ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 21 :นี่นายกะโหลกร้าวหรือว่าสมองบวม
ตอนที่ 21 :นี่นายกะโหลกร้าวหรือว่าสมองบวม
“ฉันอยากร่วมหุ้นกับนาย”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน
ร่วมหุ้น ?
หวังผิงชะงักไปเล็กน้อย ร้านน้ำชาเล็ก ๆ ของเขาหากธุรกิจดีหน่อยก็ทำเงินได้เดือนละประมาณ 30 กว่าหยวน แต่ถ้าช่วงไหนแย่หน่อยก็ได้ไม่ถึง 20 หยวนด้วยซ้ำไป
แค่เลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้ก็ดีมากแล้ว
หากมีคนร่วมหุ้นเพิ่มมาอีกคน รายได้จะต้องน้อยลงไปมากแน่นอน
“ทำไมจู่ ๆ นายถึงได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ? ”
หวังผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ แต่เอ่ยถามแทน
“นายเองก็รู้ว่าเมื่อก่อนฉันทำตัวเหลวแหลกเกินไป ตอนนี้ฉันอยากทำอะไรที่มันเป็นการเป็นงาน จะได้มีเงินเลี้ยงดูครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น” เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสบาย ๆ
หวังผิงมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างแปลกใจแล้วพยักหน้า
เป็นสิ่งดีที่เจียงเสี่ยวไป๋สำนึกผิดและอยากแก้ไขความผิดพลาดของตนเอง
“ได้ งั้นนายก็มาทำที่ร้านแล้วกัน”
“อืม ฉันจะให้เงินนายเดือนละ 10 หยวน” หวังผิงพูด
เงินเดือนละ 10 หยวนเป็นรายได้ที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้เท่ากับตอนทำงานเป็นครูที่โรงเรียนประถมชิงซาน
ร้านน้ำชาเล็กขนาดนี้ หวังผิงยอมควักเงินเดือนให้เขาเดือนละ 10 หยวนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันไม่เอาเงิน 10 หยวนของนายหรอก ตรงกันข้ามฉันจะให้เงินนายเดือนละ 30 หยวนด้วย”
“นายล้อเล่นแบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ” หวังผิงขมวดคิ้ว
“ฉันไม่ได้ล้อนายเล่น”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือแล้วพูดว่า “นายช่วยฉันทำเพิงบังฝนตรงพื้นที่โล่งหน้าโรงน้ำชา ให้ฉันเช่าที่โล่งก็พอแล้ว ฉันจะเอามาเปิดร้าน ส่วนตอนกลางคืนค่อยเอาของเก็บในร้านของนาย”
หา ?
หวังผิงชะงักไป
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงใจ ไม่เหมือนคนที่พูดจาแบบส่งเดช เขาจึงถามด้วยความสงสัยว่า “นายคิดจะขายอะไร ? ”
“ฉันจะขายของกินเล่น ว่าจะเริ่มด้วยการขายผัดมันฝรั่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง
“ฮ่าฮ่า ! ”
คราวนี้ถึงตาที่หวังผิงหัวเราะบ้างแล้ว “ฉันว่านะเจียงเสี่ยวไป๋ นี่นายกะโหลกร้าวหรือว่าสมองบวมกันแน่ ? ”
“มีใครบ้างที่ไม่เคยกินผัดมันฝรั่ง ? ”
“มันเอามาขายทำเงินได้ด้วยหรือไง ? ”
หวังผิงส่ายหน้าจนหัวจะหลุดอยู่แล้ว ถ้าบอกว่ามันฝรั่งสามารถนำมาขายเป็นเงินได้ ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่เชื่อหรอก
“นายอย่าทำให้มันเจ๊งก็แล้วกัน”
หวังผิงพูดอย่างเป็นห่วง
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่กังวลอะไร “วางใจได้ ไม่ขาดทุนหรอก” จากนั้นเขาก็พูดกลั้วหัวเราะไปว่า “เงินค่าเช่า 30 หยวนของนายก็จะไม่ขาดไม่เกินเช่นเดียวกัน”
หวังผิงเกาหัวแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นพี่น้องกัน จะพูดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทำไม นายยอมออกมาทำงานทำการก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นตกลง งั้นวันนี้นายช่วยตอกตะปูทำเพิงให้ฉันหน่อยสิ พรุ่งนี้ฉันจะมาเริ่มงานเลย”
“ได้”
หวังผิงตอบรับอย่างไม่ลังเล
“งั้นฉันไปก่อนนะ ฉันต้องไปซื้อของต่อ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วก็เดินตรงไปที่ตลาดขายผัก
ที่เขาไปตลาดผักเพราะหลัก ๆ แล้วเขาต้องการซื้อพริกแห้ง เขาซื้อพริกช่อไป 10 ชั่ง ราคาชั่งละ 5 เจี่ยว พริกเสฉวน 10 ชั่ง ราคาชั่งละ 4 เจี่ยว เขาไม่ได้ซื้อพริกแจว เพราะที่บ้านมีเยอะมาก
ในยุคสมัยนี้ราคาพริกแห้งถูกมาก เขาซื้อพริกแห้งทั้งหมด 20 ชั่ง ใช้เงินไปแค่ 9 เหมาเท่านั้น
ต่อมา เขาอยากรู้ว่าเขาพอจะหาซื้อเครื่องเทศได้เพิ่มหรือไม่ ผลปรากฏว่าหาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เจอกานพลู พริกไทย และยี่หร่า
เมื่อรวมกับเปลือกอบเชย โป๊ยกั๊ก และใบกระวานที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ ตอนนี้เขามีเครื่องเทศ 6 อย่างแล้ว
แต่มันยังไม่พอ เขาต้องการรวบรวมเครื่องเทศให้ได้อย่างน้อย 13 อย่าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากซื้อน้ำมันพืชไป 2 ชั่งแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากตลาดผักพร้อมพริกแห้งสองถุงใหญ่และเริ่มมองหาร้านขายยาจีนทั่วเมือง
เครื่องเทศหลายชนิดใช้ปรุงเป็นยาได้ ยุคนี้คนไม่ค่อยใช้เครื่องเทศปรุงอาหาร ดังนั้นในตลาดผักจึงไม่ค่อยมีเครื่องเทศขาย
แต่เครื่องเทศส่วนใหญ่ยังหาซื้อได้ตามร้านขายยาจีน
เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด เจียงเสี่ยวไป๋ไปร้านขายยาจีนอยู่สองสามแห่ง และซื้อเปลือกส้ม เปราะหอม แปะจี้ ข่า ชะเอมเทศ ลูกจันทน์เทศ ซาเหริน หล่อฮั้งก้วย และอื่น ๆ รวม 20 กว่าอย่าง
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งเครื่องเทศเหล่านี้ยังมีราคาไม่แพง เขาจ่ายไปทั้งหมดแค่ 16.2 หยวนเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีมาก เขาไปที่สหกรณ์จำหน่ายเครื่องบริโภคอุปโภคต่อ
หากจะทำผัดมันฝรั่ง จำเป็นต้องซื้อกระทะก้นแบน เตาถ่าน เขียง มีดทำครัวและที่ขูดมันฝรั่ง
กระทะก้นแบนราคา 4.2 หยวน เตาถ่านราคา 3.6 หยวน เขียงราคา 1.2 หยวน เขาซื้อมาอย่างละอัน
ส่วนที่ขูดมันฝรั่งราคาอันละ 3 เจี่ยว เขาเลยซื้อมา 3 อัน
นอกจากนี้เขายังซื้อกะละมังพลาสติกใบใหญ่อีก 2 ใบ ราคาใบละ 2.6 หยวน กะละมังเคลือบอีก 2 ใบ ราคาใบละ 1.6 หยวน
เนื่องจากเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีตั๋วซื้อของ เขาจึงต่อรองราคาของทั้งหมดได้ รวมแล้วเขาจ่ายเงินไปทั้งหมด 18.3 หยวน
เขาเอาของพวกนี้ไปฝากไว้ที่ร้านน้ำชาของหวังผิง จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ออกไปซื้อของอีกรอบ
เขาบอกลูกไว้แล้วว่าจะซื้อของอร่อยไปให้ เขาจะผิดคำพูดไม่ได้
เขาไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อกระดาษชำระ ต่อไปนี้เขาจะไม่ใช้กาบข้าวโพดเช็ดก้นแล้ว
นอกจากนี้เขายังต้องซื้อแปรงสีฟันและยาสีฟันด้วย
เขาอยากซื้อขนมให้ลูกสาว แต่ขนมในยุคนี้มีน้อยมาก สุดท้ายเขาจึงซื้อมาแค่บิสกิต 1 ห่อและแอปเปิ้ลอีก 3 ชั่ง
จริงด้วย หวังกังลูกชายของหวังผิงอายุ 4 ขวบเหมือนกัน ซื้อเผื่อเขาสักหน่อยแล้วกัน
ดังนั้นเขาจึงซื้อแอปเปิ้ลและบิสกิตเพิ่มอีกชุด
สุดท้ายเขาซื้อบะหมี่เพิ่มอีก 1 ห่อ เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากห้างสรรพสินค้าแล้วก็ไปยังโรงขายเนื้อต่อ
ยังคงเป็นแผงขายเนื้อร้านเมื่อวาน
“อ้าว น้องชายคนนี้มาอีกแล้ว วันนี้จะซื้ออะไรล่ะ ? ”
เจ้าของแผงเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ก็จำได้ว่าเมื่อวานเขาคือลูกค้าคนสุดท้ายของร้าน จึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าอยู่ เนื้อบนเขียงจึงยังมีค่อนข้างเยอะ
เจียงเสี่ยวไป๋ดูแล้ว ที่นี่ยังมีมันหมูอยู่หนึ่งแผ่นด้วย ดังนั้นเขาจึงซื้อมันอย่างไม่ลังเล
“ชั่งมันหมูให้ผมเลย แล้วก็เอาสามชั้นมา 4 ชั่ง หั่นเป็นชิ้นละ 2 ชั่ง เอาเนื้อแดงมาให้ผมอีก 1 ชั่งด้วย” เจียงเสี่ยวไป๋บอก
“ได้”
“แล้วตับหมูขายยังไง ? ”
“คู่ละ 6 เหมา”
“ผมเอา”
“ได้”
เจ้าของแผงรีบหั่นหมูสามชั้น ชั่งเนื้อแดง ชั่งมันหมู และห่อตับหมู ยื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋
“ทั้งหมด 11.8 เหมา น้องชายลองนับดูว่าคิดผิดไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋นับในใจ มันคือราคานี้ไม่ขาดไม่เกินจึงพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่เขาจะจ่ายเงิน เขายังถามอีกว่า “ยังมีกระดูกหมูอยู่ไหม ? ”
“มี”
เจ้าของแผงหยิบกระดูกชิ้นใหญ่ที่วางอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ใต้แผง เหมือนกับเมื่อวาน วันนี้มันมีสองชิ้นเช่นกัน
“ไม่ต้องชั่งแล้ว คิดแค่ 9 เหมาพอ”
“ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋รับของมาแล้วจ่ายเงินให้เจ้าของแผงไป 12.7 หยวน
หลังจากซื้อของล็อตใหญ่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับไปที่ร้านน้ำชาของหวังผิง
ในตอนนี้ หวังผิงฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่ไม่มีลูกค้า พาดบันไดเพื่อช่วยเจียงเสี่ยวไป๋ตอกตะปูทำเพิงหน้าร้าน
เขาทำโครงไว้ก่อน จากนั้นก็วัดขนาดและซื้อผ้าใบกันฝนตามที่ต้องการ แล้วขึงผ้าใบกันฝนกับโครงที่ทำเอาไว้ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หวังผิงเป็นคนทำอะไรจริงจัง เจียงเสี่ยวไป๋ก็วางใจเช่นกัน เขาพูดขึ้นว่า “ฉันซื้อแอปเปิ้ลกับขนมมาฝากเสี่ยวกังด้วย เอาวางไว้บนเคาน์เตอร์นะ แล้วก็อย่าลืมเอากลับบ้านไปให้เขากินด้วยล่ะ”
หวังผิงพูดอย่างเกรงใจ “นายจะซื้อแอปเปิ้ลให้เขาทำไม มันสิ้นเปลืองนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ “ฉันไม่ช่วยทำต่อแล้วนะ ฉันต้องกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อมันฝรั่ง และพรุ่งนี้จะมาเปิดร้าน”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันทำคนเดียวสบายมาก รับประกันเลยว่าต่อให้พรุ่งนี้ฝนตกก็จะไม่ทำให้นายเปียกแน่นอน” หวังผิงพูดด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบพูด “เฮ้ย ๆ พรุ่งนี้ต้องท้องฟ้าแจ่มใสต่างหาก”
ถ้าหากฝนตก คนก็จะไม่ค่อยออกมาเดินซื้อของ ทำให้ค้าขายลำบาก
ดังนั้นหวังผิงถึงได้รีบเปลี่ยนคำพูด
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ถึงอย่างไรคติของคนจีนย่อมมีที่มาที่ไปอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ฝนตกก็ดีเลยสิ ฝนตกทำให้มีน้ำ และน้ำหมายถึงความมั่งคั่ง”
“แต่ตอนนี้แดดจ้าเลยนะ”
หวังผิงพูดติดตลก
ทั้งสองคุยเล่นกันสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็ให้เงินหวังผิง 3 หยวน ขอให้เขาช่วยซื้ออิฐ 100 ก้อน
หวังผิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าไว้ใจได้
เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋อยากซื้ออิฐเยอะกว่านี้ แต่หลังจากที่เขาให้เงินหวังผิงไป 3 หยวนแล้ว ทั้งตัวของเขาเหลือเงินเพียงแค่ 1 เหมาเท่านั้น
หลังจากฝากฝังเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เก็บของกลับบ้าน
เขาใส่พริกแห้ง เครื่องเทศ และเนื้อสัตว์ในถุงกระสอบขนาดใหญ่สามถุง ซึ่งรวมกันได้ถึง 40-50 ชั่ง
มือของเขามีแค่สองมือเท่านั้น ถุงกระสอบ 3 ใบถือว่าเอาไปยากจริง ๆ
หวังผิงเห็นแบบนั้นจึงพูดว่า “ไม่อย่างนั้นนายปั่นจักรยานฉันไปก่อนไหม พรุ่งนี้นายจะได้เอามันฝรั่งมาด้วยไง”
“ได้ ขอบคุณมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะการมีจักรยานมันสะดวกมากจริง ๆ
“นายจะเกรงใจฉันไปทำไม ? ”
“ฉันน่ะอยากเห็นว่านายจะขายผัดมันฝรั่งอย่างไรต่างหาก”
หวังผิงพูดด้วยรอยยิ้ม