ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 195 :ต้องหาอะไรให้เขาทำ
ตอนที่ 195 :ต้องหาอะไรให้เขาทำ
เจียงเสี่ยวไป๋มีผลิตภัณฑ์ใหม่สองรายการอยู่ในใจ
อย่างแรก เป็นถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกเกรดอาหาร และอีกอย่างเป็นถุงพลาสติกสะดวกซื้อทั่วไป
ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองนี้ผลิตจากฟิล์มโพลีเอทิลีน โรงงานฟิล์มพลาสติกในเมืองชิงโจวเคยผลิตฟิล์มโพลีเอทิลีน แต่ก่อนหน้านี้ผลิตขายเป็นวัตถุดิบเท่านั้น
โดยพื้นฐานแล้ว ถุงอาหารและถุงพลาสติกสะดวกซื้อเป็นเพียงวัตถุดิบฟิล์มโพลีเอทิลีนแปรรูปเท่านั้น ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาด
พูดง่าย ๆ ก็คือมันเป็นความแตกต่างในการใช้งานที่ต้องการ
ดังนั้น เมื่อโรงงานฟิล์มพลาสติกในเมืองชิงโจวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองนี้ จึงไม่มีอุปสรรคทางเทคนิคที่สำคัญใด ๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องเพิ่มเครื่องผลิตถุงในกระบวนการผลิตเท่านั้น
นอกจากนี้ เครื่องผลิตถุงก็มีวางจำหน่ายตามท้องตลาดแล้ว
เช่น ถุงน้ำยาซักผ้า สิ่งนี้ทำมาจากฟิล์มพลาสติกและใช้เครื่องผลิตถุงด้วย
ไม่มีปัญหากับอุปกรณ์ พวกเขาเพียงแค่ต้องซื้อเพิ่มเท่านั้น
โดยเจียงเสี่ยวไป๋ทำเรื่องจัดซื้อเครื่องผลิตถุงผ่านรองนายกเทศมนตรีจางไปเมื่อ 2 วันก่อน และเขาได้สั่งเครื่องผลิตถุงจำนวน 10 เครื่อง ซึ่งคาดว่าเครื่องผลิตถุงจะมาถึงชิงโจวภายในไม่กี่วัน
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกำหนดเวลาให้การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นใน 3 วันข้างหน้า
เมื่ออุปกรณ์พร้อมแล้ว พนักงานก็พร้อมที่จะเริ่มงาน
บางคนอาจสงสัยว่าเนื่องจากมีอุปกรณ์พร้อมและสามารถผลิตทั้งถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกและถุงพลาสติกสะดวกซื้อได้ ทำไมทั้งสองผลิตภัณฑ์จึงไม่มีวางจำหน่ายในตลาด ?
ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น
ถุงน้ำยาซักผ้าเป็นถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดหนึ่งที่บ่งบอกว่ามีอยู่ในท้องตลาด แต่การใช้งานยังไม่แพร่หลาย
ถุงพลาสติกเข้ามาในประเทศจีนจริง ๆ เมื่อปี 1966 แต่มีราคาค่อนข้างแพง จึงไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย
จากความทรงจำในชาติก่อนของเขา ถุงพลาสติกสะดวกซื้อไม่ได้แพร่หลายในประเทศจีนจนกระทั่งช่วงปลายยุค 80
ตอนนี้เพิ่งปี 1983 และเป้าหมายของเจียงเสี่ยวไป๋คือการเร่งการนำถุงพลาสติกมาใช้
หลังจากอธิบายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองให้หวังชิ่งซีฟังแล้ว หวังชิ่งซีก็เกิดความเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผู้ช่วยเจียง ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองที่คุณกล่าวถึงนั้นไม่ใช่เรื่องยากในทางเทคนิค และผมก็สามารถทำได้”
หลังจากพูดแล้ว เขามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความกังวลและถามว่า “แต่ผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้จะมีตลาดจริง ๆ ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ระเบิดเสียงหัวเราะ
ไม่ต้องพูดถึงว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้จะขายดีหรือไม่ในอนาคต แม้แต่ตัวเขาเอง ตอนนี้ก็ต้องการผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้อย่างเร่งด่วนเช่นกัน
ไม่อย่างนั้น เขาจะมาลงทุนในโรงงานฟิล์มพลาสติกทำไม ?
“รองผู้จัดการหวัง คุณอย่างกังวลใจไปเลย ผมได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฮะ ?
หวังชิ่งซีตกตะลึง สินค้าเหล่านี้ยังไม่ได้ผลิต แต่กลับมีคำสั่งซื้อแล้วหรือ ?
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการทำผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้
เขาตระหนักแล้วว่าเขาไม่เหมาะกับการบริหารธุรกิจจริง ๆ
ดูผู้ช่วยเจียงคนนี้สิ เขามีแต่จะเริ่มการผลิตหลังจากได้รับคำสั่งซื้อหรือทำตามความต้องการของลูกค้าเท่านั้น เพราะวิธีนี้จะทำให้พวกเขาไม่ขาดทุน
ไม่เหมือนเมื่อก่อน โรงงานของพวกเขาจะผลิตสินค้าก่อนโดยไม่คำนึงถึงความต้องการ แล้วถึงมองหาผู้ซื้อในภายหลัง
แต่เขาไม่มีทางรู้เลยว่า “คำสั่งซื้อ” ที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดถึงนั้นเป็นการสั่งซื้อของเขาเอง
เจียงเสี่ยวไป๋พูดเช่นนี้เพียงเพื่อคลายความกังวลของเขาเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับหัวหน้าแผนกคนอื่นที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอีกด้วย
หัวหน้าไลน์ผลิตหนึ่ง สอง สามและสี่คือเจี่ยนหมิงหยู่ ต่งเจี้ยนชาง หลิวหยางเหอและมู่ฟางหยวนตามลำดับ พวกเขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมากหลังจากกลับมาทำงานอีกครั้ง เพราะกลัวว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตออกมาจะขายไม่ออกเหมือนเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือแล้ว พวกเขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
เจียงเสี่ยวไป๋และพนักงานทานอาหารและเครื่องดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่เขาจะกลับเข้าร้านในช่วงบ่าย
“ทำไมคุณถึงดื่มมาเยอะอีกแล้ว ! ”
เมื่อได้กลิ่นว่าตามตัวของเจียงเสี่ยวไป๋มีกลิ่นแอลกอฮอล์ หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นกุญแจรถให้หลินเจียอิน “ผมดื่มมา วันนี้คุณช่วยขับรถกลับบ้านหน่อยนะ”
หลินเจียอินรับกุญแจแล้วมองเขาอย่างเคร่งขรึม หญิงสาวกัดฟันพูด “คุณรู้ว่าคุณดื่มเหล้าและยังขับรถกลับมาที่นี่อีก มันอันตรายมากนะรู้ไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดอยู่พักหนึ่ง
เมาไม่ขับ ถ้ารู้ตัวว่าต้องขับรถควรไม่เมา
เขาจำสิ่งนี้ได้ดีจากชาติที่แล้ว แต่ในปี 1983 ประเทศจีนยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกับการดื่มแล้วขับ ตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสนใจ
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มตื่นตัวมากขึ้น ผู้คนมักไม่ตระหนักถึงการกระทำของตนเองจริงด้วย
เมื่อไม่มีใครบังคับใช้กฎเกณฑ์ ผู้คนก็จะทำตามใจตนเองได้ง่าย
“เมียจ๋า จากนี้ไปโปรดดูแลผมด้วย ถ้าผมดื่ม อย่าให้ผมขับรถเลยนะ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวเสียงอ้อน
หลินเจียอินพยักหน้าแล้วพูดบ่น “อืม ฉันจะจับตาดูคุณเอง ! ”
……
ระยะหลังมานี้ ความปรารถนาเรื่องบนเตียงของเจียงเสี่ยวไป๋มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาแทบจะเหมือนกับเครื่องจักรมนุษย์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้เธอต้องร้องขอความเมตตาจากเขาทุกครั้ง
สำหรับผู้ชาย คุณต้องไม่ปล่อยให้เขามีพลังงานมากเกินไป คุณต้องหาอะไรให้เขาทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาบ้าง
ซึ่งเรื่องงานคงไม่พอทำให้เขาหมดแรง
เพราะผู้ชายอย่างเจียงเสี่ยวไป๋ นอกเหนือจากงานสังคมและจัดการบัญชีสิ้นเดือนแล้ว เขามักจะออกจากงานตรงเวลาในตอนห้าโมงเย็นและกลับบ้านพร้อมเธอและลูกเสมอ
ถ้าเธอต้องการให้เขายุ่ง จะต้องเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ที่บ้าน
เธอมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ ความคิดในหัวของเธอแล่นอย่างรวดเร็ว
ใช่แล้ว ให้เขาสอนชานชานเขียนหนังสือดีกว่า
นอกจากนี้ยังมีการเล่านิทานด้วย รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เธอทำอยู่เป็นประจำ เธอจะเริ่มส่งมอบให้เขาเริ่มตั้งแต่วันนี้ไป
ในเมื่อเขาไม่อยากให้ลูกสาวไปโรงเรียนตอนนี้ ก็ให้เขาจัดการเรื่องการศึกษาของเธอ
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกหนาวสั่นที่กระดูกสันหลังของเขาโดยไม่มีเหตุผล เขาเงยหน้าขึ้นมองและพบกับรอยยิ้มที่น่าขนลุกของหลินเจียอิน จึงถามออกมาว่า “เมียจ๋า คุณกำลังยิ้มอะไรหรือ ? ”
หลินเจียอินพูดว่า “เปล่า เราไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากันเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไป นับตั้งแต่เขาเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเจียอินชวนเขาไปช้อปปิ้ง
“ได้สิ ! ”
ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เจียงเสี่ยวไป๋จึงตอบตกลงทันที
ในห้างสรรพสินค้า หลินเจียอินซื้อซื้อปากกา กระดาษ แท่นหมึก สมุดลอกแบบ ดินสอและสมุดแบบฝึกหัด
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เมียจ๋า ทำไมจู่ ๆ คุณถึงซื้อของเหล่านี้ล่ะ ? ”
หลินเจียอินตอบว่า “เริ่มตั้งแต่วันนี้ไป คุณจะต้องสอนชานชานเขียนหนังสือทุกวัน ! ”
“ห๊ะ ! ”
“ห๊ะ ? ”
เสียงสองเสียง เสียงใหญ่และเสียงเล็กดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งเป็นของเจียงเสี่ยวไป๋ และอีกเสียงเป็นเสียงของเจียงชาน
“หม่าม๊า หนูไม่อยากเขียนหนังสือ หนูอยากดูละครโทรทัศน์”
เจียงชานพูดอย่างไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยังกล่าวอีกว่า “ลูกยังไม่เข้าโรงเรียนเลย ทำไมต้องให้เธอเรียนเขียนหนังสือด้วยล่ะ ! ”
หลินเจียอินกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ปีหน้าเธอจะเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว การเริ่มเรียนรู้วิธีการเขียนในปีนี้จะทำให้เธอมีพื้นฐานที่ดี นั่นไม่ใช่เรื่องดีหรือไง ? ”
เขาทำได้เพียงตอบรับอย่างหนักแน่น ไม่กล้าขัดใจภรรยา “งั้นก็ตกลงตามนี้”
“หม่าม๊าใจร้าย ! ” เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยดูไม่พอใจ
เธอไม่อยากเรียนเขียนหนังสือเลย !
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการสอนลูกสาวให้เขียนหนังสือเช่นกัน เพราะประการแรกเลย เขาคิดว่าลูกสาวของเขายังเด็กและควรมีความสุขกับช่วงวัยเด็กของเธอ และประการที่สอง การสอนลูกสาวเขียนหนังสือหมายถึงเขาจะมีเวลาอยู่กับภรรยาน้อยลง
ทันใดนั้น เขาก็ตัวสั่นและมองหลินเจียอินด้วยสีหน้าแปลก ๆ
จากนั้น เขาก็หันไปมองลูกสาวของเขาด้วยแววตาแห่งความเห็นอกเห็นใจ
เด็กน้อยผู้น่าสงสารตกเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ และตอนนี้เธอต้องทนทุกข์เพราะเขา
แม้ว่าเขาจะเข้าใจ แต่ภรรยาของเขาก็ตัดสินใจแล้ว มันก็ยากที่จะไม่เชื่อฟังเธอ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น
ไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น !