ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 287 :สิ่งสุดท้ายที่จะมอบให้แก่ลูกชาย
ตอนที่ 287 :สิ่งสุดท้ายที่จะมอบให้แก่ลูกชาย
เสียงร้องไห้ของครอบครัวเจี่ยงดังระงมได้ยินไปถึงครอบครัวเฉินที่ปลูกบ้านใกล้เคียงกัน
“ชุ่ยซาน เกิดอะไรขึ้น ? ”
เฉินซื่อสงเอ่ยถามทันทีที่เดินเข้ามาดู
ก่อนที่เจี่ยงชุ่ยซานจะทันตอบ เขาก็เหลือบไปเห็นเฉินชวนพอดี
“เกิดอะไรขึ้น ? ”
เฉินซื่อสงไม่ถามเจี่ยงชุ่ยซานแล้ว เขาหันกลับมาถามลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแทน
จงหงเหมยที่ตามหลังเขาเข้ามาก็ถามด้วยความสงสัยเช่นกัน “เสี่ยวชวน กลับมาแล้วทำไมถึงไม่เข้าบ้านล่ะ ? แล้วเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของลุงเจี่ยง ? ”
“พ่อ ! แม่ ! ”
เฉินชวนเรียกพวกเขา แล้วเล่าเรื่องที่เจี่ยงจงฉือถูกน้ำพัดไปเพราะช่วยชีวิตคน
ตระกูลเจี่ยงและตระกูลเฉินเป็นทั้งเพื่อนบ้านและสนิทกันเหมือนคนในครอบครัว พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก เจี่ยงจงฉือเป็นคนที่สองสามีภรรยาเฉินซื่อสงและจงหงเหมยเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งสองต่างไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาทั้งตกใจทั้งเศร้าใจ แต่ละคนต่างรีบแยกกันไปปลอบใจเจี่ยงชุ่ยซานและวังผิง
ไม่นาน เฉาหยุนฟาง ภรรยาของเฉินชวน เฉินซานน้องชายและน้องสะใภ้เผิงเหล่ยก็ตามมา
หลังจากที่ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วต่างก็โศกเศร้าใจ และพยายามเกลี้ยกล่อมและปลอบโยนครอบครัวเจี่ยง
แต่คนเราก็เป็นแบบนี้ บ่อยครั้งยิ่งคุณพยายามโน้มน้าวและปลอบโยนคนอื่นมากเท่าไร คุณก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น
ทั้งคนปลอบทั้งคนถูกปลอบล้วนไม่ต่างกัน
ไม่นาน ภายในบ้านที่ทรุดโทรมของครอบครัวเจี่ยงก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่โศกเศร้า พร้อมกับกลิ่นไหม้ที่ลอยตามลมเข้ามา
“อะไรไหม้น่ะ ? ”
เฉาหยุนฟางสูดจมูกพลางเอ่ยถาม
เฉินชวนถึงนึกได้ว่าก่อนหน้านี้วังผิงกำลังทำอาหารอยู่ เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “หยุนฟาง รีบไปดูในครัวเร็ว ก่อนหน้านี้วังผิงทำอาหารในครัวไว้ ! ”
“อื้ม ! ”
เฉาหยุนฟางรีบวิ่งไปในครัว เธอเห็นทัพพีหล่นอยู่ที่พื้น ผักในหม้อกลายเป็นสีดำไหม้และมีควันดำลอยขึ้นมา
เฉาหยุนฟางหยิบทัพพีขึ้นมาจากพื้น จากนั้นเธอก็รีบไปที่หน้าเตาเพื่อดึงฟืนออกมาดับไฟ แล้วตักน้ำใส่หม้อที่ไหม้
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ยิ่งไม่ยอมกินข้าวกินปลา มันจะยิ่งดึงร่างกายให้แย่ลงไปใหญ่ ! ” เฉาหยุนฟางถอนหายใจ เธอมองดูในครัวแต่ก็เห็นว่าไม่มีอาหาร จึงเดินออกจากประตูหลังกลับบ้านครอบครัวเฉิน
แม้ว่าฐานะของครอบครัวเฉินจะไม่ได้ดีมากอะไร แต่ก็ดีกว่าครอบครัวเจี่ยงเล็กน้อย ที่บ้านยังมีสามชั้นแห้งอยู่ครึ่งชิ้น เธอจึงตั้งใจว่าจะนำมาผัด
ภายในห้องโถงของบ้านครอบครัวเจี่ยง หลังจากที่ทุกคนช่วยกันโน้มน้าวและปลอบใจ เจี่ยงชุ่ยซานและวังผิงจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“แม่อันอัน แม้ว่าจะยังไม่เจอร่างของจงฉือ แต่เราต้องจัดงานศพให้เขา” เจี่ยงชุ่ยซานกล่าวอย่างเศร้าใจ
วังผิงสะอึกสะอื้นขณะพูด “พ่อ พ่อตัดสินใจได้เลย ฉันเป็นผู้หญิง ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
เจี่ยงชุ่ยซานมองไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถง ที่ห้องนั้นมีโลงศพที่เขาเตรียมไว้ให้สำหรับตัวเอง เขาพูดทั้งที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม “ใช้โลงศพของพ่อก่อนแล้วกัน ! ”
วังผิงตกใจมาก เธอพูดขึ้นว่า “พ่อ แต่นั่นมันของพ่อนะ ! ”
เจี่ยงชุ่ยซานยิ้มเศร้า ๆ “ให้จงฉือใช้เถอะ แม้ว่าเราจะหาร่างของเขาไม่พบ แต่เราต้องฝังศพเขา เธอไปหาเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเขามาใส่ไว้ในโลงศพเถอะ……”
เจียงไห่โป เฉินซื่อสง และคนอื่นได้ยินต่างก็รู้ว่าเจี่ยงชุ่ยซานตั้งใจจะฝังเสื้อผ้าของเจี่ยงจงฉือแทนศพของเขา ทำให้ทุกคนหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเวทนา
เจียงไห่โปจึงพูดว่า “พี่ พี่เก็บโลงศพนี้ไว้ดีกว่า ผมเตรียมเงินมาแล้ว เดี๋ยวผมซื้อให้จงฉือแทน ! ”
เจี่ยงชุ่ยซานโบกมือปฏิเสธ “จงฉือสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ฉันเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ เขาอยู่กับฉันมาตลอดชีวิต แต่ฉันไม่เคยให้อะไรดี ๆ กับเขาเลย”
“โลงศพนี้ทำมาจากไม้ชิงกังที่ฉันตัดมาเองกับมือ แล้วขอให้ช่างไม้ถานช่วยประกอบให้ มันค่อนข้างหนา ! ฉะนั้นฉันจะมอบมันให้กับเขา ! ”
นี่คือสิ่งสุดท้ายที่พ่อคนหนึ่งจะมอบมันให้แก่ลูกชาย เจียงไห่โป เฉินซื่อสง และคนอื่นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
เจี่ยงชุ่ยซานหันไปพูดกับวังผิงอีกครั้ง “เธอพาอันอันไปในหมู่บ้าน ไปบอกข่าวให้ชาวบ้านรู้ แล้วขอให้เขามาช่วยงาน เราจะร่วมส่งจงฉือเป็นครั้งสุดท้ายกัน”
“ค่ะพ่อ ! ”
วังผิงปาดน้ำตาแล้วพยักหน้ารับ
เจี่ยงชุ่ยซานยังกำชับอีกว่า “เมื่อไปถึงประตูบ้านแต่ละหลังอย่าเข้าไป ถ้าเห็นใครก็แค่บอกพวกเขาและขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ! ”
“อืม ฉันรู้แล้ว ! ”
วังผิงน้ำตาไหล เธอจำคำกำชับของพ่อสามีขึ้นใจ แล้วพาเจี่ยงจืออันออกไปบอกข่าวชาวบ้าน
เจียงไห่โป เฉินซื่อสง และเฉินชวนช่วยกันเก็บกวาดห้องโถง พวกเขาจัดม้านั่งสูงสองตัววางห่างกันให้พอตั้งโลงศพได้ จากนั้นก็ไปช่วยกันยกโลงศพออกมาจากห้องข้าง ๆ และนำไปวางไว้บนม้านั่งสูง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะแปดเซียนวางอยู่หน้าโลงศพด้วย
ในความมืด ชาวบ้านในหมู่บ้านอิงซานทยอยออกมาช่วยงานที่บ้านครอบครัวเจี่ยงทีละคน
“ลุงเจียง ขอแสดงความเสียใจด้วย ! ”
“พี่ชุ่ยซาน รักษาสุขภาพตัวเองด้วย ! ”
“ชุ่ยซาน……”
“……”
คนที่มาช่วยงานต่างรู้ว่าเจี่ยงจงฉือตายเพราะช่วยชีวิตคน ในใจของพวกเขาทั้งรู้สึกนับถือและเศร้าใจ ต่างคนต่างช่วยกันให้กำลังใจเจี่ยงชุ่ยซาน
แม้ว่าการปลอบใจเช่นนี้จะเต็มไปด้วยความเซื่องซึม แต่ก็ถือว่าเป็นการปลอบใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เจียงไห่โปให้เงินเฉินชวนไปซื้อของในตัวอำเภอ โดยส่วนใหญ่จะซื้อประทัด กระดาษแดง กระดาษขาว กระดาษเหลือง ฯลฯ และกระดาษฟางเป็นหลัก
หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว เฉินซานก็ไปจุดประทัดก่อน จากนั้นผู้ที่มาช่วยงานก็แบ่งหน้าที่ของตน ทั้งเขียนโคลงกลอนไว้อาลัย ทั้งทำพิธีผูกดวงวิญญาณ ทั้งทำพวงหรีดและแต่งห้องโถง……
ทุกคนเริ่มช่วยกันตกแต่งห้องโถงไว้ทุกข์
……
ทางด้านเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากที่เขาพาเจี่ยงชุ่ยหยูกลับบ้าน ทั้งครอบครัวก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ
จนกระทั่งช่วงเที่ยงคืนของวันเดียวกัน เจียงไห่โปก็กลับมา
“พี่ใหญ่กับวังผิงเป็นอย่างไรบ้าง ? ” เจี่ยงชุ่ยหยูถามอย่างเป็นกังวล
เจียงไห่โปเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้ฟังแล้วกล่าวว่า “เรื่องทางด้านนั้นจัดเตรียมเสร็จแล้ว ผมเลยกลับมาบอกคุณ คุณกับเสี่ยวเฟิ่ง เสี่ยวผิงและเสี่ยวอันก็ไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้เถอะ ! ”
“เข้าใจแล้ว ! ” เจี่ยงชุ่ยหยูพยักหน้า
หลังจากที่เจียงไห่โปอธิบายเสร็จแล้ว เขาก็รีบกลับไปที่อิงซานต่อ
หลังจากนั้น ค่ำคืนนี้ก็ผ่านพ้นไปอย่างเงียบงัน
วันต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงห้องทำงาน และพบว่าเหรินฉางเซี่ยมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงถามว่า “อธิบดีเหริน คุณมาได้อย่างไร ? ”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เมื่อเช้าฉันได้จัดกำลังคนไปค้นหาร่างของเจี่ยงจงฉือต่อ คุณไม่ต้องไปแล้ว ไปที่บ้านของเจี่ยงจงฉือกับฉันเถอะ ! ”
เข้าสู่วันที่สามแล้ว สำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็ยังไม่ละทิ้งภารกิจค้นหาร่างของเจี่ยงจงฉือ ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ซาบซึ้งใจมาก เขากล่าวขอบคุณแล้วถามว่า: “คุณจะไปบ้านของเจี่ยงจงฉือทำไม ? ”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เจี่ยงจงฉือเสียชีวิตขณะพยายามช่วยชีวิตผู้อื่น ฉันได้เขียนประกาศเกียรติคุณว่าเขาได้กระทำการอันชอบธรรมอย่างกล้าหาญ ในนามของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ฉันจะไปที่บ้านของเขาเพื่อแสดงความเสียใจต่อสมาชิกในครอบครัวของเขา”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถอนหายใจ “ฉันรู้มาว่าครอบครัวของเจี่ยงจงฉือค่อนข้างลำบาก หากเขียนประกาศเกียรติคุณถึงความกล้าหาญของเขา เช่นนี้เราก็จะได้เงินรางวัลมาให้ครอบครัวของเขา และสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็จะมอบเงินเพื่อแสดงความเสียใจให้ครอบครัวของเขาด้วย ฉันหวังว่ามันจะช่วยครอบครัวของเขาได้ในระดับหนึ่ง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ผมจะไปกับคุณ ! ”
เพราะต่อให้เหรินฉางเซี่ยไม่ไป ตัวเขาเองตั้งใจจะไปอยู่แล้ว
“จริงสิ แล้วสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของคุณมอบเงินให้ครอบครัวของเขาเท่าไหร่ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
เหรินฉางเซี่ยชะงักไปเล็กน้อยแล้วถามกลับ “คุณถามไปทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ “ผมก็จะมอบให้พวกเขาเหมือนกัน”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เงินทุนของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของเรามีน้อย เลยตั้งใจจะมอบให้ 200 หยวน”
ทุกวันนี้ เงิน 200 หยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ก็จริง แต่สำหรับผู้ที่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อความชอบธรรม เงินจำนวนนี้ไม่เพียงพอต่อคุณงามความดีของเขาเลย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวว่า “เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะมอบเงินให้ครอบครัวเขา 2,000 หยวน ให้มอบในนามเงินแสดงความเสียใจต่อครอบครัวเจี่ยงจากสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ! ”
เหรินฉางเซี่ยพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมไม่มอบให้ในนามของตัวเอง ทำไมต้องมอบในนามสำนักงานความมั่นคงสาธารณะล่ะ มันไม่จำเป็นเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “”ถ้าผมให้ในนามตัวเอง มันจะเป็นการให้โดยไม่มีเหตุผล คนในครอบครัวเจี่ยงจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อรับเงินจำนวนนี้ไป และพวกเขาอาจคิดว่าต้องตอบแทนผมในภายหลัง แต่ถ้าให้ในนามของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของคุณ มันจะแตกต่างออกไป”
เหรินฉางเซี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพูดว่า “คุณคิดได้รอบคอบมาก ตกลงตามนี้แล้วกัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไปขอเงิน 2,000 หยวนจากหลินเจียอินเพื่อนำไปให้เหรินฉางเซี่ย
เขาไม่กล้าให้ทีเดียวเป็นจำนวนเยอะ เพราะสำหรับครอบครัวที่มีฐานะยากจน การที่จู่ ๆ มีเงินมากมายจนใช้ไม่หวาดไม่ไหวก็ไม่ใช่เรื่องดี
เงิน 2,000 หยวนนี้ไม่มากไม่น้อยเกินไป สามารถจุนเจือครอบครัวเจี่ยงได้ก็พอแล้ว
ส่วนที่เหลือก็รอจนกว่าพิธีศพของเจี่ยงจงฉือจะเสร็จสิ้น
“ไปกันเถอะ ! ”
หลังจากเก็บเงินแล้ว เหรินฉางเซี่ยก็ชวนเขาไปอิงซานด้วยกัน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบ พวกเราไปเชิญอีกคนหนึ่งไปกับเรากันเถอะ ! ”
เหรินฉางเซี่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คุณจะเชิญใครไปด้วย ? ”