ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 34 :ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจ
ตอนที่ 34 :ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจ
เมื่อทั้งสองคนหมดสิทธิ์ในการชิมฟรีพวกเขาก็ได้กัดฟันเมื่อเห็นคนรอบข้างยังกินอย่างเอร็ดอร่อย
ทำไมไม่ไปกินไกลๆกันหน่อย ต้องการยั่วยวนฉันงั้นหรือ
ทั้งสองแทบจะอดใจไม่ไหวอยากจะซื้อมัน แต่พวกเขาก็ไม่ชอบที่ราคาของมันแพงไปหน่อย
แต่ถ้าไม่ซื้อ…ก็ทนไม่ได้จริง ๆ
“เถ้าแก่ งั้นฉันเอา 1 ชาม”
ช่างเถอะ
คนแรกยอมกัดฟันที่จะซื้อ 1 ชาม แม้มันจะราคาแพงก็ตาม
อีกคนเห็นเช่นนั้น หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยอมซื้อ 1 ชามเหมือนเพื่อนไปในที่สุด
“เถ้าแก่ วันนี้คุณเปิดเร็วจัง เมื่อวานฉันมาซื้อไม่ทัน มันหมดก่อน นี่คือคูปองส่วนลด”
ในตอนนั้น ชายหนุ่มที่ได้คูปองส่วนลดไปเมื่อวาน ก็เดินเข้ามาที่หน้าร้าน เขาส่งคูปองให้เจียงเสี่ยวไป๋และพูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่คูปองส่วนลดนั้น ซึ่งมันก็มาจากร้านของเขา เขาจึงทำเครื่องหมายใช้สิทธิ์แล้วลงไป
จากนั้นก็ตักผัดมันฝรั่ง 1 ชามให้กับชายคนนั้นไป
“ไอ้หยา ชามใบนี้ทำจากกระดาษ สวยจัง จุได้มากกว่าชามเมื่อวานเสียอีก”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยความยินดี
”ใช่แล้วครับ เพื่อความสะดวกของลูกค้าที่ซื้อกลับบ้านเป็นหลัก” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
ชายหนุ่มตาเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “โอ้ ดีเลย ถ้าอย่างนั้นฉันซื้อเพิ่มอีก 2 ชาม เอากลับบ้านก็แล้วกัน ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พอดีกว่าชามมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม วันนี้เราจึงเพิ่มราคาเป็นชามละ 4 เหมา คุณแน่ใจใช่ไหมครับว่าจะซื้อ 2 ชาม”
ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อย แพงกว่าเมื่อวานตั้ง 1 เหมา เชียวหรือ
“ไม่เป็นไร แค่ 1 เหมาเอง ฉันเอาเพิ่มอีก 2 ชาม ” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิมด้วยท่าทีหนักแน่น
เจียงเสี่ยวไป่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นคูปองใบใหม่ให้กับชายหนุ่ม “งั้นเอาคูปองส่วนลดนี้ไปนะครับ หากคราวหน้าคุณลูกค้ามาซื้ออีกเราก็จะลดให้ สำหรับ 3 ชามในวันนี้เราคิดราคา 1 หยวนพอครับ ”
ชามหนึ่งราคา 4 เหมา แต่ถ้าซื้อ 3 ชาม ปกติต้องราคา 1 หยวน 2 เหมา
ทว่าตอนนี้เถ้าแก่เจ้าของร้านกลับเสนอให้จ่ายเพียง 1 หยวน ซึ่งลดลงไปตั้ง 2 เหมา อีกทั้งยังได้คูปองส่วนลดที่สามารถใช้ได้ในครั้งต่อไปอีกต่างหาก
คนรอบข้างได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกลังเล
ในตอนนั้น ชายหนุ่มก็ยืนมือไปหยิบคูปองจากเจียงเสี่ยวไป๋ และพูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ใจดี งั้นเอาแบบที่คุณบอกเลย ”
“เถ้าแก่ งั้นถ้าฉันซื้อ 3 ชามจะได้ในราคา 1 หยวนเหมือนที่พูดจริงไหม”
ลูกค้าคนแรกที่ซื้อผัดมันฝรั่งไปเพิ่งกินหมดพอดี แต่ก็ยังรู้สึกไม่อิ่ม อยากจะกินเพิ่ม เมื่อเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
”ได้สิ คุณซื้อไปแล้ว 1 ชามในราคา 4 เหมาแล้ว หากว่าจะซื้อเพิ่มอีก 2 ชาม ก็จ่ายมาอีก 6 เหมาพอครับ ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบลูกค้าด้วยรอยยิ้ม
”ดีเลย”
ชายคนนั้นรีบจ่ายเงินเพิ่มอีก 6 เหมาทันที
เมื่อร้านเปิด กิจการก็เริ่มที่จะเฟื่องฟู
มีทั้งลูกค้าที่นั่งกินในร้านน้ำชาและซื้อกลับบ้าน ลูกค้าที่เดินเข้ามาหน้าร้านของเจียงเสี่ยวไป๋ เรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด
และลูกค้าของวันนี้ หลายคนยังคงเป็นลูกค้าที่มาซื้อเมื่อวาน
แม้พวกเขาจะรู้ว่าผัดมันฝรั่งขึ้นราคาชามละ 1 เหมาแต่ก็ไม่มีใครสนใจ
เพราะถึงแม้จะขึ้นราคา แต่ว่าชามก็ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อวานมาก
และหลายคนก็ดูจะมีความสุขที่เห็นว่าชามที่ใส่สามารถนำกลับบ้านได้ และยังเป็นชามที่ใช้แล้วทิ้งได้
มันฝรั่งลูกเล็กที่เขานำมาในวันนี้มีน้ำหนักเกือบ 400 จิน เจียงเสี่ยวไป๋คิดไว้แล้วว่าน่าจะขายหมดก่อนสี่โมงเย็น
ด้วยความที่เมื่อวาน เขาเอามาขายน้อยกว่านี้ ของจึงหมดไว ซึ่งยังมีคนต่อแถวรออีกหลายสิบคนที่ไม่ได้กิน
ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงแจกคูปองส่วนลดให้กับลูกค้าที่มายืนต่อแถวแต่ไม่ได้ซื้อ
“เสี่ยวไป๋ ถ้านายให้คูปองส่วนลดกับลูกค้าจำนวนมากแบบนี้ มันจะคุ้มหรือ ? ” หวังผิงเกาหัวและถามออกมาด้วยความลำบากใจ
ทว่าตอนนั้นเฝิงเยี่ยนหงกลับพูดขึ้นมาว่า “พูดอย่างกับคุณนั้นบริหารร้านเก่งอย่างนั้นแหละ แม้ว่าเสี่ยวไป๋จะแจกคูปองส่วนลดให้ลูกค้าเป็นโหล แต่คนที่รับคูปองไปก็มาซื้อซ้ำตลอด อย่ามาอวดฉลาดไปหน่อยเลย ถ้าอยากช่วย ก็ช่วยโฆษณาให้คนมาเข้าร้านของเสี่ยวไป๋เยอะ ๆ ดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและอดไม่ได้ที่จะมองเฝิงเยี่ยนหงตั้งแต่หัวจรดเท้า
น้องสะใภ้ของเขานั้นไม่เลวเลย เธอมีความคิดที่เฉียบแหลมและมีไหวพริบที่ดีในการทำธุรกิจ
คนแบบนี้สามารถพัฒนาได้อีกในอนาคต
หลังจากที่เก็บอุปกรณ์และแผงขายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋และหวังผิงก็เริ่มนับเงินที่พวกเขาขายได้ในวันนี้
”วันนี้ขายผัดมันฝรั่งได้ 249 หยวนกับอีก 2 เหมา”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวหลังจากนับเงินเสร็จ
ลูกค้าที่มาซื้อในวันนี้ มี 50 คนที่ซื้อ 3 ชาม ส่วนที่เหลือก็ซื้อ 1 ชามบ้าง 2 ชามบ้าง ซึ่งวันนี้เขาขายผัดมันฝรั่งได้ทั้งหมดกว่า 600 ชาม
และในจำนวนนี้ ก็มีหลายสิบชามที่ซื้อในราคาส่วนลดจากคูปองเมื่อวาน
”ช่วยไม่ได้ ฉันเองก็อยากจะมีรายได้สองร้อยหยวนต่อวันเหมือนกัน”
แม้ว่าเฝิงเยี่ยนหงจะคาดหวังไว้ในใจ แต่เธอก็อดทึ่งไม่ได้เมื่อผลลัพธ์ปรากฏขึ้นจริง
“มานี่ มานี่ มาดูกันว่าวันนี้ร้านน้ำชาขายได้เท่าไหร่”
ร้านน้ำชาวันนี้ก็มีลูกค้าเหมือนกับเมื่อวาน ลูกค้าส่วนใหญ่จะสั่งชาหลังจากกินผัดมันฝรั่งหมด
”39 หยวน 6 เฟิน”
เมื่อหวังผิงนับเงินเสร็จแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดีใจ
”รวย รวย รวย”
เฝิงเยี่ยนหงเองก็ดูจะตื่นเต้นมาก รายได้วันนี้สูงกว่าเมื่อวานตั้งสิบหยวน อีกนิดเดียวก็จะได้ 40 หยวนแล้ว
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กำไรต่อเดือนจะเกิน 1,000 หยวน
นอกจากนี้ รายได้ของวันนี้กับเมื่อวานก็เยอะขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่ขายได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น หากหน้าร้านยังมีผัดมันฝรั่งมาขายแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ รายได้ของเขาก็อาจจะมากขึ้นเรื่อย ๆ
”เสี่ยวไป๋ จักรยานของนายไม่อาจขนมันฝรั่งครั้งละหลายร้อยจินในครั้งเดียวได้”
“นี่ก็เย็นแล้ว ฉันว่าเราแยกย้ายกันกลับไปทำกับข้าวกินกันก่อน ส่วนเรื่องขนมันฝรั่งเอามาขายในวันพรุ่งนี้ ฉันว่าจะขอให้พี่ชายของฉันไปขนมาให้ตอนกลางคืนนี้เลย”
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวด้วยความตื่นเต้น
เฝิงเจียเหอ พี่ชายของเธอทำงานที่สถานีรถแทรกเตอร์และยังเป็นรองหัวหน้าของสถานีอีกด้วย เธอเชื่อว่าตราบใดที่เธอบอกเฝิงเจียเหอ การขนมันเข้าเมืองในแต่ละครั้งก็คงไม่มีปัญหา
ที่จริงเจียงเสี่ยวไป๋ก็กำลังคิดหาวิธีขนมันฝรั่งเข้ามาในเมืองอยู่พอดี และเมื่อได้ยินแบบนี้ เขาก็อดที่จะดีใจไม่ได้
“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปกับหวังผิงด้วย ประมาณสองทุ่มก็น่าจะถึง ฉันจะให้หวังผิงนำทาง ส่วนพี่ของฉันก็ให้ขับรถตามหลังไป”
ทั้งสองตกลงกัน จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ขี่จักรยานออกไป
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะออกจากเมืองทันที เขากลับแวะไปที่เขียงขายหมูก่อน
ธุรกิจก็สำคัญ แต่การดูแลภรรยาและลูกสาวนั้นสำคัญยิ่งกว่า
มีเนื้อสัตว์ให้กินทุกวัน จะเบื่อได้อย่างไร ?
วันนี้ ด้วยความที่ขายผัดมันฝรั่งได้เงินเยอะ เขาจึงอยากซื้อของกลับบ้านเต็มที่ เขาซื้อกระดูกชิ้นใหญ่ ตีนหมู 2 ตีน ซี่โครง 1 ชิ้น และหัวหมูครึ่งหัว
และทั้งหมดนี้ก็ราคา 21 หยวน 5 เหมาด้วยกัน
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้ากลับไปที่หมู่บ้าน เพื่อที่จะมาตุ๋นซี่โครงให้ภรรยาและลูกสาวกิน
ตอนที่แวะตลาด ด้วยความที่เขาตั้งใจจะทำน้ำซุปไว้ใช้ เขาจึงได้ไปซื้อของที่ตลาดขายผักด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อสาหร่ายทะเล เต้าเจี้ยวอัดแท่ง เห็ดเข็มทอง และผักอื่น ๆ
“ว้าว ปะป๊ะซื้อหมูมาเยอะอีกแล้วหรือคะ”
ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ชานชานก็อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
”ชานชาน วันนี้หนูไม่ไปเล่นกับพี่ถิงถิงหรือคะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ลูบหัวของลูกสาวเบา ๆ แล้วถามขึ้นมา
“หนูรอให้ปะป๊ากลับมาก่อนค่ะ”
แม่หนูน้อยเอียงศีรษะตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
สองวันมานี้ ทุกครั้งที่ปะป๊ากลับมา ปะป๊าจะเอาของอร่อย ๆ มาให้เสมอ เด็กหญิงจึงเคยชินกับการที่ต้องมารอปะป๊าของเธอกลับมาตอนเย็นทุกวัน
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก
ลูกสาวนั้นไม่ต่างจากแจ็กเก็ตตัวเล็ก ๆ ที่ให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นพ่อ และคำพูดที่เธอพูดออกมานั้นก็ไพเราะจับใจ
”กลับมาแล้วหรือ ! ”
เมื่อได้ยินเสียงสนทนาข้างนอกบ้าน หลินเจียอินก็เดินออกมาจากข้างในบ้าน
“เมียจ๋า ผัวกลับมาแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาของเขาเริ่มที่จะทักทายและถามไถ่เขาก่อน จึงทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจเป็นอย่างมาก และตอบกลับเสียงดังทันที
เอ่อ……
หลินเจียอินได้แต่เอามือกุมหน้าผากของเธอ
ผู้ชายคนนี้ ไม่เคยทักทายกันดี ๆ ได้เลยจริง ๆ
ทำไมถึงเรียกเมียจ๋าดังขนาดนี้
น่ารังเกียจเกินไปไหม ?
ไม่กลัวเพื่อนบ้านจะได้ยินหรืออย่างไร ?
เมื่อมองออกไป เธอก็เห็นของพะรุงพะรังห้อยที่ราวของจักรยาน
กระดูกชิ้นโต ตีนหมู ซี่โครง หัวหมู และผักเต็มตะกร้า
พระเจ้า
ของทั้งหมดนี้มันราคาเท่าไหร่กัน ?
หลินเจียอินรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที
ฮึ่ม เรื่องนี้เธอต้องจัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเขาจะสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว