ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 206 :โดนรังเกียจแล้ว
ตอนที่ 206 :โดนรังเกียจแล้ว
ดวงตาของเจียงชานเป็นประกายเมื่อเธอเห็นเจียงเสี่ยวชิงหยิบปืนใหญ่ในแนวที่สองออกมา เพราะคิดว่าอาสี่จะหยิบปืนใหญ่ในแนวแรกออกมาก่อน
โดยไม่คาดคิด เจียงเสี่ยวชิงโจมตีด้วยปืนใหญ่โดยตรง
เจียงชานและหวังกังต่างก็ไม่เข้าใจการเคลื่อนไหวนี้ เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากันด้วยท่าทีสับสนเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋สอนการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องทั้งหมดแก่พวกเขา พวกเขาทั้งสองจึงไม่เคยเห็นวิธีโจมตีม้าอย่างดุเดือดตั้งแต่แรกแบบนี้มาก่อน
เจียงชานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้แล้วกินมัน
เมื่อถึงคราวของเจียงเสี่ยวชิงที่จะเคลื่อนไหว เธอก็หยิบปืนใหญ่แปดทิศทางขึ้นมาอีกครั้งและโจมตีม้าด้วยปืนใหญ่อันเดียวกัน
เจียงชานก็กินปืนใหญ่อีกครั้ง
ด้วยวิธีนี้ เจียงเสี่ยวชิงจึงเสียปืนใหญ่ไปสองกระบอกติดต่อกัน แต่เจียงชานเองก็เสียม้าไปสองตัวเหมือนกัน
แต่ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงในกระดานหมากรุก เจียงเสี่ยวชิงได้เคลียร์ปืนใหญ่ไปสองกระบอก และตัวหมากรุกอื่น ๆ ก็ยังไม่ขยับเลย แม้ว่าเจียงชานจะเสียม้าไปสองตัว แต่เรือทั้งสองลำก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว มันกำลังเดินตามหลังปืนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้เคลื่อนไหวไปแล้วสองครั้ง
เจียงชานจำทักษะการเล่นหมากรุกที่พ่อของเธอสอนได้ จึงพูดว่า “อาสี่ อาเสียเปรียบหนูไปสองกระบวนท่าติดต่อกันตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งถือเป็นเรื่องต้องห้าม”
เจียงเสี่ยวชิงไม่ได้สนใจ “อาเสียปืนใหญ่ไปสองกระบอกแลกกับม้าของหนูสองตัว แบบนี้คงไม่มีใครเสียเปรียบแล้วนะ ถึงตาของอาแล้ว อาจะเคลื่อนม้า”
จากนั้น ม้าก็กระโดดไปสองก้าวและสามก้าว
เจียงชานย้ายปืนใหญ่ไปที่แนว 5 โดยตั้งการปิดล้อมปืนใหญ่ของคู่ต่อสู้ และเผยให้เห็นเรือในเส้นที่สอง
ทั้งสองคนยังคงเคลื่อนไหวไปมา หลังจากผ่านไปสิบกระบวนท่า ปืนใหญ่ของเจียงชานก็เข้าโจมตีทหารได้ ทำให้เรือทั้งสองก็เข้ายึดแถวที่ 4 โดยมีนายพลอยู่ด้านหลังของพวกเขา ก่อให้เกิดรูปแบบการป้องกันที่เข้มแข็ง เรียกว่าสามอุปสรรคและประตูเหล็ก ซึ่งกลายเป็นตำแหน่งรุกฆาต
“ฉันแพ้แล้วจริง ๆ หรือนี่ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่านักเรียนมัธยมปลายวัย 19 ปีที่เล่นหมากรุกมา 6-7 ปีจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กอายุ 5 ขวบจริง ๆ
ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
เจียงชานมีความสุขมากที่เธอชนะอีกครั้ง “อาสี่ เกมสังหารสลักประตูเหล็ก หนูชนะแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวชิงได้ยินคำที่ไม่คุ้นเคยอีกครั้ง: สลักประตูเหล็ก !
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ทำไมหนูถึงรู้มากตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้นะเจียงชาน ? ”
เจียงชานไม่คิดที่จะถ่อมตนแม้แต่น้อย “เรื่องนี้ ป่าป๊าเป็นคนสอนหนูเองค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงตกใจมาก พี่รองของเธอสอนเจียงชานตัวน้อยได้ดีจริง ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เธอยังคงไม่ยอมรับมัน เธอรู้สึกว่าไม่ว่าเจียงชานจะเก่งหมากรุกมากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นแค่เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ในเกมที่แล้วเธอคงประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
แต่เจียงชานกล่าวว่า “อาสี่ อาเล่นหมากรุกได้แย่มาก ยังไม่ดีเท่าหวังกังเลย ! ”
หัวเล็ก ๆ ของเจ้าตัวน้อยส่ายไปมา เธอปฏิเสธและไม่ยอมเล่นกับเจียงเสี่ยวชิงอีกเลย
ทำให้เจียงเสี่ยวชิงพูดไม่ออก “……”
มันเจ็บใจที่ต้องมาถูกเด็กน้องรังเกียจ
“เสี่ยวชิง ได้เวลากินข้าวแล้ว ! ”
ในขณะนี้ เสียงของหลินเจียอินก็ดังมาจากประตูหลังร้าน
“ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงตอบและพูดกับเจียงชาน “อาไม่เล่นด้วยก็ได้ อาไปกินของอร่อยดีกว่า”
พูดแล้วเธอก็รีบออกไป ไม่งั้นอาจจะขายหน้านานกว่านี้
เจียงเสี่ยวชิงได้กินกุ้งอบน้ำมันที่เธอรอคอยมานาน ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ก็ขับรถไปที่โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
เขาเคยบอกกับรองนายกเทศมนตรีจางว่าโครงการระยะแรกควรจะแล้วเสร็จก่อนฤดูเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในปีนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนกรกฎาคมแล้ว และห่างจากเดือนตุลาคมเพียง 3 เดือนเท่านั้น ดังนั้นเวลาจึงกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว
เมื่อพบจวงปี้เฉิงในไซต์ก่อสร้าง เจียงเสี่ยวไป๋จึงมอบพิมพ์เขียวโดยรวมของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองและแบบแปลนก่อสร้างโรงงานแปรรูปที่เขาได้ออกแบบไว้ให้ และกล่าวว่า “ช่วงแรกงานอาจจะหนักหน่อยนะ เพราะโครงการจะต้องแล้วเสร็จกลางเดือนกันยายนนี้”
จวงปี้เฉิงมองไปที่แบบแปลนแล้วพูดว่า “โครงการของคุณระยะแรกนี้ต้องใช้พื้นที่ก่อสร้าง 55,000 ตารางเมตร ซึ่งไม่เล็กเลย แต่โชคดีที่เป็นอาคารโรงงานทั้งหมด เราน่าจะต้องทำงานล่วงเวลากันถึงจะเสร็จ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถ้าทำงานล่วงเวลาก็อย่าลืมให้คนงานใส่ใจกับความปลอดภัยของตัวเองระหว่างการก่อสร้างด้วยนะ”
จวงปี้เฉิงยิ้มและพูดว่า “พี่เจียงไม่ต้องกังวล ฉันรู้”
เจียงเสี่ยวไป๋ค่อนข้างมั่นใจกับงานของจวงปี้เฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ และไปหาเฉินหยวนเฉาต่อ
เฉินหยวนเฉาสวมแต่เสื้อกั๊กโดยที่ไม่สวมเสื้อยืดเลย เขาเหงื่อออกเต็มตัว กำลังช่วยคนงานขุดหลุม เจียงเสี่ยวไป๋มาเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
“พี่เขย ทำไมถึงลงทุนลงมือเองขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินไปเรียกเฉินหยวนเฉาแล้วถามออกมา
เฉินหยวนเฉายกมุมเสื้อกั๊กขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา แล้วพูดว่า “ฉันไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ฉันก็เลยลงมาช่วยคนงานซะเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แต่ตอนนี้พี่เป็นถึงผู้จัดการโรงงาน ดังนั้นพี่ต้องพิจารณาว่าผู้จัดการโรงงานควรทำตัวอย่างไร”
เฉินหยวนเฉากล่าวว่า “การช่วยคนงานสร้างโรงงานให้เสร็จทันกำหนดไม่ใช่สิ่งที่ผู้จัดการโรงงานอย่างฉันควรทำหรือ ? ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสริมว่า “ถ้าฉันมีส่วนช่วย ความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงงานอาจจะเร็วขึ้นก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังอย่างมีความสุขและพูดว่า “ตามที่พี่พูด ถ้าผมขอให้ช่างจวงเพิ่มคนงานอีกร้อยคน ความคืบหน้าอาจจะเร็วขึ้นกว่านี้หรือเปล่า ? ”
“มันก็จริงอย่างที่นายพูด”
เฉินหยวนเฉาเกาหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “แต่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรตอนนี้”
โรงงานยังไม่ได้สร้าง อุปกรณ์ก็ไม่มี สินค้าก็ไม่มี และไม่มีแม้แต่พนักงานในโรงงาน ตอนนี้มีเพียงเขาที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปสั่งการใคร
นอกจากนี้ เขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการตั้งโรงงานและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปมากกว่านี้
เขานั่งนิ่งไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าช่วยอะไรได้ เขาก็จะทำ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “การสร้างโรงงานเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนผู้จัดการโรงงานมีหน้าที่ในการบริหารโรงงาน ซึ่งจะต้องคิดถึงปัญหาโดยรวมและคำนึงถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงงาน”
หลังจากพูดอย่างนั้น เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เขาพูด เฉินหยวนเฉาอาจเข้าใจยาก ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริมไปว่า “พี่เขย ถ้าพี่จะสร้างโรงงานแปรรูปเล็ก ๆ ในหมู่บ้านไป๋หยาง พี่คิดว่าต้องทำอะไรบ้าง ? ”
เฉินหยวนเชาพูดทันทีว่า “อันดับแรกต้องจัดสรรงบประมาณ ซื้อเครื่องมือสำหรับแปรรูปถั่ว เกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นคนงานแปรรูป และรับซื้อถั่วเหลือง……”
เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน จึงพูดมันออกมาได้คล่องราวกับเทถั่ว
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ดูสิ นี่ยังไม่หมดนะ ? ”
“ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเล็กหรือใหญ่ การบริหารจัดการเรื่องพวกนี้ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่หรอก ต่างกันก็แค่ที่ขนาดใหญ่กับเล็กก็เท่านั้น สิ่งที่พี่ต้องทำในการจัดการโรงงานขนาดเล็กคือสิ่งที่พี่ต้องทำในฐานะผู้จัดการโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือง เพียงแต่เปลี่ยนจากอาคารเล็ก ๆ เป็นโรงงานขนาดใหญ่ก็เท่านั้น”
“ส่วนการซื้อเครื่องมือแปรรูปถั่วเหลืองเป็นเต้าหู้แห้ง ก็ไม่ต่างจากการหาอุปกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ที่เราจะต้องได้ใช้ในอนาคต”
“ส่วนเรื่องการเกณฑ์ชาวบ้านมาเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองและแปรรูปถั่วเหลืองก็ไม่ต่างจากการรับสมัครคนงานมาทำงานในโรงงาน”
เฉินหยวนเฉาคิดอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากการสร้างโรงงานแล้ว เขาซึ่งเป็นผู้จัดการโรงงานควรไปหาอุปกรณ์ รับสมัครคนงาน ซื้อวัตถุดิบ และหาตลาดเป็นต้น
ดูเหมือนว่าเขาต้องการทำสิ่งเหล่านี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันยังเร็วไป
เพราะตอนนั้นเขาได้เห็นอุปกรณ์ทำเต้าหู้แห้ง เขาจึงรู้ว่าเขาต้องการอะไร
แต่ตอนนี้เขาสับสนไปหมดว่าต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้างสำหรับโรงงานขนาดใหญ่เช่นนี้
และที่สำคัญไปกว่านั้น คือเขาไม่เคยได้ยินชื่อผลิตภัณฑ์มากมายที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้บอกเขามาก่อนหน้านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเคยเห็นมาก่อนไหม
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เราควรตั้งชื่อโรงงานก่อนดีไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกขบขันและพูดว่า “ให้พี่คิดตั้งนาน พี่คิดออกแค่เรื่องนี้น่ะหรือ ! ”
แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อของโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองนั้นถูกตั้งมานานแล้ว
ไม่อย่างนั้น พื้นที่อุตสาหกรรม 500 หมู่ที่รัฐบาลจัดสรรให้จะกลายมาเป็นชื่อของหลินเจียอินได้อย่างไร
แค่เขาแค่ยังไม่ได้บอกเฉินหยวนเฉาก็เท่านั้น
เฉินหยวนเฉากล่าวว่า “นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พี่พูดถูก แต่ชื่อโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองได้ตั้งไว้แล้ว ซึ่งมีชื่อว่าโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองชิงโจว”