจียงไห่หยางก็อดกลั้นความอับอายไว้ไม่ได้ เขายกมือขึ้นตีลูกชายคนเล็ก ๆ และพูดว่า “เจ้าเด็กตัวแสบ ไม่เคยทำให้พ่อวางใจเลยสักวัน”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยกมือขึ้นเตรียมจะตีอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวเหลยหลบอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาว่องไวเหมือนแมว
หลังจากหยอกล้อกันเล่นแล้ว ทั้งสี่คนก็กลับบ้านด้วยกัน
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาอย่างปลอดภัย หลินเจียอิน หวังซิ่วจวี๋ และคนอื่นก็โล่งใจในที่สุด
หลังจากที่ครอบครัวเจียงกลับบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตำหนิตัวเองและพูดว่า “ที่รัก ผมขอโทษที่กลับมาช้า ทำให้คุณเป็นกังวล”
ดวงตาของหลินเจียอินเป็นสีแดงเล็กน้อย เธอพูดว่า “ดีจังที่คุณกลับมา”
เมื่อเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของหลินเจียอิน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น เขาอยากจะโอบกอดเธอและปลอบโยนเธออย่างสุดหัวใจ
แต่เมื่อเขามองไปที่เจียงชานที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
อืม ลืมมันไปซะดีกว่า
“ป่าป๊า ทำไมกลับมาช้าจังเลยคะ ? ”
“หนูคิดถึง”
“กอดหนูหน่อย ! ”
เด็กน้อยเห็นป่าป๊ามองมาก็คิดว่าป่าป๊าคงคิดถึงเธอเหมือนกันกัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง จากนั้นวิ่งไปหาเจียงเสี่ยวไป๋พร้อมอ้าแขนออกกว้าง
“โอ้ เด็กดีของพ่อ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยกเจียงชานขึ้นเหนือหัวและหมุนเธอไปรอบ ๆ ทำให้เจียงชานหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
เฮ้อหยา การมีลูกสาวมันดีจริง ๆ เพราะสามารถกอดเธอได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
“คุณกินอะไรมาหรือยัง ? ”
หลังจากที่พ่อลูกเล่นกันอย่างสนุกสนาน หลินเจียอินก็ถามขึ้น
เมื่อพูดถึงเรื่องกินข้าว จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกหิวและพูดว่า “ผมยุ่งมาทั้งวัน ยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“ยังมีอาหารอุ่น ๆ อยู่ในหม้อ ฉันจะเอามาให้”
หลังจากพูดเช่นนั้น หลินเจียอินก็เดินเข้าไปในครัว
สมัยนี้ ตามชนบทเวลาจะเหลืออาหารไว้ให้ใคร มักจะทำโดยใช้ตะแกรงวางตรงกลางหม้อที่ตั้งบนเตา และเติมน้ำเล็กน้อยที่ก้นหม้อ แล้ววางชามอาหารบนตะแกรงและปิดฝาหม้อ ความร้อนที่หลงเหลืออยู่ในเตาจะทำให้อาหารยังอุ่นอยู่ตลอด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้กินอาหารฝีมือหลินเจียอิน แม้ว่ามันจะเป็นของเหลือ แต่เขาก็มีความสุขที่จะได้กินมัน
หลังจากกินอาหารเสร็จ เขาบอกให้หลินเจียอินไปนอนก่อน ในขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและรวบรวมละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ค้นพบในวันนี้ เขายังคงยุ่งอยู่จนถึงหลังเที่ยงคืน ก่อนที่จะเข้านอนในที่สุด
วันต่อมา…
เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่อนุญาตให้หลินเจียอินและเจียงชานเข้าไปในเมืองกับเขา หลังจากที่เขามาถึงร้านคนเดียว หวังผิงก็แจงรายได้จากเมื่อวานให้กับเขา
เนื่องจากเมื่อวานนี้ไม่มีหลิวซือกั๋วมาแย่งลูกค้า ยอดขายรวมจึงสูงถึง 1,633 หยวนโดยไม่คาดคิด สร้างสถิติใหม่ในการขายของทุกวัน
หลังจากฝากเงินในธนาคารแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็มุ่งหน้าไปยังสำนักความมั่นคงสาธารณะประจำเมืองพร้อมกับเอกสารที่เขาเขียนไว้เมื่อคืนนี้
ในชาติที่แล้ว เขาไม่ได้ไปมาหาสู่กับสำนักความมั่นคงสาธารณะชิงโจวเลย แต่จากข่าวที่เขาจำได้ ผู้ที่ทำคดีการจับกุมหม่าตงหลายคือรองอธิบดีที่มีชื่อว่า เหรินฉางเซี่ย
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเศร้าที่รองอธิบดีเหรินต้องสละชีวิตอย่างกล้าหาญในระหว่างปฏิบัติการนั้น เมื่อเขาต้องปะทะกับหวงฟู่ไห่ที่มีอาวุธปืน
“หวังว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนชาติที่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋แสดงความชื่นชมรองอธิบดีเหรินผู้เสียสละอย่างสุดซึ้ง และไม่ต้องการให้โศกนาฏกรรมซ้ำรอยเดิมอีก
สำนักความมั่นคงสาธารณะไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้า ซึ่งแตกต่างจากสำนักงานหนังสือพิมพ์รายวัน
เจียงเสี่ยวไป๋เดินตรงเข้ามา ผ่านลานกว้างซึ่งมีรถจี๊ปตำรวจจอดอยู่สามคัน พร้อมด้วยมอเตอร์ไซค์สามล้อและมอเตอร์ไซค์สองล้ออีกหลายคัน ด้านหลังลานกว้างเป็นอาคารสำนักงาน 2 ชั้น
ขณะที่เขาไปถึงทางเข้า เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะสอบถามเกี่ยวกับห้องทำงานของเหรินฉางเซี่ย จู่ ๆ ก็มีคนมายิ้มให้เขาและถามว่า “สหาย อะไรพาคุณมาถึงที่นี่ได้ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่
เรียกเขาว่าคนรู้จักอาจไม่ถูกต้อง คนที่เข้ามาทักทายเขาคือนายตำรวจคนเดียวกับที่เขาพบเมื่อเช้าวานนี้นอกอำเภอชิงซาน นายตำรวจที่รีบพาแม่ไปโรงพยาบาล
“คุณเองนี่เอง ! ผมมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมเยียนรองอธิบดีเหรินฉางเซี่ย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นายตำรวจคนนั้นดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด และประเมินเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “คุณรู้จักเหรินฉางเซี่ยอย่างนั้นหรือ ? แล้วคุณมีธุระอะไรกับเขาล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นคนดี และผมมีเบาะแสบางอย่างที่ต้องการจะมอบให้เขา”
นายตำรวจคนนั้นหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “พวกเราทุกคนในกองกำลังตำรวจเป็นคนดี คุณน่าสนใจทีเดียว แถมยังมาที่นี่เพื่อให้เบาะแสกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นมากับผม”
หลังจากพูดจบ เขาก็พาเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่สำนักงานที่ชั้นหนึ่ง
เป็นสำนักงานขนาดใหญ่แบบเปิดโล่ง มีชายหญิงหลายคนทำงานที่โต๊ะต่างกัน บางคนอยู่ในเครื่องแบบตำรวจ ในขณะที่บางคนแต่งกายด้วยชุดธรรมดา บนผนังด้านหน้ามีตัวอักษรสีแดงตัวหนาแขวนอยู่ซึ่งเขียนว่า “กองพลสืบสวนอาชญากรรมแห่งสำนักความมั่นคงสาธารณะเมืองชิงโจว”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะเล็กน้อย เหรินฉางเซี่ยเป็นรองอธิบดีไม่ใช่หรือ ?
นายตำรวจคนนั้นพาเขามาที่กองบังคับการสืบสวนคดีอาญาทำไมกัน ?
อย่างไรก็ตาม เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
ในชาติที่แล้ว คดีของหม่าตงหลายได้เกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา ในเวลานั้นเป็นความจริงที่เหรินฉางเซี่ยเป็นรองอธิบดี ตอนนี้เป็นเพียงปี 1983 และเหรินฉางเซี่ยอาจยังเป็นแค่ตำรวจคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่ทันคิด นายตำรวจคนนั้นก็ได้พาเจียงเสี่ยวไป๋ไปยังพื้นที่กั้นเล็ก ๆ ข้างใน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสำนักงานขนาดเล็ก ภายในมีเพียงตู้โลหะสองตู้สำหรับเก็บเอกสาร โต๊ะทำงานเก่า ๆ และเก้าอี้ไม้ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใดอยู่
นายตำรวจคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองหน้าเจียงเสี่ยวไป๋ พลางถามว่า “เริ่มเลย คุณต้องการคุยกับผมเรื่องอะไร ? ”
อ่า ?
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัว
“สหาย คุณคือเหรินฉางเซี่ยอย่างนั้นหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยท่าทางเก้กัง
คุยกันตั้งนาน ปรากฏว่าคนที่เขาตามหากลับอยู่ตรงหน้าเขานี้เอง แต่เขากลับจำไม่ได้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงรู้สึกอายเล็กน้อย
เหรินฉางเซี่ยหัวเราะเบา ๆ “เฮ้ ก่อนหน้านี้คุณเพิ่งเรียกผมว่ารองอธิบดีไม่ใช่หรือ ? ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นเรียกสหายแล้วล่ะ หรือหลังจากเห็นกองพลสืบสวนอาชญากรรม คุณก็เลยเรียกผมว่าสหายอย่างนั้นหรือ ? ”
เหรินฉางเซี่ยเปลี่ยนเรื่องพูดติดตลกว่า “สหาย คุณไม่รู้ว่าผมเป็นใครด้วยซ้ำ แต่คุณได้เลื่อนขั้นให้ผมแล้ว เมื่อผมได้ยิน ผมยังคิดว่ามีรองอธิบดีที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับผมในสำนักงานอีกหรือ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “การที่คุณจะได้เป็นรองอธิบดีล้วนเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น”
เหรินฉางเซี่ยหัวเราะเสียงดัง “คุณคิดว่าคุณบริหารสำนักความมั่นคงสาธารณะอยู่หรือเปล่า ที่แค่บอกว่าใครจะได้เป็นรองอธิบดี คนนั้นก็จะได้เป็นน่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือ “เอาล่ะ ผมจำชื่อคุณได้ คุณคือเจียงเสี่ยวไป๋ ถ้าอย่างนั้นบอกผมสิ คุณต้องการให้เบาะแสอะไรกับผม คุณไปรู้อะไรมา ? ”