ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 281 :วัฒนธรรมดั้งเดิมกำลังเลือนหายไป
ตอนที่ 281 :วัฒนธรรมดั้งเดิมกำลังเลือนหายไป
“พี่ ผมไม่กลับไปได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยไม่อยากกลับบ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋ “ก็บอกแล้วไงว่ามันคือวันสารทจีน ทำไมนายถึงไม่อยากกลับล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยบ่นพึมพำว่า “วันสารทไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย ก็แค่วันที่คนทั้งครอบครัวมากินข้าวด้วยกันไม่ใช่หรือ ? ไม่ใช่โอกาสพิเศษอะไรสักหน่อย ! ”
ถ้าเป็นวันสารทในปีก่อน ๆ เขาคงตั้งตารอที่จะได้กินเมนูเนื้อสัตว์ที่มีอยู่น้อยนิดพวกนั้น
แต่ตอนนี้เขามีเมนูเนื้อสัตว์ให้ได้กินทุกวัน เขาจึงไม่สนใจวันสารทแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คิดว่าเทศกาลสำคัญขนาดนี้จะกลายเป็น ‘เรื่องน่าเบื่อ’ ในสายตาของเจียงเสี่ยวเหลย ทำให้น้องชายของเขาไม่อยากมาฉลองและกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว !
เจ้าน้องคนนี้มันจริง ๆ เลย
ทว่าเขาก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรเจียงเสี่ยวเหลยก็ยังเด็ก เขายังไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ ‘การเคารพฟ้าดินและกราบไหว้บรรพบุรุษ’
ดังนั้น เขาจึงพูดว่า “เสี่ยวเหลย การฉลองวันสารทจีนไม่ใช่แค่เพื่อความสนุกและการกินดื่มฉลอง แต่มันคือวันกราบไหว้บรรพบุรุษของพวกเรา ! ”
“ซึ่งมันสำคัญมาก ! ”
ทว่า เจียงเสี่ยวเหลยกลับไม่ได้คิดแบบนั้น “กราบไหว้บูชาบรรพบุรุษอะไร มันก็แค่การจัดวางของไหว้แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ไม่ใช่หรือ ? ”
“นั่นมันความเชื่องมงายของระบบศักดินา ต้องต่อต้าน ! ”
“ผมเติบโตภายใต้ธงสีแดง เป็นเด็กหนุ่มที่มีรากเหง้าสีแดง ผมเชื่อในวิทยาศาสตร์ ! ”
เจียงเสี่ยวชิง หลี่ลี่ หวังฉิน และคนอื่นต่างพยักหน้าเช่นกัน
คนหนุ่มสาวเช่นพวกเขาไม่สนใจประเพณีบางอย่างที่คนรุ่นก่อนยึดถือ พวกเขารู้สึกว่าการบูชาบรรพบุรุษเป็นเพียงพิธีการและไร้ความหมาย
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ หากเขาไม่เคยมีประสบการณ์ของชีวิตในชาติก่อน เขาก็คงจะเหมือนกับเจียงเสี่ยวเหลยและคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประสบการณ์ของเขา เขาจึงตระหนักได้ถึงความสำคัญของวัฒนธรรมดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น
เขาจึงพูดว่า “เสี่ยวเหลย นายไม่ควรเอาวัฒนธรรมดั้งเดิมมาเทียบกับความเชื่องมงายของระบบศักดินา วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้คือรากฐานทางวัฒนธรรมของประเทศเรา เป็นกระดูกสันหลังของประชาชนชาวจีนของเรา
พวกเราชาวจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความกตัญญูเป็นอันดับแรก ซึ่งการบูชาบรรพบุรุษถือเป็นการแสดงวัฒนธรรมของ ‘ความกตัญญู’
ทำให้เราจดจำได้ว่าเรามาจากไหน สอนให้เรารู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ”
เจียงเสี่ยวเหลยกล่าวว่า “พี่ใหญ่ คุณครูสอนให้เรากตัญญูต่อพ่อแม่ เพียงทำดีต่อพ่อแม่ในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว มันจะไม่เสียเวลาและเปล่าประโยชน์หรอกหรือที่ทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ตอนที่คนตายไปแล้ว ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแล้ว หัวใจของเขาก็หนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก
ที่คุณครูสอนมามันผิดงั้นหรือ ?
ไม่ผิด !
แต่การที่มันไม่ผิด หมายความว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไง ?
เขาคิดว่ามันไม่ทั้งหมดหรอก !
บางที หลายสิ่งในโลกนี้ไม่สามารถตัดสินว่าถูกหรือผิดได้โดยง่าย เพราะนอกจากถูกและผิดแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยากจะตัดสิน เช่น วัฒนธรรม มรดกตกทอด นิสัย อารมณ์และอื่น ๆ
เขายังรู้อีกด้วยว่า ด้วยการปฏิรูปและเปิดประเทศ เศรษฐกิจจึงได้พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก ในยุคของคนรุ่นหลัง วัฒนธรรมตะวันตกได้ถ่ายทอดเข้ามาในประเทศจีนและได้รับความนิยมจากคนในประเทศ ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมถูกลดระดับลงจนแทบไม่เหลือค่าอะไร เป็นผลให้เราสูญเสียธรรมเนียมประเพณีดี ๆ ไปมากมาย ไม่รู้ว่ามีคนบูชาชาวต่าวชาติกี่คน ไม่รู้ว่ามีปัญญาชนระดับสูงกี่คนที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
เขาไม่ต้องการให้น้องชายและน้องสาวของเขากลายเป็นคนแบบนั้นในอนาคต เขาจึงพูดด้วยความจริงใจ “เสี่ยวชิง เสี่ยวเหลย เราต้องมั่นใจในวัฒนธรรมของเราเอง เราสามารถเรียนรู้สิ่งที่ก้าวหน้าได้ แต่ในฐานะลูกหลานของเหยียนตี้และหวงตี้ เราไม่สามารถสูญเสียรากฐานความเป็นลูกหลานมังกรของเราได้”
เจียงเสี่ยวชิงกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ฉันรู้แล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูเธอและสงสัยว่าเจียงเสี่ยวชิงเข้าใจจริง ๆ หรือไม่
บางที ผู้คนจะเติบโตและเข้าใจความหมายของชีวิตได้อย่างแท้จริงหลังจากที่พวกเขามีประสบการณ์บางอย่างเท่านั้น
เจียงเสี่ยวเหลย: “พี่ใหญ่ ที่พี่พูดมามากมายขนาดนี้ก็แค่เพราะอยากให้ผมกลับไปที่บ้านไม่ใช่หรือ ? งั้นผมกลับไปพร้อมกับพี่ก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน คิดว่าเขาหมายความแบบนี้จริงหรือ ?
ช่างเถอะ แค่น้องชายตัวดีกลับบ้านไปด้วยกัน เพียงเท่านี้เขาก็ทำภารกิจที่แม่มอบหมายให้สำเร็จแล้ว
ส่วนเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
และเมื่อเห็นว่าด้านนอกยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาจึงหันไปพูดกับหลี่ลี่ว่า “พวกเธอไปรออยู่ที่ร้านก่อนเถอะ ถ้ามีลูกค้ามาก็ให้ทำแบบเมื่อวาน ที่ควรแจกฟรีก็แจกไป คนขายก็ขายไป”
หลี่ลี่พยักหน้าแล้วพาหลี่เจีย หวังฉิน หวังเจี้ยน คังเวย และซ่งซิงกางร่มเดินกลับร้าน
เจียงเสี่ยวไป๋ให้พนักงานพาร์ทไทม์ทั้ง 15 ที่จ้างมาแยกย้ายกลับบ้านตัวเองก่อน เขาบอกว่าถ้าพรุ่งนี้อากาศดี ให้มาทำงานต่อ แต่ถ้าฝนตกก็ให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน
หลังจากแบ่งงานทุกอย่างแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เตรียมเรียกให้น้องชายน้องสาวของเขาขึ้นรถ แต่ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหันไปพูดกับเจียงเสี่ยวเฟิงว่า “นายไปเรียกน้องตี้ให้กลับบ้านไปด้วยกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวเฟิงได้ยินก็ดีใจมาก
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ! ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็วิ่งไปที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงที่อยู่ติดกัน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน นายไปเรียกหูฉางอิงมาให้ฉันทีสิ”
“อ้อ……”
เจียงเสี่ยวเฟิงวิ่งพลางรับปากโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
ไม่นาน เจียงเสี่ยวเฟิงพาหลัวเจาตี้และหูฉางอิงเข้ามา
หลัวเจาตี้หน้าแดงเล็กน้อยและพูดอย่างเขินอาย “พี่ใหญ่ ในร้านไม่มีใครหยุดเลย เมื่อวานฉันเพิ่งหยุดไป 1 วัน แล้ววันนี้ก็ให้หยุดอีก มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรไม่ดี ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจะไม่เป็นหัวหน้าเชฟของร้านนี้แล้วและเธอจะไม่มาทำงานที่นี่แล้ว”
ห๊ะ ?
หลัวเจาตี้และหูฉางอิงต่างตกตะลึง การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันเกินไป
แม้แต่เจียงเสี่ยวเฟิงและพวกเจียงเสี่ยวชิงยังตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น ทำไม จู่ ๆ พี่ใหญ่ถึงให้พี่สะใภ้รองหยุดทำงานในร้านนี้ ?
“พี่ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า ? ”
หลัวเจาตี้รู้สึกเสียใจมาก เพราะเธอไม่คิดว่าพี่ชายสามีจะไล่เธอออกจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าหลัวเจาตี้เข้าใจผิดแล้ว
ต้องโทษที่เขาพูดไม่เคลียร์เอง
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “น้องสะใภ้อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ที่ฉันหมายถึงคือย้ายเธอไปทำงานที่โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ จากนี้ไป เธอและเสี่ยวเฟิงจะดูแลโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมด้วยกัน”
หลัวเจาตี้ตกใจอีกแล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
เจียงเสี่ยวเฟิงกลับรู้สึกประหลาดใจและรีบถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “พี่พูดจริงหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “นี่ฉันยังต้องล้อนายเล่นอีกหรือไง ? ”
เขาชี้ไปที่หูฉางอิง แล้วพูดว่า “ที่ฉันเรียกฉางอิงมา ก็เพราะจะคุยเรื่องนี้กับเธอนี่แหละ”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดกับหูฉางอิง “เธอพอจะจัดคนอื่นเข้ามารับช่วงต่องานของเจาตี้ได้ไหม ? ”
หูฉางอิงพยักหน้า “พี่เสี่ยวไป๋ไม่ต้องกังวล ไม่มีปัญหาค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋สั่งงานหูฉางอิงแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของเขาพูดจริง ทำให้เขาดีใจมาก
“ขอบคุณนะพี่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ เขาเพิ่งคิดเรื่องนี่ได้เมื่อวานก่อน เขาถึงได้พูดมันในวันนี้
หลัวเจาตี้เต็มใจที่จะไปทำงานที่เจี้ยนหยางเพื่ออยู่กับสามีของเธอ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเธอยังคงมีสัญญาณของความกังวล เธอพูดว่า “พี่ ฉันทำกุ้งอบน้ำมันเป็นเท่านั้น แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการดูแลโรงงานเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร เจียงเสี่ยวเฟิงก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกลัว คุณเรียนรู้ได้ ! ”
เขากลัวว่าภรรยาของเขาจะไม่ยอมตามเขาไปทำงาน
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “เสี่ยวเฟิงพูดถูก หากทำไม่เป็นยังสามารถเรียนรู้ได้ ก่อนหน้านี้ เธอก็ทำกุ้งอบน้ำมันไม่เป็น แต่พอเรียนแล้วถึงทำเป็นไม่ใช่หรือ ? ”
หลัวเจาตี้ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมาก “ฉันจะทำตามที่พี่บอก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เอาล่ะ วันนี้กลับบ้านไปฉลองสารทจีนกัน วันพรุ่งนี้เธอกับเสี่ยวเฟิงค่อยไปที่เจี้ยนหยาง เดี๋ยวฉันจะให้เธอรับผิดชอบทำบัญชีและรับซื้อเมล็ดแตงโม……”
ขณะที่เขากำลังพูด จู่ ๆ ก็มีคนรีบเข้ามาท่ามกลางสายฝนข้างนอกและตะโกนเสียงดัง: “ป้าชุ่ยหยู แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ! ”