ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 211 :ต่อกร
ตอนที่ 211 :ต่อกร
ที่เมิ่งเสี่ยวเป่ยพูดมาก็ถูก
สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง โรงงานเพียงแค่ปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งเดิมเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามให้มาทำงาน
เมื่อหยางซ่างจงไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเหมือนเดิม เขาจึงไม่พอใจและไม่มาทำงานเอง
ส่วนหยางชื่อหู่และเฉาเจิ้งฉงแต่เดิมเป็นพนักงานทั่วไปอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่ผ่านการประเมิน และไม่ยอมเข้าร่วมฝึกอบรม ด้วยการยุยงของหยางซ่างจง พวกเขาถึงมาก่อปัญหานี้ด้วย
หยางซ่างจงดูแคลนคำพูดของเมิ่งเสี่ยวเป่ย และพูดว่า “เดิมทีฉันเป็นถึงหัวหน้าทีม จะให้ฉันกลายมาเป็นพนักงานธรรมดาได้อย่างไร ? ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่เมิ่งเสี่ยวเป่ยอีกครั้ง และพูดด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม “เมื่อก่อนคุณก็เป็นเหมือนฉัน เราต่างก็เคยเป็นหัวหน้าทีมมาก่อน ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ คุณจะขึ้นตำแหน่งอย่างรวดเร็วได้เป็นถึงรองผู้จัดการโรงงานล่ะ ? ”
หยางชื่อหู่พูดเหยียดอยู่ด้านข้างเช่นกัน “ไม่แน่ว่าอาจมีใครแถวนี้ใช้อะไรแลกกับตำแหน่งก็ได้ ! ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยเป็นเหมือนดอกไม้ในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก เธอยังเป็นสาวโสดในวัย 30 ปี แต่จู่ ๆ เธอก็กระโดดจากหัวหน้าทีมระดับล่างมาเป็นเป็นรองผู้จัดการฝ่ายบริหารที่ดูแลโรงงานฟิล์มพลาสติกทั้งหมด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข่าวลือแบบนี้ในโรงงาน
เมิ่งเสี่ยวเป่ยโกรธมากจนใบหน้าที่สวยงามของเธอแดงก่ำ
โหยวโหย่วหยูได้ยินแบบนั้นจึงได้ตะคอกออกมาว่า “หยางซ่างจง หยางชื่อหู่ พูดอะไรระวังปากด้วย ! ”
หยางซ่างจงได้ยินแบบนั้นจึงพูดออกมาด้วยท่าทีเหยียดหยามว่า “แล้วฉันพูดไม่ดีตรงไหน ? ”
หยางชื่อหู่ก็พูดออกมาว่า “ถูกต้อง เราไม่ได้พูดอะไรผิดเลย”
โหยวโหย่วหยูพูดว่า “คุณพูดอะไรออกมา อย่าคิดว่าคนอื่นโง่จนไม่เข้าใจ หากคุณพูดไม่ชัดเจนแบบนี้ก็อย่าหาว่าฉันไม่สุภาพกับคุณ”
ทั้งหยางซ่างจงและหยางชื่อหู่ต่างมองไปที่โหยวโหย่วหยูด้วยความประหลาดใจ หลายปีที่ผ่านมาหัวหน้าโหยวเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ไม่เคยบาดหมางหรือทำให้คนอื่นขุ่นเคืองมาก่อน ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ วันนี้เขาจะดูเหมือนเป็นคนละคน เขาดูแข็งแกร่งขึ้น และไม่ลังเลเลยที่จะตอบโต้พวกเขา
นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าหลังจากที่โหยวโหย่วหยูรู้ว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยเป็นคนมีความสามารถไม่ธรรมดา เขาก็ได้มีใจสนับสนุนฝั่งเมิ่งเสี่ยวเป่ยตั้งแต่นั้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ที่เป็นเหมือนพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของเขาก็ยังนั่งมองอยู่ตรงมุมห้องด้วย
ดังนั้นเขาจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
เมิ่งเสี่ยวเป่ยรีบสงบความโกรธในใจของเธอลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบว่า “หากคุณทั้งสองมีความคิดเห็นเกี่ยวกับฉันแบบนี้และสงสัยถึงการขึ้นรับตำแหน่งของฉัน พวกคุณสามารถรายงานเรื่องนี้ให้ผู้บังคับบัญชาของคุณทราบได้”
“เอาล่ะ ตอนนี้เรามาจัดการกับเรื่องงานกันดีกว่า”
“ได้ ! ” หยางซ่างจงเบี่ยงตัวและวางเท้าบนโต๊ะประชุม เขาพูดอย่างเฉียบขาดไปว่า “คำขอของฉันนั้นง่ายมาก ฉันจะยังเป็นหัวหน้าทีมสองในไลน์ผลิตสี่เหมือนเดิม”
เขาชี้ไปที่หยางชื่อหู่ เทียนเจียลี่และคนอื่น แล้วกล่าวว่า “พวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาแต่ละคนก็ต้องได้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม แต่อย่าคิดที่จะให้เราแข่งขันกันเชียวนะ เราไม่ยอมทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก”
ได้ยินแบบนั้น เถียนเจียเลี่ย เฉาเจิ้งฉงและคนอื่นต่างรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“ใช่ ! นี่คือคำขอของเรา ! ”
“หากไม่ตกลง เราก็จะมาที่นี่ทุกวัน ! ”
“เอาล่ะ เราขอฟังคำตอบที่สดชื่นหน่อยสิ”
“……”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยมองไปที่หยางซ่างจงอย่างดูแคลนและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่เห็นด้วยกับคำขอของคุณ”
“และฉันไม่เพียงแต่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ฉันยังมีทางเลือกให้พวกคุณแค่สามทางเท่านั้น”
“หนึ่ง หากคุณไม่รีบกลับมาทำงานทันที เราจะถือว่าพวกคุณขาดงานไป และจะติดประกาศเตือนที่บอร์ด”
“สอง หากพวกคุณหางานที่อื่นได้ แล้วต้องการลาออกไป ฉันก็จะไม่รั้งพวกคุณไว้”
“สาม หากคุณยังพาคนนอกมาช่วยประท้วงที่หน้าโรงงาน เพื่อจงใจสร้างปัญหาให้โรงงาน ฉันจะเขียนรายงานเรื่องไปยังเบื้องบนและไล่พวกคุณออกจากงานทันที”
อะไรนะ ?
หยางซ่างจงแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเจียงเสี่ยวไป๋ อีกทั้งเธอยังต้องการไล่เขาออกจากงานอีกด้วย !
นั่นไม่ต่างจากการตัดรายได้ทั้งหมดของเขาไปเลย !
คิดได้แบบนั้น เขาจึงไม่ได้จะอวดดีอีกต่อไป เขาเอาเท้าลงจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว รีบยืนขึ้นแล้วพูดออกมาว่า “เมิ่งเสี่ยวเป่ย คุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉันออก ! ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยหัวเราะเยาะ และพูดออกมาว่า “ก็เพราะฉันไม่มีสิทธิ์อะไรอย่างไรล่ะ ฉันถึงจะรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบน”
หลังจากพูดจบ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดว่า “โรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกเพิ่งใช้ระบบความรับผิดชอบของผู้เซ็นสัญญาเหมา ผู้นำเทศบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมัน ฉันจะรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป แล้วมาดูกันว่าผู้นำจะเชื่อคุณหรือฉัน ! ”
ท้ายที่สุดแล้ว หยางซ่างจงก็เป็นเพียงพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากได้ยินคำพูดของเมิ่งเสี่ยวเป่ย เขาก็สับสนเล็กน้อยและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
เมิ่งเสี่ยวเป่ยไม่สนใจเขา เธอให้เวลาเขาคิด
จากนั้น เธอก็มองไปที่หยางชื่อหู่และเฉาเจิ้งฉง พลางพูดว่า “ส่วนคุณสองคน พวกคุณเข้าร่วมการคัดเลือกแล้วไม่ผ่านการประเมิน โรงงานเห็นแก่ที่คุณเป็นคนงานเก่า จึงให้หัวหน้าทีมพาพวกคุณไปอบรมอีกครั้ง แต่พวกคุณไม่รู้จักหวงแหนโอกาส ไม่ยอมไปเข้าอบรม มัวแต่เอาเวลามาสร้างปัญหา เป็นเพราะพวกคุณไม่อยากทำงานที่นี่ต่อแล้วใช่ไหม ? ”
หยางชื่อหู่นั้นมีนิสัยค่อนข้างอันธพาล มักจะหาเรื่องพนักงานคนอื่นตลอด ส่วนเฉาเจิ้งฉงนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ มักจะกินแรงเพื่อนร่วมงานทุกครั้ง
“รองผู้จัดการเมิ่ง ฉันผิดไปแล้ว ! ”
เฉาเจิ้งฉงกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เมิ่งเสี่ยวเป่ยพูดทันที “คุณก็รู้ว่าคุณผิดอะไร แทนที่จะมาสร้างปัญหาแบบนี้ รีบไปหาหัวหน้าทีมหลินเพื่อขอโอกาสอบรมและเข้าประเมินอีกครั้ง”
“อ้อ ๆ ”
เฉาเจิ้งฉงไม่รู้จะพูดอะไร เขาเพียงแค่ขานรับสองสามครั้งแล้วรีบออกไปทันที
ในอีกด้าน แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะนั่งห่างออกไป แต่เขาก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ในโต๊ะประชุมอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏที่มุมปากของเขา เมิ่งเสี่ยวเป่ยใช้วิธีแยกศัตรูออกจากกัน ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ดี
การจัดการปัญหาด้วยวิธีนี้ ถ้าสามารถทำได้ แม้ว่าจะแยกศัตรูออกไปได้แค่คนเดียว แต่ก็ถือว่าตัดกำลังคนของอีกฝ่ายลงไปได้ไม่น้อย
จากนั้น เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็หันไปหาเถียนเจียเลี่ย
เถียนเจียเลี่ยเคยทำงานในไลน์ผลิตหนึ่ง เขามักจะเกียจคร้านและแอบกินแรงคนอื่นเสมอ เป็นคนทำงานไม่จริงจัง และยังไม่ยอมเข้าร่วมคัดเลือกเหมือนคนอื่นอีกด้วย
แต่อีกวัน เขาก็ตีหน้าซื่อมาทำงานปกติโดยที่ไม่สนใจอะไร
แต่แน่นอนว่าหัวหน้าไลน์ผลิตคนใหม่อย่างหลินเฟิงย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน หลินเฟิงจึงไล่เขาออกมา
“เถียนเจียเลี่ย ทำไมคุณถึงไม่เข้าร่วมการประเมินล่ะ ? ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เถียนเจียเลี่ยพูดอย่างใจเย็นว่า “ฉันก็ทำงานของฉันแบบนี้มาตลอด ทำไมจะต้องไปแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนี้ด้วย ? ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยกล่าวว่า “ขณะนี้โรงงานอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบตามสัญญาใหม่ที่ได้ตกลงกันไว้ ดังนั้นพนักงานทุกคนจะต้องรับการประเมินเพื่อจะได้รู้ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน…..”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เถียนเจียเลี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มเยาะว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม ? ”
ดวงตาที่สวยงามของเมิ่งเสี่ยวเป่ยมืดหม่นลง จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า “แต่คุณกำลังไม่เชื่อฟังฝ่ายบริหารอยู่ ! ”
เถียนเจียเลี่ยหัวเราะเบา ๆ โดยที่ไม่มองเมิ่งเสี่ยวเป่ยด้วยซ้ำ
เขาแตกต่างจากหยางชื่อหู่ หยางชื่อหู่เป็นคนที่ค่อนข้างบุ่มบ่าม เจ้าอารมณ์ ในขณะที่เถียนเจียเลี่ยก็เป็นแค่พนักงานธรรมดา แต่ก็เป็นคนที่ไม่ยอมใคร
คนประเภทนี้รับมือได้ยากกว่ามาก
เมื่อเห็นว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยไม่สามารถจัดการได้ โหยวโหย่วหยูก็พูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “เถียนเจียเลี่ย คุณยังอยากแก้ไขเรื่องนี้อยู่ไหม ? ”
“ถ้าอยาก ก็ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องก่อน ! ”
เถียนเจียเลี่ยเหลือบมองโหยวโหย่วหยูด้วยสายตาเหยียดหยาม และพูดล้อเลียนไปว่า “หัวหน้าโหยว ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งมารู้จักผมวันนี้เป็นวันแรกเสียหน่อย ที่ผ่านมาผมก็เป็นคนแบบนี้มาตลอด”
เขาดูเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำร้อน
คนที่โหยวโหย่วหยูไม่ชอบพูดคุยด้วยด้วยมากที่สุดก็คือคนอย่างเถียนเจียเลี่ย เพราะมันทำให้เขาปวดหัว
แต่ตอนนี้เขาบอกตัวเองว่าเขาต้องทำ
“เถียนเจียเลี่ย คุณเป็นคนอย่างไร ฉันรู้ดีที่สุดแล้ว” โหยวโหย่วหยูลุกขึ้นยืนและตบโต๊ะประชุมเสียงดังปัง ! แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ตอนนี้ ! ฉันมีทางเลือกให้คุณแค่ 2 ทาง คือจะออกจากที่นี่ไป หรือว่าจะไปขอหัวหน้าหลินให้ส่งไปอบรมแล้วกลับมาทำงานเหมือนเดิม คุณคิดเอาเอง”
“ไม่เช่นนั้น ฉันจะบอกเซียวหงเรื่องเสี่ยวซิ่ง ! ”
ฮะ ?
ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเยาะของเถียนเจียเลี่ยจู่ ๆ ก็ซีดเผือดลงทันที เขาตกใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ : โหยวโหย่วหยูรู้เรื่องของเสี่ยวซิ่งได้อย่างไร ?