ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 63 :ขอคำอธิบาย
ตอนที่ 63 :ขอคำอธิบาย
คนที่ขายมันฝรั่งลูกเล็กไม่กี่วันก่อนได้กำไรค่อนข้างมาก แต่ละครัวเรือนมีรายได้อย่างน้อยหนึ่งร้อยหรือสองสามร้อยหยวน
ผู้คนในเจียงวานมั่งคั่งขึ้นมาในทันที
เมื่อมีเงินอยู่ในมือ ชาวบ้านต่างก็มีความสุขและร้องเรียกพ่อค้าเนื้อจางให้เชือดหมูขาย
จากนั้น เกือบทุกครัวเรือนก็ซื้อเนื้อสัตว์ และในช่วงเวลาอาหารเย็น ทั่วทั้งหมู่บ้านได้อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ปรุงสุก
“เสี่ยวไป๋ เจียอิน กลับมาแล้วหรือ”
ถานชิงซานอยู่ในลานบ้าน ถือชามเนื้อและกินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋และลูกเมียกลับมา เขาจึงทักทายเสียงดัง
“พี่ชิงซาน กินเนื้ออยู่หรอ หอมมากเลย อร่อยไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยมากเลยล่ะ ! ” ถานชิงซานพยักหน้ารับ และถามด้วยรอยยิ้ม “นายอยากลองชิมไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมไม่แย่งพี่กินหรอก แต่อย่าลืมนะว่าที่กินเนื้อได้ก็เพราะหลิวซือกั๋ว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเสนอราคารับซื้อสูงขนาดนี้ พี่จะมีเงินซื้อเนื้อกินได้อย่างไร จริงไหม ? ”
ถานชิงซานระเบิดเสียงหัวเราะและพูดว่า “หลิวซือกั๋วเป็นคนดี ฉันจะจำไว้แน่นอน”
หลังจากพูดคุยกันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินกลับบ้าน
หลังจากนั้นไม่นาน ป้าหูและเหลียวจวี๋จือต่างถือชามทักทายพวกเขาที่ลานบ้าน “เสี่ยวไป๋ เจียอิน เธอกลับมาแล้ว ชานชานไปด้วยทุกวัน เธอเคยชินกับที่นั่นหรือยัง ? ”
“หนูชอบอยู่กับป่าป๊า”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะตอบกลับ เจียงชานก็พูดขึ้นก่อน
เหลียวจวี๋จือยิ้มอย่างอบอุ่นและพูดว่า “ชานชานเด็กดี หนูมากินข้าวที่บ้านยายไหม วันนี้ยายทำหมูตุ๋นน้ำแดงด้วยนะ”
“หนูกินหมูตุ๋นทุกวัน หนูไม่อยากกินแล้วค่ะ”
เจียงชานส่ายหัวอย่างแรงเหมือนตีกลอง และพูดว่า “ป่าป๊าบอกว่าคืนนี้จะทำซุปเป็ดให้หนูดื่ม”
หนูน้อยมักพูดจาตรงไปตรงมา และจะพูดอะไรก็ตามที่อยู่ในใจของพวกเขา
ในทางกลับกัน เหลียวจวี๋จือชะงักไปเล็กน้อย เพราะมันไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะสามารถซื้อหมูมาตุ๋นได้ แต่หนูน้อยตรงหน้ากลับกินมันทุกวันจนเบื่อหน่าย กระทั่งอยากกินซุปเป็ดแทน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบพูดว่า “ป้าเหลียว ขอบคุณมากครับ แต่อย่าลืมหลิวซือกั๋ว ในขณะที่ป้าเพลิดเพลินกับเนื้อหมูนะ”
ขณะที่พวกเขาเดินไป ทุกครั้งที่ทักทายใครสักคน เจียงเสี่ยวไป๋มักจะพูดกับทุกคนเสมอว่าอย่าลืมหลิวซือกั๋วที่ทำให้พวกเขาได้กินดีอยู่ดีขึ้น
เรื่องนี้ทำเอาหลายคนงง เมื่อวานนี้เขายังโต้เถียงอย่างรุนแรงกับหลิวซือกั๋วอยู่เลย ทำไมวันนี้เขาถึงยกย่องหลิวซือกั๋วได้ล่ะ ?
เมื่อเขากลับถึงบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็เชือดเป็ดที่เขาซื้อมา เขาทำความสะอาดและหั่นเป็นชิ้น ใส่มันลงในหม้อที่น้ำกำลังเดือด ใส่ขิงแก่ พริกไทยเสฉวน และเคี่ยวอย่างช้า ๆ เมื่อเคี่ยวจนได้ที่ เขาก็หยิบหัวไชเท้าเปรี้ยวสองหัวมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อเพื่อต้มต่อ
เมื่อเนื้อเป็ดเริ่มนุ่ม เขาก็โรยเก๋ากี้ลงไปหนึ่งกำมือ
ในหม้อมีน้ำซุปที่ใสและส่งกลิ่นหอม ไขมันเป็ดเป็นสีทองแวววาว กลิ่นหอมของซุปเป็ดลอยอบอวลไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
หลินเจียอินลองชิม ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
“อร่อยไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยมาก”
หลินเจียอินไม่ลังเลที่จะเอ่ยชม “ซุปเข้มข้นและอร่อย หนังเป็ดนุ่ม หัวไชเท้ามีรสเปรี้ยว ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะอย่างชอบใจ “เมียจ๋า ตอนนี้คุณกลายเป็นนักชิมไปแล้วนะ”
หลินเจียอินชำเลืองมองเขา และก้มชิมบซุปทีละนิด ในขณะที่เธอได้แต่คิดกับตัวเองว่า: ‘คุณคิดเมนูอร่อย ๆ พวกนี้ออกมาทุกวัน ทำให้ต่อมรับรสของฉันมันมีมาตรฐานสูงไปเสียแล้ว’
“รสชาติเปรี้ยวเผ็ดแบบนี้อร่อยมากจริง ๆ ”
หนูน้อยเพลิดเพลินกับอาหารเช่นกัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักว่า “หนูยกนิ้วให้ป่าป๊าเลย”
หลังจากอยู่กับเจียงเสี่ยวไป๋มาระยะหนึ่ง หนูน้อยได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ไปไม่น้อย
อาหารมื้อนี้ทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุข
หลังจากล้างจานเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เตรียมน้ำอาบให้ภรรยาและลูกสาวของเขา แม้จะทำงานบ้านเหล่านี้ซ้ำ ๆ ทุกวัน แต่เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำไป
หลังจากที่ทั้งครอบครัวอาบน้ำเสร็จ หลินเจียอินก็เล่านิทานให้เจียงชานฟังในห้อง ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ยุ่งอยู่กับงานครัวเพื่อเตรียมซอสสูตรลับที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น
ผัดมันฝรั่งและตุ๋นฟักเขียวขายดีมาก ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ต้องเตรียมซอสสูตรลับหม้อใหญ่เกือบทุกวัน
ขณะที่เขากำลังยุ่งกับการเตรียมซอส จู่ ๆ เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงก็วิ่งเข้ามา
“เฮ้ ไอ้ลูกชายไม่รักดี แกไปมีเรื่องอะไรกับนักเลงเฉินอีก เขาถึงพาคนมาที่นี่เป็นสิบ”
เจียงไห่หยางพุ่งเข้าไปในครัว และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหและความร้อนใจ
เจียงเสี่ยวไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่านักเลงเฉินคงจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แต่เขาไม่คาดคิดว่านักเลงเฉินจะมาเร็วขนาดนี้
“ไม่ต้องกังวล เขาไม่กล้าสร้างปัญหาในเจียงวานหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋วางงานในมืออย่างไม่รีบร้อน เขาล้างมือขณะพูดและเดินออกจากบ้านไปอย่างสบาย ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน นักเลงเฉินก็มาถึงที่ลานบ้านพร้อมกับคนกว่าสิบคน
ในขณะนี้ แขนของเขายังคงพันด้วยผ้าพันแผล และรอยฟกช้ำยังคงปรากฏให้เห็นบนใบหน้า ตอนนี้รอยฟกช้ำเหล่านั้นกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ทำให้ท่าทางโกรธของเขาดูดุร้ายยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน เจียงไห่เทียนก็มาถึงพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ รวมถึงเจียงไห่โป เจียงไห่ฉวนและคนอื่น พวกเขาทั้งหมดต่างถืออาวุธอยู่ในมือ
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน
ไม่สิ ควรพูดว่าผู้ชายสิบกว่าคนที่นำโดยนักเลงเฉินถูกล้อมรอบด้วยผู้ชายในตระกูลเจียงและชาวบ้านหลายสิบคนจากครอบครัวใกล้เคียงมากกว่า
อืม ในเมื่อเจียงไห่หยางเห็นพวกนักเลงเฉิน เขาจะไม่เตรียมการอะไรเลยได้อย่างไร
ไม่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะยั่วยุนักเลงเฉินอย่างไร แต่ความจริงที่ว่านักเลงเฉินกล้านำผู้คนบุกมาที่เจียงวานนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงแจ้งเจียงไห่เทียนให้ก่อน
ในฐานะที่เป็นทั้งลุงของเจียงเสี่ยวไป๋และผู้ใหญ่บ้านเจียงวาน เสียงเรียกของเจียงไห่เทียนทำให้ชายหลายสิบคนรีบคว้าอาวุธและรีบมาที่นี่
“นักเลงเฉิน นายต้องการอะไร ? ”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะทันได้พูดอะไร เจียงไห่เทียนก็ก้าวไปข้างหน้าและถามอย่างดุดัน
นักเลงเฉินและคนของเขาเคยชินกับการทำตัวเย่อหยิ่งในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายจากเจียงวาน ใบหน้าของพวกเขาจึงแสดงอาการตื่นตระหนกออกมา
“ผู้ใหญ่บ้านเจียง ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมีเรื่อง”
นักเลงเฉินยังมีท่าทีสงบ เขาพูดกับเจียงไห่เทียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ ก่อนจะพูดว่า “ฉันแค่จะมาที่นี่เพื่อขอคำอธิบายจากเขา”
“หากไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง แล้วพาคนมามากมายทำไมกัน ? ”
เห็นได้ชัดว่าเจียงไห่เทียนไม่เชื่อเขา และถามอย่างเด็ดขาด
นักเลงเฉินยิ้มและชี้ไปที่อาการบาดเจ็บของเขา พลางกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้านเจียง คนในเจียงวานดุร้ายเกินไป ฉันพาคนมาเผื่อป้องกันตัว”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาพูดต่อว่า “ถ้าเราจะมาหาเรื่องจริง ๆ เราคงนำอาวุธมาด้วยแล้ว”
เจียงไห่เทียนมองไปที่นักเลงเฉินและกลุ่มของเขา เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีอาวุธจึงถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก
ถ้าเกิดการต่อสู้กับคนจำนวนมากในคืนนี้ มันอาจควบคุมไม่ได้และถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เขาไม่สามารถแบกรับสถานการณ์แบบนี้ได้ทั้งหมด
ในขณะนี้ เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปหานักเลงเฉิน และถามด้วยท่าทางสงบว่า “นายต้องการคำอธิบายอะไรจากฉัน ? ”
นักเลงเฉินกล่าวว่า “นายจงใจปล่อยข่าวเท็จ โดยอ้างว่านายจะซื้อมันฝรั่งลูกเล็กในราคาชั่งละ 4 เหมา ทำให้ฉันเสียเงินหลายหมื่นหยวน ดังนั้นนายควรให้คำอธิบายเรื่องนี้กับฉันไม่ใช่หรือไง ? ”
“เฮอะ ๆ …”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเยาะและพูดว่า “ใครบอกว่าฉันปล่อยข่าวเท็จ ฉันต้องการซื้อมันฝรั่งลูกเล็กในราคาชั่งละ 4 เหมาจริง ๆ ”
จากนั้น เขาก็เปลี่ยนประเด็นไป “แต่ฉันกลับหาซื้อมันฝรั่งลูกเล็กไม่ได้เลยสักลูกเดียว”
หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว เขาหันไปหาชาวบ้านและถามว่า “มีใครยังมีมันฝรั่งลูกเล็กอยู่ในบ้านบ้าง ? ผมจะซื้อชั่งละ 4 เหมา”
ชาวบ้านต่างระเบิดเสียงหัวเราะ
“มันฝรั่งลูกเล็กในบ้านของฉันขายไปในราคาชั่งละ 4.5 เหมาแล้ว”
“ของฉันก็เช่นกัน หลิวซือกั๋วซื้อมันฝรั่งในราคาชั่งละ 4.5 เหมา ทำไมฉันต้องขายให้นายในราคา 4 เหมาด้วย”
“ใช่ ฉันไม่ได้โง่ การที่ได้เงินเพิ่มอีกชั่งละ 5 เฟิงแบบนี้ ใครจะไม่เอากันล่ะ”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดกับนักเลงเฉินว่า “นายเข้าใจแล้วใช่ไหม ? ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากซื้อมันฝรั่ง แค่ไม่มีใครขายมันฝรั่งให้ฉันต่างหากล่ะ”
“แก….”
นักเลงเฉินโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขาเริ่มปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มยิ่งขึ้น