ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 299 :หลินเจียอินฟ้อง
ตอนที่ 299 :หลินเจียอินฟ้อง
ได้ยินว่าหลินเจียอินจะส่งเจียงชานเข้าโรงเรียนอนุบาล เจียงไห่หยางจึงพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวชานชานก็อายุ 5 ขวบแล้ว ถึงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว”
หลินเจียอินพูดขึ้นว่า “แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ยอม”
เจียงเสี่ยวไป๋มองหลินเจียอินอย่างอึ้ง ๆ ไม่คิดเลยว่าภรรยาของเขาจะฟ้องพ่อกับแม่จริง
เจียงไห่หยางหันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มันเรื่องอะไรกัน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการโต้เถียงกับพ่อของเขาในเรื่องนี้ เขาจึงพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปปรึกษากับเจียอินเอง พ่อไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
เจียงไห่หยางได้ยินแบบนั้นก็โกรธ พาลให้เขาพูดเสียงดังว่า “มันก็แค่เข้าโรงเรียนอนุบาลไม่ใช่หรือ ? ทำไมต้องไปปรึกษาหารือกันด้วย แกก็แค่บอกไปว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ? ”
หวังซิ่วจวี๋ที่อยู่ข้างกันก็พูดว่า “เรื่องนี้แม่เห็นด้วยกับเจียอิน ชานชานก็อายุ 5 ขวบแล้ว ควรเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ปวดหัวแล้ว พ่อกับแม่และภรรยาของเขาแทคทีมกันแบบนี้ แล้วเขาคนเดียวจะรับไหวได้อย่างไร ?
แต่เดิมเจียงชานกินข้าวเย็นอย่างไม่มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งพอได้ยินปู่ ย่าและหม่าม๊าบอกว่าจะส่งเธอเข้าโรงเรียนอนุบาล เธอก็ไม่พอใจ เด็กน้อยพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หนูไม่อยากไปโรงเรียน”
หวังซิ่วจวี๋พูดว่า “ชานชาน หลานดูพวกอา ๆ เขาสิ พวกเขาต่างก็ไปโรงเรียนกันทั้งนั้น”
เจียงชานแย้งกลับว่า “พวกเขาอายุมากขนาดนั้นแล้ว เป็นวัยที่ต้องเข้าโรงเรียน แต่หนูยังเด็กมาก ถ้าหากพวกอา ๆ เขาเด็กเท่าหนู เขาก็ไม่ไปโรงเรียนหรอก”
เธอพูดมาแบบนี้ หวังซิ่วจวี๋และเจียงไห่หยางต่างก็ตกตะลึง
เมื่อก่อนครอบครัวของพวกเขายากจน พี่น้องทั้งหมดของเจียงเสี่ยวไป๋เริ่มเข้าโรงเรียนก็เมื่ออายุ 6-7 ขวบ นอกจากนี้พวกเขายังเข้าเรียนโรงเรียนประถมเลย ไม่มีใครเคยเรียนโรงเรียนอนุบาลมาก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋มองลูกสาวด้วยรอยยิ้ม ความคิดของเด็กน้อยค่อนข้างดีเลยทีเดียว
หวังซิ่วจวี๋กลับพูดขึ้นว่า “นั่นมันไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นบ้านเรายากจน แต่ตอนนี้เราพอมีเงินแล้ว ควรเข้าโรงเรียนให้เร็วหน่อยถึงจะดี”
“ไม่เห็นดีเลยค่ะ ! ” เด็กน้อยพูดด้วยความโมโห “ถ้าคุณย่าคิดว่ามันดี งั้นคุณย่าก็ไปโรงเรียนเอง หนูจะอยู่กับป่าป๊า ! ”
คำพูดของหนูน้อยทำให้หวังซิ่วจวี๋หลุดขำออกมา “คำพูดของหลานนี่นะ ย่าอายุ 60 กว่าปีแล้ว จะไปโรงเรียนได้อย่างไร”
“คุณย่าคะ ของที่เราไม่ต้องการ เราอย่ายัดเยียดให้คนอื่นนะคะ ! ”
“ขนาดคุณย่ายังไม่อยากไปโรงเรียนเลย แล้วทำไมถึงต้องมาบังคับให้หนูไปโรงเรียนด้วย ? ” หนูน้อยพูดด้วยสีหน้าไม่มีความสุข
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋มองหลานสาวด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าหลานสาวที่อายุน้อยเพียงแค่นี้จะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้
เจียงไห่หยางเห็นแบบนั้นก็พูดด้วยความดีใจว่า “ชานชานฉลาดขนาดนี้ หากเรียนหนังสือจะต้องสอบได้ที่ 1 ทุกครั้งแน่นอน และตระกูลเจียงของเราก็จะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยอีก 1 คนเป็นแน่ ! ”
คำพูดของชายชรานั้นเต็มไปด้วยความสุข
หลินเจียอินเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เธอค้นพบว่าหลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เลี้ยงลูก ลูกสาวของเธอมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างจริง ๆ และคำพูดที่พูดออกมาบางครั้งก็แทบจะเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยเลยก็ว่าได้
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “ถ้าให้ชานชานเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล งั้นก็ส่งถิงถิงไปเรียนด้วย จะได้มีเพื่อน”
เจียงไห่หยางคิดดูแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม ถิงถิงเด็กกว่าชานชานแค่ไม่เท่าไร สามารถไปเรียนด้วยกันได้”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ “โรงเรียนอนุบาลมีอยู่ที่ในเมืองเท่านั้น ฉะนั้นเรื่องไปรับไปส่งที่โรงเรียนก็ยกให้เป็นหน้าที่ของแกแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้มันเกี่ยวโยงไปถึงเจียงถิงแล้ว เขาจึงพูดว่า “เรื่องนี้ไว้ปรึกษากับพวกเสี่ยวเฟิงก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนเร็วขนาดนั้น ต่อให้เป็นโรงเรียนอนุบาลก็ช่าง
เพราะการไปโรงเรียนอนุบาลกับการเข้าเรียนไม่ได้แตกต่างกันเลย
หลินเจียอินกลับพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเสี่ยวเฟิง”
เจียงชานได้ยินว่าคุณปู่คุณย่าจะส่งเจียงถิงไปโรงเรียนอนุบาลเหมือนกัน เธอจึงไปกระซิบที่ข้างหูเจียงถิง “ถิงถิง คุณปู่กับคุณย่าไม่ต้องการเธอแล้ว พวกเขาจะส่งเธอไปเรียนหนังสือในโรงเรียน”
เจียงถิงได้ยินแบบนั้นก็ร้องไห้โฮขึ้นมาทันที
“ฮือ ๆ หนูไม่อยากไปโรงเรียน หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่ หนูไม่อยากเรียนหนังสือ หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่……”
หวังซิ่วจวี๋เห็นแบบนั้นจึงรีบปลอบใจหลานสาวตัวน้อย “ถิงถิงเด็กดี ไม่ร้องไห้นะ”
เจียงถิงกลับไม่ยอมฟังคำของผู้เป็นย่า เธอตะโกนว่า “พ่อกับแม่ไม่สนใจหนูแล้ว คุณปู่คุณย่าก็ไม่ต้องการหนูเหมือนกัน ฮือ ๆ……”
หวังซิ่วจวี๋รีบวิ่งไปอุ้มหลานสาวตัวน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “พ่อกับแม่ของหลานไปทำงานหาเงินอยู่ข้างนอก ไม่ใช่ไม่สนใจหลาน ส่วนปู่กับย่าก็ใช่ว่าจะไม่ต้องการหลานเสียหน่อย”
เจียงถิงทิ้งตะเกียบแหละชามในมือ เธอไม่ยอมให้คุณย่าอุ้ม แต่กลับร้องห่มร้องไห้พรั่งพรูความน้อยใจของตนเองออกมา “หนูได้ยินหมดแล้ว พวกคุณย่าจะส่งหนูไปโรงเรียน หนูไม่อยากไปโรงเรียน หนูจะไปหาพ่อ หนูต้องการแม่ ! ”
พูดจบ เด็กน้อยก็วิ่งร้องไห้ออกไปด้านนอกทันที
หวังซิ่วจวี๋รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
หลินเจียอินเห็นการกระทำเล็ก ๆ ของเจียงชาน เธอก็หันไปมองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความโมโห “ดูสิว่าคุณสอนอะไรลูก ? เป็นเพราะคุณเอาแต่ตามใจลูกไง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่คิดเลยว่าลูกสาวของเขาจะสามารถโน้มน้าวให้เจียงถิงร้องไห้โฮสร้างความวุ่นวายได้ เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่ได้ตำหนิลูกสาว
แม้ว่าวิธีการที่ลูกสาวใช้นั้นจะไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นวิธีที่ดี
เพราะเจียงถิงกำลังร้องไห้ ทุกคนจึงหยุดพูดเรื่องส่งเด็กน้อยทั้งสองคนไปโรงเรียนอนุบาล ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋สบายใจได้ชั่วคราว
หลังจากเล่านิทานกล่อมเจียงชานและเจียงถิงนอนหลับไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับมาที่ห้องนอนแล้วพูดกับหลินเจียอินว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปที่เจี้ยนหยาง คุณเองก็อย่าเข้าเมืองเลย อยู่บ้านพักผ่อนสักวันเถอะ”
หลินเจียอินพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปเจี้ยนหยางด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “ไม่ได้ คุณกำลังตั้งท้องอยู่ อีกทั้งถนนที่ไปก็ค่อนข้างขรุขระ เกิดกระทบกระเทือนกับลูกในท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร ? ”
หลินเจียอินพูดว่า “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
ทั้งสองโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน และในที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตกลงที่จะพาเธอไปด้วย
ตกดึก หลินเจียอินหลับไปแล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับนอนไม่หลับ
เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่เกิดใหม่ เขาแทบไม่เคยขัดใจหลินเจียอินเลย เขาตามใจและเอาใจเธอมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ความคิดของทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล
นอกจากนี้ พวกเขายังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องที่เขาจะไปเจี้ยนหยาง
เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา เมื่อคนเราอยู่กันเป็นครอบครัวแล้ว พวกเขาสามารถอุทิศให้เพื่อกันและกัน พวกเขาไม่ถกเถียงกันเพราะผลประโยชน์ได้ ไม่ทะเลาะวิวาทกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
บางทีชีวิตก็เป็นเช่นนี้ !
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจสักพักแล้วผล็อยหลับไป
……
เช้าวันต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋เอาตั๋วซื้อโทรทัศน์ติดตัวไปด้วยบางส่วน แล้วพาหลินเจียอิน เจียงชานกับเจียงถิงเข้าเมือง
เมื่อวานเจียงถิงร้องไห้ทั้งคืน เธอเอาแต่ร้องห่มร้องไห้แล้วบอกว่าต้องการพ่อกับแม่
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแล้วว่าถึงอย่างไรตนเองก็จะไปที่เจี้ยนหยางอยู่แล้ว งั้นก็ไม่สู้พาเจียงถิงไปด้วย ให้ครอบครัวของน้องชายได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักหน่อย
เขาเอาตั๋วซื้อโทรทัศน์ไปให้เจี่ยงชุ่ยหยู 1 ใบ แล้วถึงกลับมาที่ห้องทำงานของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
เมื่อเขามาถึง เขาก็เห็นว่าด้านนอกห้องทำงานมีคนกลุ่มใหญ่ยืนรออยู่แล้ว
คนกลุ่มนี้ต่างแบกถุงใบเล็กใบใหญ่ เหมือนกับแรงงานข้ามชาติในยุคหลัง
นอกจากนี้ยังมีชายร่างสูงคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูจากใบหน้าที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับโหยวโหย่วหยู เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้คือโหยวเจิ้ง น้องชายของโหยวโหย่วหยู
นอกจากนี้ เขายังเห็นคนคุ้นเคยอีกคนด้วย
เขาก็คือพี่ใหญ่ของเฝิงเยี่ยนหง เฝิงเจียเหอ
“สวัสดีผู้ช่วยเจียง ! ”
“สวัสดีผู้ช่วยเจียง ! ”
“……”
จู้ตงเฟิงและคนอื่นเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ลงมาจากรถจี๊ปจึงรีบกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าให้พวกเขาแล้วเดินตรงไปหาเฝิงเจียเหอ
“พี่เจียเหอ พี่มาได้อย่างไร ? ”
เฝิงเจียเหอกับเจียงเสี่ยวไป๋คุ้นเคยกันแล้ว ฉะนั้นเขาจะไม่อ้อมค้อมและถามออกไปตามตรงว่า “ได้ยินเยี่ยนหงบอกว่าคุณรับสมัครพนักงานขับรถบรรทุก ฉันเลยตั้งใจมาถามว่าฉันพอจะทำได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “พี่เจียเหอ พี่ทำงานอยู่ที่สถานีรถแทรคเตอร์มีตำแหน่งที่ดีไม่ใช่หรือ ทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี่ล่ะ ? ”