ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 46 :ฉันจะทำให้ภรรยากลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 46 :ฉันจะทำให้ภรรยากลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ตอนที่ 46 :ฉันจะทำให้ภรรยากลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ผัดมันฝรั่งขายได้ 517.4 หยวน
ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงขายได้ 186 หยวน
ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้นขายได้ 158.2 หยวน
รวมเป็นเงินทั้งหมด 861.6 หยวน
“เยอะมาก ! ”
เมื่อหลินเจียอินเห็นสมุดบัญชี เธอมีความสุขมาก เพราะการขายฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงและตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้นเป็นความคิดของเธอ เมนูใหม่สองเมนูนี้เพิ่มรายได้ให้กิจการของพวกเขาถึง 344.2 หยวน
นี่คือรายได้ของเมื่อวาน ภายใต้ข้อจำกัดของปริมาณที่พวกเขาเตรียมมาเพื่อลองตลาดเท่านั้น
วันนี้ ฟักเขียวมีเพียงพอและสามารถทำขายได้อย่างเต็มที่
เธอประเมินว่าผลประกอบการในวันนี้น่าจะเกิน 1,000 หยวน
“ไม่ใช่แค่นี้นะ”
หวังผิงพูดด้วยรอยยิ้ม “กิจการโรงน้ำชาเมื่อวานนี้ก็ดีมากเช่นกัน ชาของเราขายได้ 61.9 หยวน”
หลินเจียอินผงะไปครู่หนึ่ง เธอเกือบลืมไปว่าหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงได้นำร้านน้ำชามาลงหุ้นด้วย และเงินค่าชาควรรวมอยู่ในรายได้ของเมื่อวานนี้เช่นกัน
“รวมทั้งหมด 923.5 หยวน”
หวังผิงพูดเสียงดังด้วยความภูมิใจ “ผลประกอบการของเราเมื่อวานนี้อยู่ที่ 923.5 หยวน”
ด้วยผลประกอบการที่สูงขนาดนี้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เขายังสามารถได้รับเงินส่วนแบ่งมากกว่า 300 หยวนตามหุ้นส่วนที่เขาจะได้รับ
รายได้มากกว่า 300 หยวนต่อวัน หากเป็นเมื่อก่อน หวังผิงคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงมันแน่นอน
อย่าว่าแต่ภายในวันเดียวเลย เมื่อก่อนต่อให้เก็บเงินอย่างประหยัดเป็นเวลา 2 ปีก็ยังเก็บได้ไม่ถึง 300 หยวน
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของหวังผิง เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “แค่มีรายได้ไม่กี่ร้อยหยวนต่อวันก็ทำให้นายมีความสุขแล้ว อนาคตนายจะมีรายได้เยอะกว่านี้อีก”
“มากแค่ไหนล่ะ ? ”
หวังผิงพอใจมากที่ได้เงินไม่กี่ร้อยหยวนต่อวัน แต่เจียงเสี่ยวไป๋ทำให้เลือดของเขาเดือดพล่านด้วยความกระตือรือร้น ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เยอะจนนายไม่อยากนับเงินเลยล่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ
หวังผิงไม่เชื่อสิ่งนี้
ปรัชญาของเขาคือไม่ว่าเขาจะหาเงินได้มากแค่ไหน เขาก็เต็มใจที่จะนับ และยิ่งเขาเต็มใจที่จะนับมากเท่าไหร่ ในใจของเขาก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความสุข
คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความสุขของการนับเงิน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หวังผิงไม่รู้ก็คือ ในอนาคตเขาจะเป็นอย่างที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดจริง ๆ เขาจะมีรายได้ต่อวันเป็นจำนวนมหาศาล จนเขานับไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ
เหนื่อยเกินไป
เงินเยอะเกิน นับไม่ไหว
แน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
เพราะว่าตอนนี้ทั้งหวังผิง เฝิงเยี่ยนหง และหลินเจียอินต่างกำลังมีความสุขที่ได้นับเงิน
“เงินพวกนี้ให้พี่สะใภ้ของนายไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อฝากไว้ก่อน แล้วทุกสิ้นเดือนค่อยหักต้นทุนออก เหลือกำไรเท่าไร เราค่อยแบ่งเงินกัน” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
แน่นอนว่าหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงไม่คัดค้าน
หลังจากที่หลายคนคำนวณบัญชีของเมื่อวานนี้ เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าน้าสะใภ้ของเขาเจี่ยงชุ่ยหยูและถานเสี่ยวฟางมาถึงด้วย ดังนั้นเขาจึงขอให้พวกเธอปอกเปลือกมันฝรั่งก่อน จากนั้นค่อยปอกฟักเขียวแล้วหั่นชิ้นกับหั่นเป็นแผ่นบาง
หลังจากอธิบายรายละเอียดแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินไปที่ธนาคารเพื่อเปิดบัญชี
ในปี 1983 มีธนาคารใหญ่สี่แห่งในเมืองชิงโจว ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงเลือกไปที่ธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีนที่ใกล้ที่สุด
ตอนนี้คนที่มาทำธุรกรรมที่ธนาคารมีไม่มากนัก ในธนาคารจึงเงียบเชียบ
แต่แบบนี้ก็สะดวกเช่นกัน หลินเจียอินเปิดบัญชีอย่างรวดเร็วและรับสมุดบัญชีเงินฝากปกแข็งสีเขียวมา
ชื่อบัญชี: หลินเจียอิน
บัญชีธนาคาร: ธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีน สาขาชิงโจว
ยอดคงเหลือ: 923.5 หยวน
หลินเจียอินรู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่เธอถือสมุดเงินฝาก นี่เป็นสมุดบัญชีเล่มแรกของเธอ
เมื่อเห็นภรรยาของเขาดูมีความสุขมาก เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เนื่องจากภรรยาของเขาชอบความรู้สึกของการเป็นคนที่ร่ำรวย ฉะนั้นเขาจะทำให้ภรรยาของเขาได้กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุด
ฉันต้องการปรนเปรอภรรยาของฉันให้กลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก !
ทั้งสองเดินออกจากธนาคารมาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “เมียจ๋า คุณต้องรักษาสมุดบัญชีเงินฝากให้ดีและอย่าทำหายนะ ไม่อย่างนั้นใครก็ตามที่มีสมุดบัญชีจะสามารถไปธนาคารเพื่อถอนเงินได้”
ในปี 1983 ระบบการยืนยันข้อมูลด้วยชื่อจริงยังไม่สมบูรณ์ การถอนเงินที่ธนาคารต้องใช้สมุดคู่ฝากเท่านั้น ไม่ใช่บัตรประจำตัวประชาชน
พูดง่ายๆ ก็คือธนาคารจะจดจำเฉพาะสมุดบัญชีเงินฝากเท่านั้น ไม่ใช่บุคคล
“อ่า เป็นอย่างนั้นหรือ ? ”
เมื่อหลินเจียอินได้ยินดังนั้น เธอรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้น, ฉันเก็บสมุดบัญชีไว้ที่คุณได้ไหม ? ”
“เมียจ๋า ผมเคยพูดไปแล้วว่าให้คุณดูแลเงินของครอบครัวเรา” เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวและพูดว่า “คุณอย่าคิดมากเลย สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่เป็นเพียงสิ่งเตือนใจเท่านั้น คุณอย่าทำหายก็พอ มีผมอยู่ ไม่มีใครกล้ามาขโมยแน่นอน”
“อืม”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ เธอรู้สึกโล่งใจมาก
เจียงเสี่ยวไป๋คนปัจจุบันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
เมื่อทั้งสองกลับมาที่ร้านน้ำชา เฝิงเยี่ยนหงกำลังขายผัดมันฝรั่งอยู่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋รีบไปที่ครัวหลังร้านเพื่อทำ “ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น”
วันนี้มีคนมาช่วยงานเพิ่มอีกสองคน เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินผ่อนคลายมากขึ้น แต่ธุรกิจไปได้ดีจนพวกเขายังยุ่งเหมือนเดิม
เจี่ยงชุ่ยหยูและถานเสี่ยวฟางเห็นว่าธุรกิจดีมาก ทั้งสองทั้งอิจฉาและโล่งใจเช่นกัน
เดิมทีทั้งสองคนไม่ค่อยเชื่อนักเมื่อหลินเจียอินบอกว่าพวกเธอจะมีรายได้ 60 หยวนต่อเดือน
ท้ายที่สุดแล้ว 60 หยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากเห็นเงินเข้ามาในมือของหลินเจียอินอย่างไม่ขาดสายกับตาตัวเอง เธอจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล พวกเธอทำงานอย่างขยันขันแข็งขึ้นอีกด้วย
เวลา 17.00 น. เจียงเสี่ยวไป๋หยุดขาย
ในความคิดของเขา การหาเงินไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาไม่อยากให้ภรรยาของเขาเหนื่อยเกินไป เขายังอยากให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันด้วย
สองวันมานี้ แม้ว่าชานชานจะขลุกตัวอยู่กับเขา แต่เขาก็ไม่สามารถดูแลเธอได้เวลาที่เขายุ่ง
ไม่เห็นชานชานแล้วจะทำให้นายไม่มีความสุขสินะ ?
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงรู้สึกหมดหนทางกับเรื่องนี้มาก
เฝิงเยี่ยนหงยังเสียดายอยากขาย “ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น” ต่อ เธอมีใจอยากฝึกทำ
เจียงเสี่ยวไป๋สัญญาว่าจะสอนเธอในวันพรุ่งนี้
ด้วยซอสสูตรลับและผงปรุงรสที่เขาทำด้วยตนเอง ตราบใดที่คุณเชี่ยวชาญในการคุมไฟ รับรองเลยว่าเมนู “ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น” ไม่ยากเลยสักนิด
แต่แล้วก็เกิดปัญหาใหม่ตามมา
เจี่ยงชุ่ยหยูและถานเสี่ยวฟางต้องเดินทางกลับเวลา 17.00 น.
เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินต่างก็กลับในเวลานี้เช่นกัน เฝิงเยี่ยนหงคนเดียวจึงไม่สามารถทำทั้งหมดนี้ได้
แต่ต้องบอกเลยว่าเฝิงเยี่ยนหงเป็นผู้หญิงที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เธอชักชวนให้ถานเสี่ยวฟางย้ายมาอยู่ในเมือง โดยเธอจะดูแลเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัยให้
เรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋เพียงยิ้มและไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย
เขาไปพบกับเซี่ยงเฉียนจิ้นก่อน จากนั้นจึงพาหลินเจียอินและชานชานกลับไปที่เจียงวาน
เขาแวะซื้อแม่ไก่แก่ที่บ้านของช่างไม้ถาน
วันนี้เขาทำซุปไก่ให้ภรรยาและลูกสาวของเขากิน
ในยุคนี้ แม่ไก่แก่ในชนบทถูกเลี้ยงไว้ให้วางไข่ ดังนั้นเกษตรกรจึงไม่ยอมกินพวกมัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวตัวเล็กได้กินเนื้อไก่และดื่มซุปไก่
“ป่าป๊า ไก่อร่อยมากเลย”
เจียงชานแทะน่องไก่และพูดอย่างมีความสุข
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างหดหู่
ในยุคต่อมา ไก่เป็นเพียงอาหารที่ธรรมดาที่สุด ทว่าลูกสาวของเขาที่อายุเกือบ 5 ขวบแล้วเพิ่งได้กินไก่เป็นครั้งแรก
“ในอนาคต ฉันจะต้องให้เมียและลูกสาวได้กินของดีเหมือนกับคนรุ่นหลัง และให้พวกเธอได้กินของอร่อยทุกชนิด”
เจียงเสี่ยวไป๋แอบคิดในใจและคีบน่องไก่อีกชิ้นใส่ลงในชามของหลินเจียอิน “คุณก็กินเยอะ ๆ เหมือนกัน”
“ฉันกินส่วนอื่นของไก่ก็ได้ คุณเอาน่องไก่ให้ชานชานเถอะ” หลินเจียอินบอก
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร คุณกินเถอะ พรุ่งนี้ผมจะซื้อไก่อีกตัวและทำไก่ย่างให้คุณกับลูกกิน”
“จากนี้ไป ผมจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้คุณและลูกได้กินทุกวัน”
หลินเจียอินอุทานทำหน้ายู่และพูดว่า “คุณนี่ปากหวานไม่เบาเลยนะ”
เมื่อเห็นท่าทางตุ้งติ้งนั้น หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋ก็สั่นไหวชั่วขณะ และเขาก็โพล่งออกมา “ขอแค่คุณชอบ ผมยินดีทำให้คุณได้ทุกอย่าง”