ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 26 :ขนาดนั้นเชียวหรือ?
ตอนที่ 26 :ขนาดนั้นเชียวหรือ?
ไม่กี่นาทีต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ได้เดินออกมาจากถนนซินเจี้ยน บนตัวของเขามีบุหรี่ยี่ห้อจงฮั๋วเพิ่มมาอีก 2 ซองด้วย
บุหรี่ซองละ 2 หยวน
หลิวเฉียงฮั๋วยังแถมไม้ขีดให้เขาอีกหนึ่งกล่องด้วย
ออกจากบ้านไปทำธุระ มีบุหรี่ติดตัวไว้ย่อมทำอะไรฉลุยราบรื่น
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบเอาบุหรี่จงฮั๋วออกมาหนึ่งซอง จากนั้นถึงได้เดินไปที่หน้าประตูทางเข้าสำนักพิมพ์ของสำนักข่าวรายวันชิงโจว
“คุณมาหาใคร ? ”
ยามเฝ้าหน้าประตูเข้ามาขวางเจียงเสี่ยวไป๋อย่างไม่เกรงใจ
ว่ากันว่าลูกน้องรับมือยากกว่าหัวหน้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือฝ่าด่านของยามเข้าไปให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะทำอะไรสำเร็จ
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าประธานฟู่อยู่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ควักบุหรี่จงฮั๋วออกมาอย่างชำนาญ จากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนเพื่อยื่นให้ยามหน้าประตู พลางถามด้วยรอยยิ้ม
จากความทรงจำเมื่อชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จำได้ว่าในปี 1983 ประธานของสำนักพิมพ์มีชื่อว่าฟู่เต๋อเจิ้ง ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าโฆษกประจำสำนักคณะกรรมการพรรคมณฑลภาคกลางของจีน
บุหรี่ที่เขาพกมาคือบุหรี่ยี่ห้อจงฮั๋ว !
คนที่เขามาหาคือประธานฟู่ !
ยามเฝ้าหน้าประตูไม่กล้าดูแคลนแล้ว เขาพูดว่า “เกรงใจกันเกินไปแล้วครับ” เขารับบุหรี่มาด้วยรอยยิ้มเกรงใจ พลางพูดว่า “ท่านประธานมาตั้งแต่เช้าแล้ว สหายเดินขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารด้านซ้ายมือ เดินเข้าไปด้านในสุดจะเป็นห้องทำงานของประธานฟู่”
“อืม ขอบคุณมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับแล้วเดินเข้าประตูไป
อืม ฉันแค่ถามว่าประธานฟู่อยู่ไหม แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาหาเขาเสียหน่อย
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ไปที่อาคารด้านซ้าย แต่เดินตรงไปที่อาคารชั้นเดียวด้านขวาแทน
อาคารสองชั้นทางด้านซ้ายเป็นอาคารสำนักงาน อาคารชั้นเดียวด้านขวาต่างหากที่เป็นโรงพิมพ์
ธุรกิจหลักของโรงพิมพ์นี้คือการพิมพ์ “หนังสือพิมพ์รายวันชิงโจว” บางครั้งยังรับงานพิมพ์จากหน่วยงานภายนอกด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้มีนักธุรกิจด้านสื่อสิ่งพิมพ์ งานพิมพ์ที่พวกเขารับจึงไม่ได้มีมากมายอะไร
ซึ่งวันนี้พวกเขาพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันเสร็จตามยอดแล้ว คนงานในโรงพิมพ์ส่วนใหญ่เลิกงานแล้ว มีเพียงพวกหัวหน้าและคนงานไม่กี่คนที่เข้าเวร
“ไม่ทราบว่าผู้จัดการของพวกคุณอยู่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปในโรงพิมพ์และเห็นชายวัยสี่สิบเศษคนหนึ่งอยู่ด้านใน เขายื่นบุหรี่จงฮั๋วให้และถามด้วยรอยยิ้ม
บุหรี่จงฮั๋ว ?
ชายคนนั้นตาเป็นประกายเล็กน้อย พลางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าเจียงเสี่ยวไป๋
หลังจากรับบุหรี่มา ชายคนนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะจุดบุหรี่สูบ เขาเอาบุหรี่ทัดหูแล้วตอบไม่ตรงกับคำถาม “สหาย ในโรงพิมพ์เป็นเขตปลอดอัคคีภัย ไม่สามารถสูบบุหรี่ในพื้นที่แห่งนี้ได้”
น้ำเสียงไม่กระโชกโฮกฮาก ทว่าเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำ
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก ทันใดนั้นเขาก็รีบกล่าวเยินยออีกฝ่ายต่อ “มีความเป็นผู้นำสูง แถมยังฉลาด”
ชายคนนั้นถูกชมก็ดีใจ เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “มาหาผู้จัดการมีธุระอะไรหรือเปล่า ? ”
“พอดีมีงานมาสั่งทำ เลยอยากคุยกับผู้จัดการเสียหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดออกไปตามตรงโดยไม่ปิดบัง
“อ้อ ? ”
ดวงตาของชายคนนั้นเป็นประกาย ช่วงนี้งานนอกมีไม่เยอะ พนักงานของพวกเขาว่างจนเบื่อแทบแย่แล้ว วันนี้โชคดีมาก เพราะมีคนเอางานมาให้ถึงหน้าประตูเลย
อีกอย่างดูจากการที่เจียงเสี่ยวไป๋เจอหน้ากันก็ให้บุหรี่จงฮั๋วหนึ่งมวนแล้ว เจ้าหนุ่มคนนี้ใจกว้างไม่เบา
คำพูดคำจาก็ดูเป็นการเป็นงาน
เขาเกิดความสนใจจึงเอ่ยว่า “ผมคือเซี่ยงเฉียนจิ้น เป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ของสำนักข่าวรายวัน มีงานอะไรไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมเถอะ”
“สวัสดีผู้จัดการเซี่ยง”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบกล่าวทักทายอีกรอบ จากนั้นก็ยื่นบุหรี่จงฮั๋วให้อีกหนึ่งมวน
เซี่ยงเฉียนจิ้นชี้ไปยังบุหรี่ที่ทัดอยู่ตรงหูขวาของตนเองพลางโบกมือปัด “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปคุยธุระกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องทำงาน เซี่ยงเฉียนจิ้นชี้ให้เจียงเสี่ยวไป๋นั่งลงบนเก้าอี้ แต่ไม่ได้มีท่าทีจะเทน้ำชาให้เขา
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่ได้ถือสาอะไร เขาพูดว่า “ผู้จัดการเซี่ยง ผมไม่ได้มาในนามของหน่วยงาน แต่ผมมาคุยธุรกิจกับคุณเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าโรงพิมพ์ของพวกคุณรับงานส่วนตัวไหม ? ”
พอได้ยินว่าเป็นงานส่วนตัว เซี่ยงเฉียนจิ้นมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ในยุคสมัยนี้ งานส่วนตัวทำเงินได้ไม่เยอะนัก
ต้องเป็นงานที่มาจากหน่วยงานรัฐบาลเท่านั้นถึงจะทำเงินได้เยอะกว่า อีกทั้งหน่วยงานพวกนี้ก็จะมีสื่อสิ่งพิมพ์ให้พิมพ์เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อนึกได้ว่าโรงพิมพ์ไม่ได้รับงานจากหน่วยงานภายนอกมาระยะหนึ่งแล้ว เขาจึงพูดว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานจากหน่วยงานหรือส่วนตัว ขอเพียงแค่จ่ายเงิน โรงพิมพ์ของเราก็ยินดีให้บริการ”
ได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
แม้ว่าจะเริ่มปฏิรูปและเปิดประเทศมาตั้งแต่ปี 1978 แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงมีความคิดอนุรักษ์นิยมและไม่เปิดกว้างมากนัก บางหน่วยงานยังคงไม่อยากร่วมงานกับเอกชนเท่าไหร่
หากเขาเจอคนแบบนั้นล่ะก็ มีหวังได้เสียเที่ยวเป็นแน่
แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าเซี่ยงเฉียนจิ้นจะเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดกว้าง เรื่องพวกนี้สามารถเจรจากันได้
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้จัดการเซี่ยง แม้ว่าธุรกิจที่ผมกำลังจะคุยกับคุณอาจดูไม่ใหญ่โต แต่ความคิดสร้างสรรค์ของผมสามารถทำให้โรงพิมพ์ของคุณสร้างผลกำไรได้มหาศาล และอาจกลายเป็นโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศในอนาคตก็ได้”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นที่ดูเอื่อยเฉื่อยในตอนแรกตกใจกับคำพูดที่ยิ่งใหญ่ของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาหรี่ตามอง เริ่มไม่เข้าใจสถานะตัวตนของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว ?
เซี่ยงเฉียนจิ้นยืดตัวตรงแล้วถามว่า “สหาย คุณชื่อแซ่อะไร ? ”
“ผมชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ เป็นคนเจียงวาน อำเภอชิงซาน เคยเป็นครูมา 2 ปี ตอนนี้กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตนเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยงเฉียนจิ้นชะงักไปเล็กน้อย ฟังจากคำพูดคำจาของเจียงเสี่ยวไป๋ เขายังนึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคุณชายตระกูลใหญ่จากที่ไหน ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นแค่คนที่ว่างอยากจะทำธุรกิจเท่านั้น
เขาหมดความสนใจที่จะค้นหาตัวตนของเจียงเสี่ยวไป๋และถามออกไปตามตรงว่า “แล้วคุณจะทำอะไร ? ”
การเปลี่ยนสีหน้าของเซี่ยงเฉียนจิ้นล้วนตกอยู่ในสายตาของเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด เขารู้ว่าตนเองพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงจะดูไร้น้ำหนัก ดังนั้นเขาจึงไม่พูดต่อ แต่ขอกระดาษหนา ๆ สองแผ่นและกาวจากเซี่ยงเฉียนจิ้น และทำชามกระดาษให้อีกฝ่ายดูแบบต่อหน้าต่อตาไปเลย
เซี่ยงเฉียนจิ้นมองด้วยความงุนงง
“คุณอยากทำชามกระดาษแบบนี้หรือ ? ”
“การทำไม่ซับซ้อน แต่ใครเขาจะใช้ชามกระดาษกันล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณไม่ได้สังเกตเลยหรือว่าตอนนี้มีคนเริ่มออกมาขายอาหารและของกินเล่นที่ริมถนนในเมืองชิงโจวมากขึ้นแล้ว แล้วถ้าลูกค้าอยากซื้อของกินเล่นกลับบ้านล่ะ พวกเขาจะทำอย่างไร ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นขมวดคิ้วแล้วเริ่มคิดเกี่ยวกับมัน จริงอยู่ที่มีแผงขายอาหารริมทางมากขึ้น และเวลาลูกค้าจะซื้ออาหารกลับบ้านก็ไม่สะดวกจริง ๆ
“ผู้จัดการเซี่ยง ตอนนี้ประเทศของเรามีการปฏิรูปและเปิดประเทศไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจะเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตเช่นกัน คราวนี้ไม่ใช่แค่ของกินเล่นเท่านั้น แม้แต่อาหารที่ลูกค้ากินไม่หมดในร้านอาหารก็จะสามารถห่อกลับไปกินที่บ้านได้เช่นกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่อ
ดวงตาของเซี่ยงเฉียนจิ้นเป็นประกายขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าตัวตนของเจียงเสี่ยวไป๋จะเป็นอย่างไร เขามองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้อีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ และยังคงพูดต่อ “ผู้จัดการเซี่ยง กระดาษที่มีความหนา 280—-350 แกรมไม่เพียงแต่สามารถนำมาทำชามกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาทำแก้วชาที่ใช้แล้วทิ้งได้อีกด้วย”
“ตัวอย่างเช่น เมื่อมีแขกมาที่ออฟฟิศของคุณ คุณชงชาให้แขกดื่มโดยใช้แก้วกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง แขกของคุณจะทั้งได้ดื่มชาอย่างสะอาดและถูกสุขลักษณะ แถมแขกกลับไปแล้ว คุณก็ไม่ต้องทำความสะอาดแก้วชาอีกด้วย มันสะดวกมากเลยใช่ไหมล่ะ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาในออฟฟิศของเขาก็ถือเป็นแขก เดิมทีเขาควรจะต้มชารับรอง แต่เขาเป็นถึงผู้จัดการโรงพิมพ์ อีกทั้งเขาเป็นคนหยาบที่ไม่ชอบล้างแก้วล้างชาม จึงขี้เกียจต้มชารับรองเจียงเสี่ยวไป๋
ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋พูดมาแบบนี้ ในใจของเขาราวกับเริ่มรู้แจ้งแล้ว
มันก็จริงอย่างที่เขาว่าไม่ใช่หรือ ?
การใช้ถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งสะดวกมากจริง ๆ
หลังจากแขกกลับไปแล้ว ก็แค่โยนแก้วกระดาษลงถังขยะก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง
อีกอย่างคำว่า ‘ใช้แล้วทิ้ง’ ที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดถึงก็สมเหตุสมผลเช่นกัน
เขาคำนวณต้นทุนกระดาษที่ใช้ทำถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งอย่างเงียบ ๆ และพบว่าราคาของมันต่ำมากจนทุกคนสามารถจ่ายได้
ถ้าแก้วกระดาษหนึ่งใบทำเงินได้ 1 หลี ไม่สิ ต่อให้แก้วกระดาษ 10 ใบทำเงินได้แค่ 1 หลี แต่หากขายมันได้เป็นจำนวนมหาศาลขึ้นมาล่ะ ผลกำไรของมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ
เซี่ยงเฉียนจิ้นยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ แววตาที่เขามองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ดูแตกต่างออกไปแล้ว