ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 3: วิ่งต่อไปเจ้าหนุ่ม
ตอนที่ 3: วิ่งต่อไปเจ้าหนุ่ม
เสียงกรี๊ดของหญิงสาวสร้างความตื่นตกใจให้กับชาวบ้านในละแวกจนพวกเขาทยอยออกมาดูด้วยความตกใจ
ในยุคสมัยนี้มีคนอยากเป็นคนดีมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เรื่องเล็กล้วนอยากเสนอตัวเป็นคนดีเข้ามาช่วยทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการปล้นเลย พวกเขาไม่มีทางพลาดแน่นอน
เพียงไม่นาน ชาวบ้านที่เข้ามารุมล้อมก็มีมากกว่าสิบคนแล้ว
ชาวบ้านที่มามุงดูล้วนเป็นคนในอำเภอเดียวกัน หนึ่งในพวกเขามีคนจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อจางชุ่ยฮวา เมื่อรู้ว่ารถจักรยานของเธอถูกปล้นไป พวกเขาก็โน้มน้าวให้เธอแจ้งความ
แจ้งความ ?
เมื่อจางชุ่ยฮวาได้สติ เธอก็ดูลังเลเล็กน้อย
ตอนที่รถจักรยานเพิ่งจะถูกปล้นไป ตอนนั้นเธอตกใจและกลัวมาก แต่ในเวลานี้มีคนมามุงดูเยอะเข้า เธอจึงไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้น และเธอเพิ่งนึกได้ว่าตอนผู้ชายคนนั้นเอารถจักรยานไป เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนมาก จะขอยืมรถจักรยานและจะนำมาคืนในตอนเย็น ๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงเข้มงวดในการปราบปรามอาชญากรรม ถ้าแจ้งความจะต้องตามจับได้แน่นอน แต่ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนแค่อยากยืมจริง ๆ หากเธอแจ้งตำรวจจับเขา แบบนัันจะไม่เป็นการทำร้ายเขาไปทั้งชีวิตหรือ ?
อีกอย่าง เธอจำได้ว่าตอนนั้นผู้ชายคนนั้นเหงื่อท่วมตัวไปหมด ดูเหมือนคนที่กำลังเป็นกังวล กำลังร้อนใจจริง ๆ
ดูเหมือนเขากำลังมีเรื่องด่วนจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าจางชุ่ยฮวามีสีหน้าดูไม่ดี ทุกคนยังคิดว่าเธอกำลังเสียใจเพราะสูญเสียรถจักรยานที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไป มีคนพูดปลอบใจเธอว่า “ชุ่ยฮวา เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว หลังจากแจ้งความแล้ว จะต้องได้รถจักรยานคืนมาแน่นอน”
ในตอนนี้เอง หนึ่งในสองคนที่เดินผ่านมาเห็นการปล้นรถก็ออกมาพูดว่า “ชุ่ยฮวา คนที่มาปล้นจักรยานของเธอไปคือเจียงเสี่ยวไป๋ที่อยู่เจียงหวาน เขาเป็นอันธพาล”
คนที่พูดมีชื่อว่าเฝิงเป่ากั๋ว เป็นครูสอนพละในโรงเรียนประถมชิงซาน ก่อนหน้าที่เจียงเสี่ยวไป๋จะถูกทางโรงเรียนไล่ออก พวกเขาเคยเป็นเพื่อร่วมงานกันมาก่อน จึงถือว่าพอรู้จักกันอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างโน้มน้าวให้จางชุ่ยฮวาแจ้งความ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่เมื่อเขาเห็นว่าจางชุ่ยฮวามีท่าทีเหมือนไม่อยากไป เขาจึงต้องออกมาพูด
ใครใช้ให้เจียงเสี่ยวไป๋มายืมเงินเขาไป 8 หยวนแล้วยึกยักไม่ยอมคืนกันล่ะ
และที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ ในตอนที่เขาไปทวงเงิน เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เพียงแต่ไม่ยอมคืนเท่านั้น แถมเขายังต้องมาถูกเจ้าหมอนั่นทำร้ายร่างกายอีกด้วย
เขาเป็นถึงครูสอนพละ พวกศิลปะป้องกันตัวอะไรเทือกนั้นก็เคยฝึกมาอยู่บ้าง แต่กลับแพ้ให้กับนักเลงคนหนึ่ง
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
คราวนี้โอกาสแก้แค้นมาถึงแล้ว เขาจะพลาดมันได้อย่างไร
เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย พอได้ยินว่าคนที่มาปล้นรถจักรยานไปเป็นอันธพาล จางชุ่ยฮวาก็ลังเลอีกครั้ง หลังจากฝูงชนเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเธอก็เดินไปที่สถานีตำรวจอย่างหดหู่
……
เจียงเสี่ยวไป๋ “ยืม” รถจักรยานได้แล้ว เขาก็รีบปั่นจักรยานไปยังเมืองชิงโจวอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องบทลงโทษที่ไปบังคับเอาจักรยานของคนอื่นมาแบบนี้ เขาไม่ได้สนใจเลย
ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าการไล่ตามหลินเจียอินให้ทัน เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เธอขายเลือดแล้ว
“เจียอิน คุณอย่าเป็นอะไรเลยนะ ! ”
“ขอสวรรค์คุ้มครอง หวังว่าผมจะไปทันนะ ขอให้ผมตามคุณทัน”
ตอนนี้มีรถจักรยานแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงมีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะไล่ตามหลินเจียอินทัน เขาออกแรงปั่นจักรยานสุดแรง ในใจได้แต่ภาวนาไปด้วย
ถนนเข้าเมืองค่อนข้างเรียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นทางลูกรัง
ล้อจักรยานบดไปตามทางลูกรังที่เต็มไปด้วยหินแหลม ทำให้รถจักรยานส่ายไปส่ายมาจนเขาเจ็บระบมบั้นท้ายไปหมดแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจความเจ็บปวดเลย เขายังคงรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับสูงสุดเหมือนเดิม
เขากินฝุ่นลูกรังไปตลอดทาง เมืองชิงโจวอยู่ไม่ไกลออกไปแล้ว ระหว่างทางเขาเห็นคนเดินเข้าเมืองอยู่หลายคน แต่กลับไม่เห็นหลินเจียอินเลย
“หรือว่า……จะไม่ทันแล้วจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋ประหม่าถึงขีดสุด แม้ว่าขาของเขาจะเจ็บและอ่อนแรง แต่เขาก็ยังออกแรงปั่นหนักขึ้น
“ปุง~”
จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นเบา ๆ รถจักรยานที่ถูกปั่นมาด้วยความเร็วสูงเฉไปเฉมาเป็นงูเลื้อย เจียงเสี่ยวไป๋ล้มคว่ำไปกับพื้นทั้งคนทั้งรถ
เจียงเสี่ยวไป๋รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจรอยถลอกที่แขนขาของตนเอง
เขาดึงรถขึ้นมาตรวจดู ปรากฎว่ายางหน้าแตก
ตอนนี้รถจักรยานใช้ไม่ได้ชั่วคราวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้เขาเข็นรถจักรยานเดินไปเลย
แบบนั้นมันถ่วงเวลาเขาเกินไป
“what the****……”
ทั้งที่เขาใกล้จะถึงเมืองชิงโจวอยู่แล้ว แต่ก็ยังตามหลินเจียอินไม่ทัน เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋กำลังรุ่มร้อนในใจอยู่แล้ว ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ในเวลาเร่งรีบอีก เขาหัวร้อนจนสบถออกมา
เขามองไปรอบตัว เดิมทีอยากจะหาที่ฝากรถจักรยานไว้ก่อน แต่แถวนี้ไม่มีบ้านใครอยู่เลย
เจียงเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว สุดท้ายเขาก็เข็นรถจักรยานไปซ่อนไว้ในพงหญ้าข้างทาง
ตอนนี้ไม่มีรถจักรยานแล้ว แต่เขายังมีสองขาของตนเอง
ไม่มีอุปสรรคใดมาหยุดยั้งไม่ให้เขาไล่ตามหลินเจียอินได้ และไม่มีสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วนไปกว่าการตามหลินเจียอินให้ทัน
รถจักรยานหายก็ช่างมัน อย่างมากก็แค่ชดใช้คืน
เจียงเสี่ยวไป๋ออกแรงวิ่งอีกครั้ง
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเหนื่อยมากแล้ว แม้เขาจะหอบอย่างหนักและขาของเขาทั้งเจ็บทั้งอ่อนแรง แต่เขาไม่กล้าหยุด เขายังคงกัดฟันวิ่งต่อไป
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่า ๆ
ในที่สุด เขาก็เห็นธนาคารเลือดอยู่ไกล ๆ แล้ว
ห่างจากประตูธนาคารเลือดไม่ถึงสองร้อยเมตร เจียงเสี่ยวไป๋เห็นร่างผอมสูงที่คุ้นเคย
ร่างนั้นถักเปียใหญ่สีดำขลับ มือข้างหนึ่งเท้าเอวไว้ ราวกับเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล ร่างนั้นกำลังเดินช้า ๆ ไปที่ประตูธนาคารเลือด
แม้จะไม่เจอกันนานนับ 20 ปี แม้จะเป็นเพียงด้านหลัง แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังจำได้อย่างรวดเร็วว่านั่นคือหลินเจียอิน
ในที่สุดเขาก็ตามเธอทัน
ในที่สุด เขาก็สามารถป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นอีก
“หลินเจียอิน……”
เจียงเสี่ยวไป๋ทั้งยิ้ม ทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกนเรียกภรรยารักเสียงดัง ขาที่เจ็บระบมและปวกเปียกอยู่แล้วดูเหมือนจะได้รับการฉีดพลังเข้าไป เขากางแขนออกแล้วก้าวยาวไปหาคนตรงหน้า
“หลินเจียอิน……”
เสียงตะโกนดังขึ้น ทำให้หลินเจียอินที่เหนื่อยล้าจนแทบจะเดินต่อไม่ไหวถึงกับชะงักไป
เสียงนี้……คุ้นมาก
เพียงแต่ว่า เมื่อวานเขาเมาจนเช้าก็ยังไม่ตื่นไม่ใช่หรือ ?
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาที่นี่ล่ะ ?
หลินเจียอินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ตอนแรกเธอนึกว่าตนเองได้ยินผิดไป
และในตอนที่เธอหันกลับมา ทันใดเธอก็เห็นร่างสูงที่คุ้นเคยกำลังตรงมาทางเธอ
เป็นเขาจริง ๆ
เขาวิ่งมาพร้อมกับกางแขนออก ราวกับจะกอดเธอ
เป็นไปได้ไหม ?
ตั้งแต่เขาติดการพนัน เขาไม่เคยทำตัวดีเลย เคยมีครั้งหนึ่งที่เขาทำร้ายร่างกายเธอตอนเขาเมาด้วย
เธอหมดหวังกับผู้ชายคนนี้มานานแล้ว และเธอไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนอีก
แต่ทันใดนั้นเอง……
หลินเจียอินสัมผัสได้ถึงแขนที่ทรงพลังคู่หนึ่งโอบเข้ามาที่บ่าของเธอ ร่างสูงโปร่งที่เปื้อนเหงื่อนั้นร้อนระอุเหมือนหินหนืด หัวใจของเขาที่แนบชิดกับร่างกายของเธอนั้นเต้นแรงส่งเสียงดัง ‘ตึก ตึก…’ ออกมา ลมหายใจหอบที่เหมือนคลื่นความร้อนพ่นผ่านหูของเธอไป
“ที่รัก……”
เสียงเรียกที่สนิทสนม ทว่าแฝงไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้น
ในเวลาเดียวกัน แขนของเขาก็กอดเธอแน่นยิ่งขึ้น แขนที่ทรงพลังนี้เหมือนห่วงทองคำสองห่วงที่บีบแน่นเข้ามาจนแทบจะทำให้กระดูกของเธอหัก
มันเจ็บ !
เกิดอะไรขึ้น ?
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแบบนี้ของเจียงเสี่ยวไป๋ทำให้หลินเจียอินไปไม่เป็น เธออึ้งไปชั่วขณะ ในหัวเต็มไปด้วยความมึนงง
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่หลินเจียอินจะมีสติอีกครั้ง
“เจียงเสี่ยวไป๋ คุณทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉัน ! ”
หลินเจียอินใกล้จะร้องไห้เต็มทนแล้ว เธอไม่เพียงแต่ถูกกอดแน่นจนเจ็บไปทั้งตัวเท่านั้น แต่เธอยังเห็นอีกด้วยว่ามีผู้คนที่ผ่านทางไปมาต่างกำลังจับจ้องมาที่เธอราวกับกำลังจะบอกว่า……
‘กลางวันแสก ๆ ขนาดนี้ยังมากอดกันกลมอยู่กลางถนนได้ ไม่อายฟ้าอายดินเลย’