ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 381 :ความคิดอื่น
ตอนที่ 381 :ความคิดอื่น
ความคิดอื่น ?
รองนายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีถัง ผู้อำนวยการหลันและคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมหมายถึง เนื่องจากการเงินของเมืองตึงตัว ทำไมผมไม่ให้ทุนสนับสนุนโรงเรียนประถมศึกษาล่ะ”
รองนายกเทศมนตรีถังตกใจและพูดว่า “คุณหมายถึงโรงเรียนเอกชนใช่ไหม ? ”
นับตั้งแต่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน โรงเรียนเอกชนมีช่วงขาขึ้นและขาลง ตามวิวัฒนาการของนโยบายระดับชาติในปี 1952 กระทรวงศึกษาธิการได้ออกคำแนะนำในการเข้ารับช่วงต่อโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของเอกชน โดยเสนอว่ารัฐบาลจะเข้าดูแลโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของเอกชนทั้งหมดในประเทศ ทำให้เกิดความชัดเจนว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศจะได้รับการจัดการและรับผิดชอบโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียว
และในอีก 30 ปีข้างหน้า โรงเรียนอนุบาลเอกชน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของเอกชนในประเทศก็จะสูญหายไปโดยสิ้นเชิง
ในปี 1982 รัฐได้ยกระดับความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาเอกชนขึ้นอีกระดับ และรัฐธรรมนูญได้ชี้แจงสถานะทางกฎหมายของการศึกษาเอกชนเป็นครั้งแรก
ในปี 1993 สภากิจการของรัฐได้ออก ‘โครงร่างการปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาการศึกษา’ ซึ่งเสนออย่างชัดเจนให้เปลี่ยนรูปแบบโรงเรียนของรัฐและค่อย ๆ วางระบบให้โรงเรียนของรัฐเป็นองค์กรหลัก และให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียน
ในปี 1997 สภากิจการของรัฐได้ประกาศใช้ ‘ข้อบังคับว่าด้วยการดำเนินการโรงเรียนโดยมีกองกำลังสังคม’ ซึ่งเป็นกฎระเบียบด้านการบริหารฉบับแรกของประเทศที่ควบคุมการศึกษาเอกชนโดยเฉพาะ ทำให้โรงเรียนเอกชนสามารถพัฒนาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี 2002 ‘กฎหมายส่งเสริมการศึกษาเอกชน’ ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าโรงเรียนเอกชนมีสถานะทางกฎหมายเช่นเดียวกับโรงเรียนของรัฐ
ต่อมาในปี 2010 รัฐได้ออก ‘โครงร่างแผนการปฏิรูปการศึกษาระยะกลางและระยะยาวแผนสิบปี(ประจำปี 2010-2020) เพื่อกระชับการปฏิรูประบบบริหารโรงเรียนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสร้างรูปแบบทั้งสังคมมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาการศึกษาสาธารณะและการศึกษาเอกชนร่วมกัน มีการชี้แจงวิธีการจดทะเบียนแบบจำแนกประเภทของโรงเรียนเอกชนและรายละเอียดการดำเนินการสนับสนุนแล้ว โรงเรียนเอกชนได้ค่อย ๆ ก้าวไปสู่การพัฒนาการจัดการที่ได้มาตรฐานตามนโยบายดังกล่าว
ตอนนี้เพิ่งปี 1983 และรองนายกเทศมนตรีถังยังไม่เข้าใจนโยบายและสถานการณ์ที่ตามมา แต่ เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนที่ได้กลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเรื่องนี้ดี
แต่ในปี 1982 โรงเรียนเอกชนได้ถูกตราไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ รองนายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีถัง ผู้อำนวยการหลัน ฟู่เต๋อเจิ้งและคนอื่นต่างก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
เพียงว่ายังไม่มีโรงเรียนเอกชนในเมืองชิงโจว เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เสนอ รองนายกเทศมนตรีถังจึงค่อนข้างรู้สึกตกใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ลูบจมูกของเขาแล้วพูดว่า “เดิมทีผมแค่อยากสร้างโรงเรียนประถมบริจาคให้สักแห่ง แต่หลังจากได้ยินผู้นำพูดคุยเกี่ยวกับการขาดแคลนทรัพยากรการศึกษาในเมือง และผมไม่สามารถหาเงินหนึ่งล้านในคราวเดียวได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจได้ว่าภายในหนึ่งปีนี้ ยังคงเป็นไปได้ที่ผมจะลงทุนมากกว่าหนึ่งล้านหยวนเพื่อสร้างโรงเรียนประถมในเขตเมืองที่ตรงกับความต้องการของเมือง”
ผู้อำนวยการหลันหงมองไปที่รองนายกเทศมนตรีถัง และเห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกประทับใจ
หากเจียงเสี่ยวไป๋ลงทุนเพื่อเปิดโรงเรียนประถมเอกชนที่ตรงกับความต้องการของเมืองได้จริง ๆ สิ่งนี้สามารถช่วยลดความกดดันที่เด็กวัยเรียนในเขตเมืองต้องไปโรงเรียนได้อย่างแท้จริง และจะช่วยแก้ไขความต้องการเร่งด่วนของเธอด้วย
รองนายกเทศมนตรีถังมองไปที่รองนายกเทศมนตรีจาง
รองนายกเทศมนตรีจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ไม่มีปัญหากับนโยบายของโรงเรียนเอกชนในปัจจุบัน หากรองนายกเทศมนตรีถังคิดว่ามันเป็นไปได้ ฉันก็จะสนับสนุน”
รองนายกเทศมนตรีถังยิ้มและกล่าวว่า “คุณเจียงต้องการเปิดโรงเรียน และฉันก็มีความยินดี อย่างไรก็ตามค่าธรรมเนียมของโรงเรียนเอกชนยังอยู่ภายใต้การจัดการของสำนักงานการศึกษาในเมือง ส่วนครูที่เข้ามาทำงานก็จะได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดเช่นกัน เมืองของเราสามารถให้ได้แค่นโยบาย แต่ไม่สามารถสนับสนุนทรัพยากรได้ คุณเจียงจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “นโยบายของรัฐบาลคือการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผม ตราบใดที่เมืองอนุญาตให้ผมบริหารโรงเรียนได้ ผมจะบริหารโรงเรียนให้ดีอย่างแน่นอน”
“เอาล่ะ ฉันจะกลับไปหารือกับผู้อำนวยการหลันเพื่อดูว่าจะทำอย่างไร เราจะเริ่มดำเนินการได้หลังจากวันชาติผ่านพ้นไป” รองนายกเทศมนตรีถังกล่าวอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปเจียงเฉิง ในช่วงบ่ายผมจะทำการโอนเงิน 150,000 หยวนที่จะใช้เป็นงบประมาณสร้างโรงเรียนประถมที่เหล่าเหอโข่วเข้าบัญชีของสำนักการศึกษา”
หลันหงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและแสดงความขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับเจิ้งเจียฮุ่ย “ผมจะโอนเงิน 20,000 หยวนสำหรับสนับสนุนรายการสุขภาพดี ชีวีสุขีไปยังบัญชีสถานีโทรทัศน์ในช่วงบ่าย ผมจะเซ็นสัญญาแผนกโฆษณาหลังจากที่ผมกลับจากเจียงเฉิงแล้ว”
เจิ้งเจียฮุ่ยพยักหน้าและเห็นด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวเสริมว่า “กลับไปผมจะติดต่ออธิการบดีหลี่ไคเซียนในภายหลัง และขอให้เขาช่วยแนะนำผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์แผนจีนที่มีประสบการณ์ จากนั้นผมจะให้ผู้อำนวยการเจิ้งติดต่ออธิการบดีหลี่โดยตรง”
เจิ้งเจียฮุ่ยรู้สึกประหลาดใจ เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเจียงให้การช่วยเหลือดีมาก อธิการบดีหลี่มีความสามารถพิเศษหลายด้าน ฉันกังวลว่าจะเชิญเขามาไม่ได้ แต่จะดีมากถ้ามีคุณช่วยติดต่อให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่คิดว่าจะติดต่อหลี่ไคเซียนได้ยากขนาดนั้น
หลังจากนั้น เขาพูดกับหลันหงและหลู่ต้าเหว่ยว่า “เรื่องการบริจาคนมถั่วเหลืองให้พวกคุณติดต่อกับผู้จัดการเฉินโดยตรงได้เลย ขั้นแรกเราจะทำโครงการนำร่องในโรงเรียนประถมศึกษากลางอันดับ 1 ของชิงโจวก่อน หลังจากมีการประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์แล้ว เราค่อยทยอยประชาสัมพันธ์ไปยังโรงเรียนประถมศึกษาอื่น ๆ ”
ทั้งหลันหงและหลู่ต้าเหว่ยต่างไม่ติดอะไร
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยพื้นฐานแล้วเขามีความคิดที่จะทำอะไรหลายอย่าง
แม้ว่ามื้อนี้จะไม่ได้ดื่ม แต่ทุกคนก็มีความสุข
ในตอนท้ายของงาน เฉินหยวนเฉามอบนมถั่วเหลืองให้กับทุกคนที่มาร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็น 2 กล่อง และทุกคนต่างก็พอใจ
ระหว่างทางกลับไปที่โรงงานเครื่องปรุงรสสำเร็จรูป เฉินหยวนเฉากล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ พี่ไม่ได้ว่านายนะ แต่ทำไมนายต้องสร้างโรงเรียนเอกชนด้วย ? มันทำเงินไม่ได้มากมายขนาดนักหรอก เสียแรงเปล่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วพูดว่า “ปีหน้าชานชานจะเข้าโรงเรียนแล้ว ผมเลยจะสร้างโรงเรียนเพื่อให้เธอได้เรียนในโรงเรียนที่ผมสร้าง พี่มีอะไรคัดค้านหรือเปล่า ? ”
“อะไรนะ ! ” เฉินหยวนเฉาอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึง “ที่นายอยากสร้างโรงเรียน แค่เพียงเพื่ออยากให้ชานชานได้เรียนหนังสือได้สะดวกขึ้นเท่านั้นน่ะหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “แล้วไม่งั้นผมจะต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำไม ที่ผมทำทุกอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ภรรยาและลูก ๆ ของผมได้ใช้จ่ายอย่างสุขสบายหรอกหรือ ? ”
เฉินหยวนเฉาพูดไม่ออก ราวกับว่าเขากินแมลงวันเข้าไป
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้โอกาสนี้พูดว่า “พี่เขย ต่อไปนี้พี่ก็อย่าแสดงความคิดแทนผมแบบไม่ตั้งใจต่อหน้าคนอื่นอีกนะ หากพี่มีความคิดอะไรก็สามารถบอกผมเป็นการส่วนตัวได้ แต่ในที่สาธารณะ แม้ว่าสิ่งที่ผมพูดจะไม่ถูกต้อง แต่พี่ก็ควรเพิกเฉยเสียก่อน มันก็เหมือนกับตอนที่พี่เป็นทหารนั่นแหละ เมื่อใดก็ตามไม่ว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจะถูกหรือผิด พี่ก็ต้องปฏิบัติตามก่อนแล้วค่อยหารือกันในภายหลัง”
จากนั้น เฉินหยวนเฉาก็ตระหนักว่าเขาคิดผิด เขาและเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มีความคิดที่ตรงกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เจียงเสี่ยวไป๋ในอดีตแล้ว
สิ่งที่เขากังวลทั้งหมดไม่ได้มีค่าต่อเจียงเสี่ยวไป๋เลย
เขาพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันรู้ ! ”
เมื่อพวกเขามาถึงโรงงานเครื่องปรุงสำเร็จรูป เฉินหยวนเฉาลงจากรถแล้วเหลือบมองที่เจียงเสี่ยวไป๋ และเดินกลับไปที่โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองด้วยความหงุดหงิด
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าเฉินหยวนเฉามีบางอย่างที่จะพูดจริง ๆ แต่เนื่องจากเขาไม่ได้พูดอะไร เขาจึงเพิกเฉยและหันหลังกลับเข้าไปในห้องทำงาน
หลังจากบอกหลินเจียอินเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “เมียจ๋า ผมจะพาชานชานไปที่เจียงเฉิงพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้เป็นวันชาติ คุณก็พักผ่อนที่บ้านได้สองสามวัน อย่าขับรถมาทำงานคนเดียวนะ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ฉันรู้! แล้วเราจะให้สวัสดิการแก่พนักงานในวันชาติด้วยไหม ? ”
ในช่วงทศวรรษ 1980 วันชาติไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดตามกฎหมาย
จนกระทั่งปี 1999 สภากิจการของรัฐได้ปฏิรูปและนำระบบวันหยุดตามกฎหมายใหม่มาใช้ โดยกำหนดให้วันชาติ เทศกาลตรุษจีนและวันแรงงานเป็นวันหยุดตามกฎหมายทุกปี นอกจากนี้ยังมีวันหยุดประจำวันชาติอีก 7 วัน
อย่างไรก็ตาม เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ แต่เราให้เงินในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปแล้ว ดังนั้นเราจะไม่แจกเงินในครั้งนี้ แจกผลิตภัณฑ์บางอย่างจากโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองแล้วกัน พวกเขาจะได้ช่วยโฆษณาไปในตัวด้วย”
หลินเจียอินพยักหน้าเห็นด้วย