ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 265 :เริ่มฝึกเหล่าน้องชายน้องสาว
ตอนที่ 265 :เริ่มฝึกเหล่าน้องชายน้องสาว
เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงอาคารผู้โดยสารชิงโจวหลังจากออกจากสำนักงานหนังสือพิมพ์
เขาเช่าร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งใกล้ทางออกสถานี มีประตูหันหน้าออกไปทางถนน พื้นที่ส่วนใหญ่ตรงผนังฝั่งติดถนนเป็นหน้าต่างกระจกที่โชว์ให้เห็นสินค้าภายในร้าน ขนาดกว้างประมาณ 4 เมตร
ร้านแบบนี้เป็นเหมือนร้านขายพวกติ่มซำเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า ลูกค้าไม่ต้องเข้ามาในร้าน เวลาซื้อของก็ถามซื้อจากพนักงานขายที่ช่องขายได้เลย
เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋อยากสร้างร้านที่เปิดให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อได้ แต่เพราะเจ้าของบ้านไม่เห็นด้วยกับการรีโนเวทครั้งใหญ่ อีกทั้งเขายังมีเวลาจำกัด เขาตกแต่งประตูหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายในยังคงสภาพสมบูรณ์ มีชั้นวางสินค้าหันหน้าออกไปทางกระจกโชว์ พื้นที่ระหว่างชั้นวางสินค้ากับกระจกโชว์ห่างกันประมาณ 1.5 เมตร เป็นพื้นที่ไว้ให้พนักงานขายทำงาน
ด้านหลังมีตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นโกดังเก็บของ
เพราะร้านจะยังไม่เปิดกิจการจนกว่าจะถึงวันมะรืนนี้ ประตูร้านจึงปิดอยู่
ตอนนี้ป้ายร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคงเป็นฝีมือของช่างไม้ถานเช่นเดิม คำว่า “ร้านโยวผิ่น” มีรูปปากขนาดใหญ่เป็นโลโก้ตกแต่งอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีสโลแกนร้านที่ว่า “รสอร่อยปลายลิ้น” เขียนกำกับเอาไว้
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพอใจ
เขาเคาะประตู ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็ทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีผู้ช่วยเจียง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในร้าน
ข้างใน เจียงเสี่ยวเฟิงกำลังนำพนักงานคนหนุ่มสาว 2-3 คนนับสินค้า ชั้นวางที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าเต็มไปด้วยถุงเมล็ดแตงโม โกดังด้านหลังก็เต็มไปด้วยเมล็ดแตงโม 5 รสที่บรรจุอยู่เต็มกล่องเช่นกัน
“ผู้ช่วยเจียง ! ”
“สวัสดีผู้ช่วยเจียง”
“……”
“พี่มาแล้วหรือ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงและพนักงานคนอื่นในร้านยืนขึ้นทักทายเขา เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับทีละคน
ในบรรดาคนเหล่านี้ คังเวยและซ่งซิงเป็นพนักงานที่เจียงเสี่ยวเฟิงพามาจากเจี้ยนหยาง ส่วนหลี่ลี่ หลี่เจีย หวังฉินและหวังเจี้ยนเป็นพนักงานที่เจียงเสี่ยวไป๋รับสมัครเข้ามาทำงานในร้านโยวผิ่น
ทั้งสี่คนต่างก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งนั้น
ครั้งที่แล้ว ในงานเลี้ยงฉลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเจียงเสี่ยวชิง บรรดาลุงป้าน้าอาฝั่งแม่ให้เจียงเสี่ยวไป๋หางานให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา ครั้งนี้ร้านโยวผิ่นกำลังต้องการลูกมือพอดี เจียงเสี่ยวไป๋จึงให้หวังผิงไปรับพวกเขาเข้ามาในเมือง
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูสถานการณ์ภายในร้าน เมื่อเห็นว่ามีการจัดเตรียมสินค้าไว้ได้อย่างครบครัน ตัวเขาเองก็วางใจ
หลังจากพวกคุยถามไถ่สถานการณ์ไปสักพัก เขาก็พูดว่า “คืนนี้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เราจะเริ่มแจกใบปลิว วันมะรืนนี้ค่อยเปิดกิจการ”
ทุกคนตอบรับอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปหาเจียงเสี่ยวเฟิง แล้วถามว่า “จะกลับบ้านไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงโบกมือปฏิเสธ “ผมยังไม่กลับดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดดูแล้ว หลัวเจาตี้ทำงานอยู่ในเมือง ทางที่ดีอย่าพรากให้เขาสองคนอยู่ห่างกันดีกว่า เจียงเสี่ยวเฟิงไม่กลับบ้านถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเขาจึงรับปากกับน้องชายว่า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะพาถิงถิงเข้าเมือง”
เจียงเสี่ยวเฟิงดีใจมาก
นับตั้งแต่ที่หลัวเจาตี้เข้าเมืองมาทำงาน สามีภรรยาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงและต้องห่างกันมากขึ้น
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในเจียงวาน รอบกายของเขายังรายล้อมไปด้วยพ่อแม่พี่ชาย น้องชาย น้องสาวและลูกสาว แต่พอไปอยู่ที่เจี้ยนหยางในระยะนี้ เวลางานยุ่งก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอว่างขึ้นมาก็มักจะรู้สึกเหงา ทำให้เขาคิดถึงเมียและลูกสาวมาก
วันนี้ที่เขากลับมาที่ชิงโจว หนึ่งคือเพื่อมาส่งสินค้า สองคือมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกเมีย
ตอนแรกเขาตั้งใจว่าวันนี้จะอยู่กับเมียในเมืองก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านไปเยี่ยมลูกสาว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋บอกจะพาลูกสาวเข้าเมืองมาหาเขา แบบนี้เขาก็ไม่ต้องเทียวไปกลับ ครอบครัวของพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกก็จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นท่าทีดีใจของเจียงเสี่ยวเฟิง ในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมา
หลังจากพวกเขาออกมาจากร้าน เจียงเสี่ยวเฟิงพาหลี่ลี่และพนักงานคนอื่นไปกินข้าวที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เจียงเสี่ยวไป๋กลับไปยังห้องทำงานของเขาในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส เพื่อรับหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
วันต่อมา หนังสือพิมพ์รายวันชิงโจวลงโฆษณาเมล็ดแตงโม 5 รส
“เมล็ดแตงโม 5 รสจินเคอ คัดสรรเป็นพิเศษโดยร้านโยวผิ่น ฉลองเปิดร้านใหม่ แจกฟรีเมล็ดแตงโม 5 รสหนึ่งหมื่นถุง ! ”
“เมล็ดแตงโม 5 รส เติมเต็มรสอร่อยให้คุณ ! ”
มีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า: นำโฆษณานี้มาแลกรับเมล็ดแตงโม 5 รสฟรี 1 ถุง
“เมล็ดแตงโม 5 รสคืออะไร ? ”
“ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อน ! ”
“ในหนังสือพิมพ์บอกว่า หากนำหนังสือพิมพ์ไปแลกจะได้ฟรี 1 ถุง จริงหรือเปล่า ? ”
“เขาบอกสถานที่มาด้วย น่าจะเป็นเรื่องจริง ! ”
“จริงหรือไม่จริง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปดูกัน”
“อืม ฉันยังไม่เคยกินเมล็ดแตงโม 5 รสมาก่อน ถึงอย่างไรก็ฟรี งั้นฉันจะเอาหนังสือพิมพ์ไปแลกมาลองชิมดู”
“……”
ทุกคนที่เห็นหนังสือพิมพ์ต่างเกิดความอยากรู้อยากเห็นและเริ่มพูดถึงมัน
ครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว นอกจากหลินเจียอินและเจียงชาน ยังมีเจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวหยู และเจียงถิงเข้าเมืองไปกับพวกเขาด้วย
ทำให้พวกเขาต้องนั่งเบียดกันไปในรถจี๊ป
เจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวหยูและเจียงถิงเข้าเมืองเป็นครั้งแรก พวกเขาต่างตื่นเต้นไปตลอดทางและพูดคุยกันไม่หยุด
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถไปด้วยพลางพูดกำชับน้องชายน้องสาวของตนเองไปด้วย
“เสี่ยวชิง เดือนหน้าต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียงเฉิงแล้ว มหาวิทยาลัยก็เหมือนหอคอยงาช้างที่เรียนแค่ความรู้”
“สังคมต่างหากที่เป็นสถานที่ปลูกฝังความสามารถอย่างแท้จริง เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย นอกจากจะเรียนความรู้ในตำราแล้ว จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมให้มากขึ้น ปลูกฝังทักษะการคิด การจัดการองค์กร ความเป็นผู้นำ การแสดงออก และการสื่อสาร ความสามารถเหล่านี้เท่านั้นที่จะติดตัวเธอไปตลอดและเป็นประโยชน์กับเธอตลอดชีวิต”
“อื้ม ! ” เจียงเสี่ยวชิงพยักหน้ารับ ตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับเจียงเสี่ยวเหลยที่กลายเป็นแฟนคลับของพี่ชายเธอแล้ว ไม่ว่าพี่ใหญ่จะพูดอะไร เธอก็จะทำตามเขาทั้งนั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงพูดอีกว่า “ดังนั้นพี่จะมอบหมายให้เธอรับผิดชอบการแจกใบปลิวในครั้งนี้ โรงงานของพี่รองเธอจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น คงต้องพึ่งเธอแล้ว”
เจียงเสี่ยวชิงรู้สึกกดดันมาก แต่เธอก็ยังพูดอย่างหนักแน่น “ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับอย่างพอใจ แล้วหันไปพูดกับเจียงเสี่ยวเหลย: “เสี่ยวเหลย ฉันรู้ว่านายอยากเรียนทำธุรกิจมาโดยตลอด ฉะนั้นเริ่มจากการแจกใบปลิวก่อนเลยแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวเหลยพูดอย่างมั่นใจในตนเองว่า: “ก็แค่การแจกใบปลิวไม่ใช่หรอ? พี่วางใจได้เลย ผมทำได้แน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า: “ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้านายมั่นใจแบบไม่ลืมหูลืมตา สุดท้ายจะไม่มีใครเชื่อมัน”
“การแจกใบปลิวอาจดูง่าย แต่ที่จริงแล้วมีวิธีการและเทคนิคมากมายที่จะทำให้ใบปลิวมีประสิทธิภาพ”
เจียงเสี่ยวเหลยพูดอย่างไม่ยี่หระ: “ก็แค่เจอใครก็แจกให้เขาคนละใบไม่ใช่หรือ? มีใครบ้างที่ทำไม่เป็น?”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ: “ใบปลิวที่พี่ให้นายกับเสี่ยวชิงเอาไปแจกจะมีเครื่องหมายของตนเองอยู่บนนั้น พอถึงตอนนั้นพี่จะนับจำนวนว่าลูกค้านำใบปลิวของใครมาแลกสินค้ามากที่สุด จะเป็นล่อหรือเป็นม้า ลงสนามเดี๋ยวได้รู้กัน”
เจียงเสี่ยวเหลยได้ยินสิ่งนี้ เขาก็คิดมุ่งมั่นว่าจะแจกใบปลิวให้ได้มากที่สุด เพื่อดึงดูดลูกค้ามาให้ได้มากที่สุดและทำให้พี่ชายของเขามองเขาในมุมใหม่
คนสุดท้ายคือเจียงเสี่ยวหยู
ว่ากันว่าเด็กผู้ชายถูกเลี้ยงดูมาให้ลำบาก ส่วนเด็กผู้หญิงถูกเลี้ยงดูมาให้สุขสบาย ที่จริงเจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากให้น้องสาวคนเล็กของเขาต้องมาทำงานหนักอย่างการแจกใบปลิวอะไรพวกนี้ แต่เจียงเสี่ยวหยูยืนกรานว่าจะขอมาให้ได้ เขาจึงยอม
ที่จริงคำว่า ‘การเลี้ยงดูให้สุขสบาย’ ไม่ใช่การเอาอกเอาใจ
จุดประสงค์ของการเลี้ยงดูลูกสาวให้สุขสบายคือการทำให้เธอเปิดโลกทัศน์ของเธอให้กว้างขึ้น ให้เธอมีชีวิตทางวัตถุที่ดีขึ้น เพื่อว่าเมื่อเธอโตขึ้น เธอจะไม่ถูกหลอกด้วยความต้องการทางวัตถุและสามารถรักษาตัวเองให้ขาวสะอาดได้
เจียงเสี่ยวไป๋เชื่อว่าด้วยฐานะของครอบครัวในปัจจุบัน การเลี้ยงดูเธอให้ดีไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่มันก็คงจะดีไม่น้อยหากเธอสามารถพัฒนาบุคลิกที่เป็นอิสระของเธอบนพื้นฐานนี้ได้
“เสี่ยวหยู ตอนแจกใบปลิวก็ระวังเรื่องความปลอดภัยของตนเองด้วยนะ!”
เขาไม่ได้กำชับอะไรกับน้องสาวคนเล็กคนนี้มากนัก เขาแค่ให้คำแนะนำเธอเพียงอย่างเดียว
“อื้อ!”
เจียงเสี่ยวหยูพยักหน้า “พี่ไม่ต้องกังวล ฉันจะระวังตัว!”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพยักหน้า ชาติที่แล้ว ชะตากรรมของน้องชายและน้องสาวของเขาไม่ดีนัก แต่ในชาตินี้ในฐานะผู้ที่กลับมาเกิดใหม่ เขาต้องการเปลี่ยนชะตากรรมของน้องชายและน้องสาวของเขา เพื่อให้ทุกคนได้มีชีวิตที่สุขสบายและมีความสุข