ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 415 :มาถึงโรงเรียนประถมในหมู่บ้านบนภูเขา
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 415 :มาถึงโรงเรียนประถมในหมู่บ้านบนภูเขา
ตอนที่ 415 :มาถึงโรงเรียนประถมในหมู่บ้านบนภูเขา
หลังจากบ่ายสามโมง รถของเจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงหมู่บ้านเสวี่ยลั่ว
หยางเจี๋ยหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังของเธอขึ้นมา แล้วพูดว่า “รถมาได้ไกลเท่านี้แหละ ที่เหลือเราต้องเดินเท้าขึ้นไป ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มีปัญหาเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่าจะเอาของที่ซื้อมาในท้ายรถขึ้นไปได้อย่างไร เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเดินไกลกว่าสิบลี้แบบนี้ และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาของมากมายขนาดนี้ขึ้นไปหมด
“ทำไมนายถึงซื้อของมามากมายขนาดนี้”
หยางเจี๋ยมองไปที่ของต่าง ๆ มันมีทั้งหนังสือ ผักและเนื้อสัตว์ แล้วถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ฉันเห็นหลี่ม่านม่านเขียนในไดอารี่ของเธอว่านักเรียนของเธอชอบอ่านหนังสือ ฉันก็เลยซื้อมาให้พวกเขานิดหน่อย”
มุมปากของหยางเจี๋ยกระตุก ซื้อหนังสือมาตั้งหลายร้อยเล่ม นี่ยังบอกว่านิดหน่อยอีกเหรอ ?
“แล้วของกินพวกนี้ล่ะ ? ” หยางเจี๋ยแทบพูดไม่ออก
การแสดงออกของเจียงเสี่ยวไป๋ดูหม่นหมองลงเล็กน้อย และพูดว่า “ฉันอยากทำหม้อไฟให้เด็ก ๆ ได้กิน”
หยางเจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เธอเองก็ได้อ่านไดอารี่ของหลี่ม่านม่าน ซึ่งหน้าสุดท้ายได้เขียนไว่ว่า “หม้อไฟมีรสชาติเป็นยังไงนะ ? ฉันอยากจะกินมันสักครั้ง ! ”
“ฉันโลภมากใช่ไหม ! ”
มุมตาของหยางเจี๋ยชื้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดว่า “ขอบคุณที่จำได้ ! ”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปเจอสหกรณ์ไม้เก่าตรงหัวมุม แล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ! ” จากนั้นก็เดินไปที่สหกรณ์ไม้หลังนั้น
มันคือสหกรณ์ของหมู่บ้านเสวี่ยลั่ว
เมื่อเธอมาครั้งแรก เธอก็ได้มาถามทางจากที่นี่ ต่อมาหลังจากที่เธอและลุงเกอมาส่งหลี่ม่านม่านที่หมู่บ้านเสวี่ยลั่ว หลี่ม่านม่านเกิดเป็นลม ซึ่งก็เป็นหงไคหยูคนเฝ้าสหกรณ์คนนี้ ที่ไปขอให้ถานปังเจียนขับเกวียนไปส่งหลี่ม่านม่านไปโรงพยาบาล
ในตอนที่หยางเจี๋ยกลับมาจากโรงพยาบาล เธอก็ได้มาขอยืมกระบุงจากหงไคหยู
“หยางเจี๋ย เธอเก่งจริง ๆ มาถึงที่นี่ก็ขอยืมกระบุงได้ด้วย” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
หยางเจี๋ยยิ้มเศร้า “มันเป็นเพราะม่านม่าน ทุกคนที่นี่รู้ว่าม่านม่านมาที่นี่เพื่อสนับสนุนการศึกษา พวกเขาทุกคนจึงเคารพเธอ ลุงหงจึงให้ฉันยืมกระบุงเพราะเห็นแก่ม่านม่าน”
จู่ ๆ รอยยิ้มของเจียงเสี่ยวไป๋ก็หายไป ยิ่งหลี่ม่านม่านได้รับความเคารพจากคนที่นี่มากเท่าไร ก็แสดงว่าเธอต้องทำงานหนักเท่านั้น บางครั้งเขาก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าผู้หญิงที่บอบบางเช่นนี้จะมีความกล้าหาญขนาดนี้ได้อย่างไร !
เจียงเสี่ยวไป๋เก็บข้าวของทั้งหมดที่เขาซื้อมาใส่กระบุงโดยไม่พูดอะไรอีก เขาแบกกระบุงขึ้นหลังเดินไปตามทาง เพื่อขึ้นไปยังหมู่บ้านบนภูเขาพร้อมกับหยางเจี๋ย
เมื่อผ่านถนนคอนกรีตก็มุ่งหน้าไปทางใต้หลังจากเดินไปตามถนนลูกรังเป็นระยะทางหลายลี้ พวกเขาก็เลี้ยวไปทางตะวันตก แล้วเดินข้ามเนินเขาสองลูก จนเจ้าตัวน้อยเริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยจนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก
“ป้าหยาง อีกไกลแค่ไหนคะ ? ”
หยางเจี๋ยชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าแล้วพูดว่า “หลังจากผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นไปแล้ว เราก็เลี้ยวอีก 1 โค้งแล้วจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำคือหมู่บ้านที่เราจะไป”
ฟังดูไม่ไกลนัก แต่ที่จริงแล้วใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงกว่า
ดังสุภาษิตพื้นบ้านที่ว่า ร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นบ้าน
ทว่าตอนนี้ ฉันยังไม่เห็นแม้แต่หลังคาบ้านเลยด้วยซ้ำ !
เธอแค่กังวลว่าเจ้าตัวน้อยจะถอดใจไปเสียก่อน ถ้าเธอบอกว่ายังอีกไกล
แต่ใครจะไปคิดว่าเจียงชานกลับพูดว่า “ป่าป๊า อีกไม่ไกลแล้วค่ะ อดทนอีกนิดนะ ! ”
หยางเจี๋ยจึงตระหนักได้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้กลัวเหนื่อย แต่เธอกำลังห่วงพ่อของเธออยู่
ช่างเป็นลูกที่เอาใจใส่พ่อแม่จริง ๆ !
หยางเจี๋ยถอนหายใจและรู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก
เธอให้กำเนิดลูกชายทั้งสามคน พวกเขาไม่เคยจะใส่ใจเธอแบบนี้เลย และบางครั้งก็ซนจนเธอทนไม่ไหว
คงจะดีไม่น้อยถ้าฉันมีลูกสาวที่มีน้ำใจขนาดนี้
เมื่อมองดูสาวน้อย หยางเจี๋ยก็รู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
มันเป็นถนนบนภูเขาที่ยาวไกล ไม่ต้องพูดถึงเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบเลย แม้แค่เธอที่อายุมากแล้วก็ยังรู้สึกเหนื่อยมาก
“ชานชาน หนูเก่งมาก หนูสามารถเดินบนถนนที่ชันและไกลได้โดยไม่บ่นสักคำ ! ” หยางเจี๋ยกล่าวชมออกมา
เจียงชานพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “หนูวิ่งออกกำลังกายกับพ่อวันละหนึ่งชั่วโมงทุกเช้า ระยะทางเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ไม่เป็นไรเลยค่ะ”
หยางเจี๋ยประหลาดใจอีกครั้ง เด็กอายุแค่นี้แต่กลับตื่นมาวิ่งทุกเช้า !
ไม่แปลกใจเลยที่เดินนานขนาดนี้ยังไม่บ่นออกมาสักคำ เป็นผลมาจากการออกกำลังกายนี่เอง !
เมื่อมองดูเด็กหญิงตัวเล็ก เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าต่อให้ลูกชายคนโตของเธอมาด้วย เธออาจจะต้องอุ้มเขาเดินขึ้นมา เพราะเขาคงไม่ยอมเดินขึ้นมาง่าย ๆ แบบนี้แน่
ต้องบอกว่าวิธีการเลี้ยงดูเด็ก ๆ นำมาซึ่งความสำเร็จที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เธอมองดูเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความชื่นชม
เจียงเสี่ยวไป๋พอใจมากเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชานชาน ถ้าหนูผ่านมันมาได้ในครั้งนี้ หนูจะรู้ถึงประโยชน์ของการวิ่งทุกเช้า ! ”
เจียงชานพยักหน้า “ป่าป๊า ตอนนี้สมรรถภาพทางกายของหนูดีมาก หลังจากนี้ หนูจะตื่นมาวิ่งตอนเช้าทุกวันเลยค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและให้กำลังใจ “ถ้าอย่างนั้นเรามาสู้ไปด้วยกัน ! ”
“สู้ค่ะ ! ”
เจ้าตัวเล็กกำหมัดแน่นและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก
พวกเขาทั้งสามเดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ มันเป็นสะพานโซ่ที่แขวนไว้บนแม่น้ำ แผ่นไม้ด้านล่างที่ต่อกันก็แกว่งไปมาดูเวียนหัวและน่ากลัวมาก
“นั่นคือสะพานโซ่ ! ”
เด็กน้อยไม่กลัวเลยและยังตะโกนด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย
หลังจากขึ้นสะพานโซ่แล้ว สะพานก็แกว่งไปมาอย่างแรง หลังจากก้าวไปหนึ่งก้าว เจียงเสี่ยวไป๋ก็กังวลว่าลูกสาวของเขาจะทรงตัวไม่ได้ มันไม่มีราวกั้น มีเพียงโซ่เหล็กด้านบนและด้านล่าง และแผ่นไม้ให้เหยียบ ถ้าเธอล้ม เธอก็จะตกลงไปในแม่น้ำอย่างง่ายดาย
เขารีบจับมือลูกสาวของเขาเอาไว้
“ป่าป๊า หนูไม่กลัว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “หนูมีสิทธิ์ที่จะกล้าหาญได้ แต่พ่อก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับหนูด้วย เข้าใจไหม ? ”
“อ้อ” เด็กน้อยยอมให้เจียงเสี่ยวไป๋จับมือเธออย่างว่าง่าย
หลังจากลงจากสะพานโซ่แล้ว เจ้าตัวเล็กก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “ป่าป๊าดูสิ ด้านหน้าสวยมากเลยค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เหมือนเคยเห็นมันมานานแล้ว ข้างหน้าพวกเขาเป็นเนินเขาที่มีดอกไม้ป่ามากมายบานสะพรั่ง และพลิ้วไหวไปตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วง
หลังจากเดินไปได้กว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงโรงเรียนประถมของหมู่บ้าน
เวลานี้โรงเรียนเลิกแล้ว จึงไม่มีใครอยู่ มีเพียงธงสีแดงบนเสาธงในสนามหญ้าเท่านั้นที่ยังคงปลิวไปตามสายลม
“ป้าหยาง ที่นี่คือโรงเรียนที่ป้าหลี่เคยสอนใช่ไหมคะ”
“ทำไมมันโทรมขนาดนี้ ! ”
เจียงชานมองไปที่หลังคากระเบื้องเก่าของโรงเรียนแล้วพูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หยางเจี๋ยพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ นี่คือโรงเรียนที่ป้าหลี่สอน เธออาศัยอยู่ที่นี่กับเด็ก ๆ มากว่าหกปีแล้ว ! ”
“แล้วทำไมหนูถึงไม่เห็นว่ามีนักเรียนสักคนล่ะคะ” เจียงชานถามอีกครั้ง
หยางเจี๋ยจึงตอบว่า “เรามาสาย วันนี้โรงเรียนเลิกแล้ว”
“อ้อ ! ”
เจียงชานตอบออกมาด้วยท่าทีผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน ประตูบ้านไม้หลังที่สองทางด้านขวาก็เปิดออก จากนั้นชายชราผมหงอกก็ได้เปิดประตูออกมา
“เสี่ยวหยาง ทำไมถึงมาที่นี่อีกแล้วล่ะ ! ”
เมื่อครูใหญ่เห็นว่าเป็นหยางเจี๋ย เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อยและถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น
หยางเจี๋ยจึงตอบว่า “สวัสดีค่ะครูใหญ่จาง ฉันจะพาเพื่อนมาที่นี่ เขาจะมาไหว้หลุมศพของม่านม่าน ! ”
ครูใหญ่มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “ฉันชื่อจางเหวินเซี๋ยง ยินดีต้อนรับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดว่า “สวัสดีครับครูใหญ่ ผมชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ เป็นเพื่อนของหลี่ม่านม่าน” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เจียงชาน “นี่คือลูกสาวของผม เจียงชาน สวัสดีครูใหญ่ก่อนสิ ! ”
“สวัสดีค่ะปู่จาง ! ”
เจียงชานทักทายอย่างสุภาพ
ครูใหญ่พยักหน้าและบอกให้เจียงเสี่ยวไป๋วางกระเป๋าสะพายลงก่อน นอกจากนี้ เขายังเปิดห้องที่หลี่ม่านม่านเคยอาศัยอยู่และพูดว่า “ยังไงพวกคุณก็เป็นเพื่อนของครูหลี่ ไปนั่งพักข้างในก่อนสิ”
“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะทำอาหารให้กิน ! ”