ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 414 :ถู่เฉิง
ตอนที่ 414 :ถู่เฉิง
“ป่าป๊าคะ คราวนี้เราจะไปที่ไหนกันคะ ? ”
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงรถ เจียงชานก็ถามด้วยความตื่นเต้น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เราจะไปที่เขตเล็ก ๆ ทางตะวันตกที่เรียกว่าถู่เฉิง เพื่อนร่วมชั้นของพ่อกับแม่ที่เล่าให้ฟังครั้งที่แล้ว หลังจากเธอเสียชีวิต ร่างของเธอก็ถูกฝังอยู่ที่นั่น พ่อจะพาหนูไปเยี่ยมหลุมศพของเธอ”
เจียงชานพยักหน้ารับและไม่ถามอีกต่อไป
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไรอีก เขาขับรถออกไปอย่างเงียบ ๆ ไปยังถนนสายเก่าของอำเภอชิงซาน หลังจากจอดรถแล้ว เขาก็พาเจียงชานเดินเข้าไปที่ซอยสอง
เขาตั้งใจจะมาขอให้หยางเจี๋ยไปกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่าหยางเจี๋ยพอจะมีเวลาหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าเธออยากไปด้วยกันไหม ?
ไม่นาน สองพ่อลูกก็มาถึงบ้านเลขที่ 216 บ้านของหยางเจี๋ย
ในเวลากลางวันแสก ๆ ประตูบ้านไม้เปิดอยู่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงตะโกนเข้าไปข้างในบ้าน “หยางเจี๋ย เธออยู่ไหม ? ”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยประมาณห้าสิบปีเศษก็เดินออกมา เขาเหลือบมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “คุณเป็นใคร ? มีธุระอะไรกับหยางเจี๋ย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “สวัสดีครับคุณลุง ผมชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของหยางเจี๋ย”
ชายผู้นี้คือหยางซิ่วอันพ่อของหยางเจี๋ย เขาตอบกลับมาว่า “หยางเจี๋ยขึ้นรถไฟกลับไปแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะรู้ว่านี่คือบ้านเกิดของหยางเจี๋ย เดาว่าเธอคงจะกลับไปที่บ้านสามีของเธอในตอนนี้
เขายื่นบุหรี่ให้พ่อของหยางเจี๋ย และขอที่อยู่บ้านสามีของหยางเจี๋ยมา
หยางซิ่วอันหยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วบอกที่อยู่ไป บ้านสามีของหยางเจี๋ยอยู่ที่ถนนซานเซิ่งทางตอนเหนือของเมืองชิงโจว
เจียงเสี่ยวไป๋รู้จักที่นั่นดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของหลินฉางเกิง
หลังจากขอบคุณเขาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาเจียงชานเดินออกมาและขับรถตรงเข้าไปในเมือง
เขาไม่ได้ไปหยางเจี๋ยทันที แต่แวะไปซื้อของบางอย่างก่อน
เขาเห็นในไดอารี่ของหลี่ม่านม่านว่าอยากซื้อหนังสือนิทานไปให้เด็ก ๆ ดังนั้นเขาจึงไปที่ร้านหนังสือซินหัวและซื้อชุดหนังสือนิทานหลายสิบชุด และยังซื้อวัตถุดิบที่จะเอาไปทำหม้อไฟ กุ้งอบน้ำมัน ฯลฯ ก่อนจะตรงไปที่ถนนซานเซิ่ง
หยางเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋มาอยู่ที่หน้าบ้าน “ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋บอกให้เจียงชานสวัสดีเธอก่อน เจียงชานจึงตะโกนออกมาว่า “สวัสดีค่ะคุณป้า ! ”
จากนั้น เขาถึงได้พูดว่า “นี่คือลูกสาวของฉัน เจียงชาน ฉันจะพาลูกไปเยี่ยมหลุมศพหลี่ม่านม่าน เลยอยากมาชวนเธอไปกับฉันด้วย”
หยางเจี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “งั้นรอสักครู่ ฉันพาลูกเข้านอนแล้วไปกับนาย”
“ขอบคุณ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวขอบคุณ
เขารู้ว่าหยางเจี๋ยเป็นแม่ลูกสามแล้ว เธอเพิ่งกลับมาจากถู่เฉิงเมื่อวานนี้ วันนี้ก็ต้องห่างจากลูกน้อยอีกสองสามวันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิด แต่มันก็จำเป็นจริง ๆ
หยางเจี๋ยไม่ได้พูดอะไร เธอเชิญเจียงเสี่ยวไป๋และลูกสาวของเขาเข้ามาในบ้าน จากนั้นเธอก็ไปจัดการเรื่องของเด็ก ๆ ให้เสร็จ
หลี่อิงจวิ้นสามีของเธอไปทำงาน เธอจึงต้องฝากลูกทั้งสามคนไว้กับปู่ย่าของเด็ก ๆ
ราวสิบนาทีต่อมา ทั้งสามก็ออกเดินทาง
“ป้าหยาง คุณป้ากับป่าป๊าของหนูเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อนใช่ไหมคะ ? ”
เจียงชานและหยางเจี๋ยนั่งอยู่แถวหลัง เมื่อรถขับออกมา เจ้าตัวเล็กก็ถามด้วยความสงสัย
หยางเจี๋ยพูดว่า “ใช่ พ่อกับแม่ของหนูและฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อนตอนเรียนในวิทยาลัยครูจ้ะ”
หนูน้อยถามอีกครั้ง “วิทยาลัยครูคืออะไรหรอคะ ? ”
หยางเจี๋ยกล่าวว่า “วิทยาลัยครูเป็นวิทยาลัยที่ฝึกอบรมครู หลังจากสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครูแล้ว ก็สามารถไปเป็นครูได้จ้ะ”
หนูน้อยพยักหน้ารับบอกว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ป่าป๊าของหนูไม่ใช่ครู ส่วนหม่าม๊าก็ไม่ใช่ครูเหมือนกัน แล้วป้าหยางเป็นครูหรือเปล่าคะ ? ”
หยางเจี๋ยยิ้มเจื่อนออกมา “ป้าเองก็ไม่ใช่ครูเหมือนกัน”
เจียงชานถามต่ออีกว่า “ทำไมเหรอคะ เป็นครูมันไม่ดีเหรอคะ ? ”
หยางเจี๋ยกล่าวว่า “การเป็นครูเป็นเรื่องที่ดี เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นอาชีพที่ให้ความรู้แก่ผู้อื่น ได้รับการเคารพ เป็นหน้าเป็นตาแก่ครอบครัว ครูยังมีงานที่มั่นคงและมีรายได้ที่ดีด้วย”
เจียงชานน้อยยังคงถามด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วทำไมป่าป๊า หม่าม๊า และป้าหยางถึงไม่เป็นครูล่ะคะ ? ”
หยางเจี๋ยสะดุ้งเล็กน้อย เธอไม่เคยใส่ใจด้วยซ้ำว่าเพื่อนร่วมชั้นของเธอหลายคนไม่ได้เป็นครู ถ้าเจ้าตัวเล็กไม่ถามถึงมัน
เธอไม่รู้ว่าทำไมหลินเจียอินถึงไม่เป็นครู และเธอไม่รู้ว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงลาออกจากการเป็นครูสอนในโรงเรียนประถมชิงซาน แต่เหตุผลที่เธอออกจากการเป็นครูหลังจากแต่งงานแล้ว ก็เพราะสามีของเธอต้องการให้เธอดูแลลูก ๆ อยู่ที่บ้าน
บางที ตอนที่สมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยครู นักเรียนทุกคนอาจมีความฝันที่จะเป็นครู แต่พอโตขึ้น ความฝันนั้นอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่เมื่อออกมาใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริง
ผู้คนอาจมีความฝันได้ตลอดชั่วชีวิต แต่จะได้ทำตามความฝันหรือไม่ก็อีกเรื่อง
แต่จะมีสักกี่คนกันที่ยึดติดกับความฝันเดิมของตัวเอง ?
หยางเจี๋ยเหม่อไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นว่าหยางเจี๋ยไม่ตอบ เจียงชานจึงกล่าวเสริมว่า “ป้าหยางคะ คุณป้าคนที่เราจะไปเยี่ยมหลุมศพก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของพวกป้าหยางด้วยใช่ไหมคะ ? เธอเป็นคนเดียวในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่ทำงานเป็นคุณครูหรือเปล่า ? ”
หยางเจี๋ยรู้สึกเศร้าใจอีกครั้งเมื่อต้องพูดถึงหลี่ม่านม่าน เธอพูดว่า “ใช่จ้ะ เธอชื่อหลี่ม่านม่าน หนูสามารถเรียกเธอว่าครูหลี่ก็ได้ แต่น่าเสียดายที่หนูไม่ได้พบเธอ ไม่อย่างนั้นหนูจะต้องชอบเธอแน่ ๆ เพราะเธอเป็นคุณครูที่ใจดีมาก ๆ เลยนะ ! ”
เจียงชานถอนหายใจ “พ่อของพี่จื่ออันก็เป็นคนดีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว ! ”
หยางเจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “พี่จื่ออันคือใคร ? ทำไมพ่อของเขาถึงตายล่ะ ? ”
เจียงชานกล่าวว่า “ป่าป๊าบอกว่าพ่อของพี่จื่ออันเป็นวีรบุรุษ เขาเสียชีวิตเพราะช่วยคนที่ตกน้ำ พี่จื่ออันและน้องจื่อเสวียนน่าสงสารมาก หนูเลยให้ของเล่นพวกเขาไปเยอะแยะเลยค่ะ”
หยางเจี๋ยไม่รู้เกี่ยวกับสาเหตุการตายของเจี่ยงจงฉือ ดังนั้นเธอจึงลูบหัวของเจียงชานแล้วพูดว่า “ชานชานเก่งมากเลยจ้ะ หนูมีน้ำใจและเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่อายุยังน้อย หนูรู้ไหมว่าครูหลี่ก็มีนิสัยเหมือนกับหนู เธอมักจะชอบช่วยเหลือเด็ก ๆ ทุกครั้งที่เธอมีโอกาส”
หยางเจี๋ยเริ่มเล่าเรื่องที่หลี่ม่านม่านชอบช่วยเหลือเด็ก ๆ ในหมู่บ้านบนภูเขา ที่เธออ่านเจอในไดอารี่ของหลี่ม่านม่านและบางส่วนก็ได้ยินจากปากของชาวบ้านในหมู่บ้านบนภูเขา
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังอย่างเงียบ ๆ ขณะขับรถ
ยิ่งเขาฟังมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
พระเจ้าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ที่ให้คนดี ๆ แบบนี้ได้มีโอกาสใช้ชีวิตบนโลกได้แปปเดียว
เจียงชานก็รู้สึกประทับใจเช่นกันเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่หยางเจี๋ยเล่า ทำให้เธอมองหลี่ม่านมานในมุมที่ดี
รถจี๊ปขับไปตามทางที่เริ่มจะชันขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงถู่เฉิง
พวกเขาทั้งสามขับมาจอดที่ร้านบะหมี่และก็ได้สั่งบะหมี่กินคนละชาม ในขณะที่กำลังกินบะหมี่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็มองไปรอบ ๆ เมืองเล็กที่ทรุดโทรมนี้ด้วยความมึนงง
“ป่าป๊ากำลังดูอะไรอยู่เหรอคะ ? ” เจียงชานถามด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนสายตากลับมาแล้วพูดว่า “พ่อกำลังมองไปรอบ ๆ เมืองเล็กนี้อยู่”
“เมืองเล็ก ? ”
หนูน้อยสับสนเล็กน้อย “มันเหมือนเรากำลังอยู่ในชนบทมากกว่าค่ะ ! ”
เธอไม่รู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองเลย มันเหมือนกับหมู่บ้านบางหมู่บ้านที่เธอเคยผ่านตอนไปที่เจียงเฉิงกับพ่อของเธอ
หยางเจี๋ยยิ้มเจื่อนเล็กน้อย “ตอนฉันมาถึงถู่เฉิงครั้งแรก ฉันก็คิดว่ามันเหมือนชนบทมากกว่า”
“ถู่เฉิงยากจนและล้าหลังมากจริง ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
เขารู้ว่าความยากจนและความล้าหลังของถู่เฉิงนั้นจะเป็นแค่ยุคนี้เท่านั้น ในอนาคต ค่า GDP รายหัวของถู่เฉิงจะเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในภาคกลางของจีน
อนาคต ถู่เฉิงจะยังคงมีขนาดเล็ก แต่จะเล็กและสวยงามราวกับไข่มุกที่สดใสบริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ของภาคกลาง
นี่เป็นเพียงดินแดนสมบัติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่านั้น
น่าเสียดายที่ในชีวิตที่แล้วของเขา เขามีโอกาสได้มาที่ถู่เฉิงเพื่อรับส่วนแบ่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากการทรยศของหุ้นส่วนคนหนึ่งที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุด เขาจึงไม่เคยมาที่ถู่เฉิงอีกเลย
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋มาเหยียบดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง และอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใครบางคน
หลังจากที่ทั้งสามกินบะหมี่เสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านเสวี่ยลั่ว