ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 255 :กระเป๋าเยียวยาได้ทุกโรค
ตอนที่ 255 :กระเป๋าเยียวยาได้ทุกโรค
“ซื้อกระเป๋า ? ”
หลินเจียอินตกตะลึงและพูดด้วยความประหลาดใจ “ทำไมต้องซื้อกระเป๋า ฉันก็มีกระเป๋าอยู่แล้ว ! ”
เธอชอบกระเป๋าสะพายที่เธอเย็บมาก
คนที่เติบโตในทศวรรษ 1960-1970 จะมีประสบการณ์ชีวิตที่ยากลำบากและความต้องการของ คนรุ่นนี้ค่อนข้างบริสุทธิ์ ไม่มีความต้องการด้านวัตถุที่มีราคาสูง ขอแค่มีอาหารเพียงพอและเสื้อผ้าให้สวมใส่ เพียงเท่านี้พวกเขาก็พอใจแล้ว
พวกเขาอยู่อย่างพอเพียงและไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นใด นอกจากอาหารและเสื้อผ้า
ตัวอย่างเช่นของจำพวกกระเป๋า ตราบใดที่ยังมีประโยชน์และใช้ได้ ก็จะไม่เปลี่ยนมัน
ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงรุ่นหลัง พวกเธอมักทุ่มทุนกับกระเป๋าและให้ความสำคัญกับกระเป๋ามากกว่าคนรักเสียอีก
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ตามคำพูดของคนรุ่นหลังที่ว่า ‘สำหรับผู้หญิงแล้ว การช้อปปิ้งหรือการได้ซื้อกระเป๋าจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง’ เขาเชื่อว่าหลินเจียอินจะชอบกระเป๋าในห้างสรรพสินค้าอย่างแน่นอน หลังจากที่ได้เห็นมัน
“ไปเถอะเมียจ๋า ซื้อกระเป๋าถือใบเล็กสักใบ เพื่อความสะดวกของคุณในอนาคต”
“ผมก็ต้องไปซื้อกระเป๋าใบใหญ่ด้วย พอลูกคลอดออกมา เราจะได้ใส่แพม….. เอ่อ ผ้าอ้อม ผ้าเช็ดตัว ขวดนม และของจิปาถะต่าง ๆ ลงไปได้สะดวก”
เขาเกือบจะหลุดพูดคำว่าแพมเพิสออกมาแล้ว !
ต้องรู้ว่าแพมเพิสถูกนำมาใช้ในประเทศจีนในปี 1994 โดยคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ผู้ผลิตเนื้อเยื่อที่มีชื่อเสียงระดับโลก
มันยังอีกไกลไปอีก 10 ปีข้างหน้า
โชคดีที่หลินเจียอินไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดนี้ และมีเพียงเจียงเสี่ยวไป๋ที่รู้สึกขบขันกับคำพูดของเขาเอง
เธอเพิ่งตั้งครรภ์ได้เดือนกว่าเท่านั้น และยังคงเร็วเกินไปที่จะคิดถึงผ้าอ้อมและของใช้เด็กที่ลูกต้องการ !
แต่อย่างไรก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจลูกในครรภ์ของเธอขนาดไหน
หลินเจียอินมีความสุขมาก !
“เยี่ยนหง ไปด้วยกันสิ ไปซื้อกระเป๋ากัน”
เฝิงเยี่ยนหงก็ตั้งครรภ์เช่นกัน หลินเจียอินคิดว่าถ้าเธอต้องการใช้กระเป๋าสะพายใบใหญ่ เฝิงเยี่ยนหงก็ต้องการมันเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงชวนเยี่ยนหงไปด้วยกัน
“อ้อ ๆ ฉันไม่ไปหรอก ! ”
เฝิงเยี่ยนหงส่ายหัวอย่างหงุดหงิด ที่เธอไม่อยากไปเพราะกลัวเป็นก้างขวางคอ และไม่อยากไปเห็นทั้งสองพลอดรักกันต่อหน้าเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่ไป งั้นเดี๋ยวค่อยให้หวังผิงพาไปแล้วกัน ! ”
ห๊ะ ?
เฝิงเยี่ยนหงรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋พูดเกินไปแล้ว
ฟังแล้วเจ็บมาก !
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะมองค้อนไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะ ? ”
เธอเดินเข้าไปจับแขนของเฝิงเยี่ยนหง “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขา พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
พูดแล้ว เธอก็ดึงเยี่ยนหงไปที่ประตูโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะมีอะไรผิดปกติ ภรรยาของเขา เขาก็ควรไปเป็นเพื่อนเธอน่ะถูกแล้ว ส่วนภรรยาของหวังผิงก็ควรให้หวังผิงพาไปสิ
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของผู้หญิงสองคน เขาก็เกาหัวและเรียกเจียงชานและหวังกังอย่างช่วยไม่ได้ “ไปกันเถอะ ! ”
ผู้ใหญ่กำลังจะออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจะทิ้งเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ไว้ในห้องทำงานไม่ได้
“โอ้ เราไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากันอีกแล้ว ! ”
เจียงชานดูมีความสุขเป็นพิเศษ เธอกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น
ผู้ใหญ่สามคน เด็กสองคน และทั้งห้าคนมาถึงห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็ว
พวกเธอมาที่นี่เพื่อซื้อกระเป๋า แต่เมื่อพวกเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า สัญชาตญาณในช้อปปิ้งของผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมา
มีเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ซื้อ และขนมให้เด็ก ๆ ซื้อ ในไม่ช้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็หอบหิ้วถุงพลาสติกสะดวกซื้อหลายใบอยู่ในมือ
ตอนนี้พนักงานขายแจกถุงพลาสติกสะดวกซื้อให้ลูกค้าหลังจากช้อปปิ้งแล้ว
มันพกพาของได้สะดวกมาก !
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋มาที่โซนจำหน่ายกระเป๋า เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยทันที
“อ่า คนสวย คุณเปลี่ยนตำแหน่งแล้วหรือ ? ”
พนักงานขายคนนี้เป็นสาวสวยที่เคยอยู่แผนกขายเสื้อผ้าที่เขามาซื้อเมื่อ 2 ครั้งก่อน
เธอชื่อตู้ซาซา เพิ่งถูกย้ายจากแผนกเสื้อผ้าสตรีไปยังแผนกกระเป๋าเมื่อวันก่อน บังเอิญเธอได้พบกับเจียงเสี่ยวไป๋พอดี
“คุณนี่เอง ! ”
ตู้ซาซาไม่ทันได้ตั้งตัวเล็กน้อย เธอยังได้ผู้เจอชายคนนี้ แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนแผนกก็ตาม ?
เธอไม่อยากเจอกับเจียงเสี่ยวไป๋เลย
ครั้งแรกที่เจอ เขาบอกว่าภรรยาของเขาทั้งสูงและหน้าอกใหญ่กว่าของเธอ ! ครั้งที่สองที่เจอกัน เขาบอกว่าคนที่เขาจะซื้อเสื้อผ้าให้ผอมกว่าเธอ !
มันเจ็บทุกครั้งที่พูดคุยกับเขา
“สามี คุณรู้จักกันหรือ ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยกับหญิงสาวสวย หลินเจียอินจึงเริ่มเดินไปหาเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม
ปกติเธอแทบจะไม่เรียกเขาว่า “สามี ! ” เลย !
นี่ภรรยาของเขากำลังประกาศความเป็นเจ้าของ !
เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นเต้น แล้วพูดอย่างรวดเร็ว “ผมไม่รู้จัก ผมซื้อเสื้อผ้าให้คุณและเสี่ยวชิงครั้งที่แล้ว และพนักงานขายคนนี้ช่วยผมเลือก”
หลังจากอธิบายด้วยความกลัวว่าหลินเจียอินจะเข้าใจผิด เขาจึงเสริมว่า “ผมไม่รู้ชื่อของเธอด้วยซ้ำ”
หลินเจียอินมีความสุขอยู่ในใจ และพูดว่า “ฉันแค่ถาม ไม่ได้มีอะไร ทำไมคุณถึงพูดมากขนาดนี้ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เข้าใจได้ว่า บางครั้งเขาไม่สามารถเชื่อคำพูดของผู้หญิงได้จริง ๆ
แม้จะอยากจะเชื่อ แต่การกระทำของเธอนั้นกลับสวนทางกัน
ตัวอย่างเช่น ภรรยาของฉันบอกว่าตอนนี้เธอไม่ว่าอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังง้างมาแล้ว !
หากเขาไม่รีบอธิบาย เขาจะต้องเป็นทุกข์อย่างแน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เมียจ๋า มาดูกระเป๋ากันดีกว่า คุณชอบแบบไหน คุณเลือกได้เลย ! ”
จากนั้น ตู้ซาซาก็ตระหนักได้ว่าสาวสวยที่อยู่ตรงหน้าเธอคือภรรยาของชายผู้น่าโมโหคนนี้
เธอคิดว่าตอนนั้นเขาเปรียบเทียบตัวเองกับภรรยาของเขา
ด้วยความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลินเจียอิน
แต่พอได้เห็นแล้ว เฮ้อหยา…….
เธอสูงกว่าจริง ๆ !
เธอใหญ่กว่าจริง ๆ !
เธอรู้สึกแย่อย่างอธิบายไม่ถูก ตู้ซาซาหวังว่าเธอจะไม่โดนเรียกไปช่วยเลือกดูกระเป๋าอีก
หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงกำลังเลือกกระเป๋าอยู่
กระเป๋าในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นแบบยูนิเซ็กซ์ เช่น กระเป๋าทหารสีเขียว บางใบเป็นสีทึบบางส่วนมีภาพบุคคลผู้ยิ่งใหญ่และมีคำว่า “รับใช้ประชาชน” ที่เขียนด้วยแบบอักษรเหมา
นอกจากนี้ ยังมีกระเป๋าหนังผู้ชายสีดำคล้ายอิฐที่ด้านบนมีซิปอยู่ด้วย
กระเป๋าผู้หญิงยังมีอยู่ไม่กี่แบบ กระเป๋าถือใบเล็กทำจากหนังสีดำ กระเป๋าสะพายไหล่หรือกระเป๋าใบใหญ่ก็ทำจากหนังเทียมมีทั้งสีแดงสด สีขาวนวล สีดำ และมีสีอื่น ๆ น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม สไตล์ของกระเป๋าเหล่านี้กำลังอินเทรนด์มากในขณะนั้น
หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงมองดู ทั้งคู่ชอบมันมาก แต่ก็ตัดสินใจเลือกไม่ได้ไปสักพักหนึ่ง
“ฉันว่าสีแดงก็ดูดีนะ ! ”
“หรือว่าเราจะซื้อสีแดงดีไหม ! ”
เฝิงเยี่ยนหงกล่าว
หลินเจียอินชอบสีฟ้าอ่อนมากกว่า ด้านบนมีช่องเสียบแบบแถบ เพิ่มความรู้สึกของลายเส้น หัวปรับสายของกระเป๋าเป็นโลหะทรงสี่เหลี่ยมให้ความแวววาวและดูมีระดับ กระเป๋าทั้งใบมีขอบและมุมที่ชัดเจน วางแล้วให้ความรู้สึกมั่นคง
“ฉันซื้อใบนี้ ส่วนเธอซื้อใบสีแดง ! ”
หลินเจียอินกล่าว หลังจากหยิบกระเป๋าสีฟ้าไป
เฝิงเยี่ยนหงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ เราซื้อคนละใบ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็เรียกตู้ซาซามาและถามว่า “พนักงานขาย ฉันซื้อสองใบนี้ ราคาเท่าไหร่ ? ”
ตู้ซาซามองไปที่กระเป๋าแล้วพูดว่า “ใบสีแดงราคา 16 หยวน และใบสีฟ้าอ่อนราคา 18 หยวนค่ะ”
กระเป๋าสองใบนี้ สวยที่สุดและแพงที่สุดด้วย
เฝิงเยี่ยนหงตกตะลึง เงิน 16 หยวนถือเป็นเงินเดือนครึ่งหนึ่งของคนงานธรรมดา ๆ หลายคน เธอไม่คิดว่ากระเป๋าใบหนึ่งจะแพงขนาดนี้ !
แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีรายได้ต่อเดือนสุทธิหลายแสนหยวน แต่เธอก็มีนิสัยประหยัดมาโดยตลอด การใช้เงินซื้อกระเป๋าไปมากกว่า 10 หยวนยังคงทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองอยู่ดี
กระเป๋าสีเขียวทหารใบนั้นมีราคาเพียง 1 .5 หยวนต่อใบเท่านั้น
ขณะที่เธอกำลังลังเลใจ เมื่อมีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินมาที่โซนจำหน่ายกระเป๋า ผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสั้นคว้าแขนของชายคนนั้นแล้วพูดอ้อนว่า “ฉันตกหลุมรักกระเป๋าใบหนึ่งเมื่อ 2 วันก่อน มันสวยมาก คุณซื้อให้ฉันหน่อยสิ”
ชายหนุ่มพูดอย่างเมินเฉยว่า “ก็แค่กระเป๋า ตราบใดที่คุณชอบ ผมจะซื้อให้คุณ”
ผู้หญิงในชุดกระโปรงสั้นยิ้มอย่างดีใจและพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณชายจ้าว คุณใจดีมากจริง ๆ ! ”
เมื่อมองไปยังกระเป๋าที่เธอชอบ เธอเห็นว่ากระเป๋าสีฟ้าอ่อนที่เธอชอบถูกหญิงสาวสวยคนหนึ่งหยิบไปแล้ว
แถมรูปร่างหน้าตาของเธอคนนั้นก็สวยงามมาก จนทำให้เธออิจฉา
“วางกระเป๋านั่นลงซะ มันเป็นของฉัน ! ”
ผู้หญิงในชุดกระโปรงสั้นตะโกนอย่างไม่พอใจมาก