ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 190 :เยี่ยมบ้านพี่เขย
ตอนที่ 190 :เยี่ยมบ้านพี่เขย
“เมียจ๋า เลิกงานแล้ว ! ”
เวลาห้าโมงเย็น เจียงเสี่ยวไป๋เลิกงานตรงเวลาเรียกหาหลินเจียอินทันที
“รอฉันก่อน ฉันขอจัดการงานอีกนิดหน่อย” หลินเจียอินกล่าว ขณะที่เธอจัดเอกสารในมือและวางลงในแฟ้ม
เมื่อโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการ ตอนนี้พวกเขาสามารถผลิตซอสสูตรลับพิเศษสำหรับกุ้งอบน้ำมันได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ปัญหาใหญ่ของการขยายร้านแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันได้รับการแก้ไข หลินเจียอินจึงตัดสินใจเปิดร้านกุ้งอบน้ำมันในเมืองชิงโจวเพิ่มขึ้นมาอีก 5 แห่ง
ในเวลาเดียวกัน เธอยังวางแผนที่จะเริ่มการลงทุนรอบใหม่และรับสมัครผู้รับแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหออีก 20 ราย
ด้วยแผนนี้ จำนวนร้านกุ้งอบน้ำมันทั้งหมดในเมืองชิงโจวจะมีมากถึง 50 แห่ง
เมื่อนับรวมร้านแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหออีก 35 แห่งในอำเภอเจี้ยนหยาน อำเภอเป่ยเหลียง อำเภอไคไหล อำเภอต้าเฟิง อำเภอฉางเหอ อำเภออวิ๋นตู และอำเภอปาวั่ง ซึ่งค่อย ๆ เปิดทำการในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้หลินเจียอินมีงานยุ่งทุกวัน
เธออยากเลิกทำงานช้าหน่อย แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยืนกรานที่จะให้เธอเลิกงานตรงเวลาทุกวัน
รถจี๊ปแล่นผ่านเขตอำเภอชิงซาน และในไม่ช้าก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนด้านข้าง
“เราจะไปที่ไหน ? ” หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
“เราจะไปบ้านพี่เขยของผม ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมได้ที่ดินสำหรับสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองแล้ว จึงจะไปบอกให้พี่เขยและพี่สาวรู้ ผมวางแผนที่จะให้พวกเขาดูแลโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง”
หลินเจียอินไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้
แค่กิจการกุ้งอบน้ำมันและพะโล้ตุ๋นก็ทำให้เธอยุ่งมากอยู่แล้ว เธอไม่มีเวลาหรือเรี่ยวแรงมากพอที่จะดูแลโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรอก
“คุณจะไปมือเปล่าหรือ ? ” หลินเจียอินถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ไม่แน่นอน ผมเตรียมของขวัญไว้แล้ว”
ตั้งแต่เขาเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไปเยี่ยมบ้านพี่เขย เขาจะไม่นำของขวัญไปด้วยได้อย่างไร ?
ก่อนออกเดินทาง เขาได้ไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งและซื้อของให้พี่เขย พี่สาว และหลานทั้งสองคน
หลินเจียอินถึงได้พยักหน้าด้วยความโล่งใจ
ในเวลาเดียวกัน เธอมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ
ผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนเขาจะมีอะไรให้ทำในหนึ่งวันมากกว่าที่เธอทำเสียอีก ทว่าเขาเอาเวลาไหนไปวางแผนทุกอย่างอย่างละเอียดขนาดนี้ ?
คิดถึงตัวเอง นอกจากจะยุ่งกับเรื่องร้านแล้ว เธอแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด
“ป่าป๊า เราจะไปบ้านลุงเขยกันใช่ไหมคะ ? ” เจียงชานซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังได้ยินการสนทนาของพ่อแม่ของเธอ จึงถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว อีกเดี๋ยวเราจะไปบ้านลุงเขยของลูกกัน” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ ดีจังเลยค่ะ ! ”
เจียงชานดูตื่นเต้นมาก หนูน้อยพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะได้เล่นกับพี่ปิงปิงและพี่หงหงอีกครั้ง ! ”
เด็กๆ มักจะตั้งตารอที่จะไปเยี่ยมบ้านของผู้อื่นอยู่เสมอ
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านไป๋หยาง ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋จอดรถที่ทางแยกบนถนนเข้าบ้านของเฉินหยวนเฉา
สามคนพ่อแม่ลูกลงจากรถ เจียงเสี่ยวไป๋หยิบถุงใบใหญ่สองใบออกมาจากท้ายรถแล้ววางลงบนพื้น เขาพูดกับลูกสาวว่า “ชานชาน มานี่ ป่าป๊าจะให้ขี่หลัง”
จากตรงนี้ไปบ้านของเฉินหยวนเฉาต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 2 ลี้ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางขึ้นเนินสูงชัน โดยบางแห่งมีความลาดชันสูงเป็นพิเศษ เขากังวลว่าลูกสาวของเขาจะไม่สามารถเดินขึ้นไปที่นั่นได้
อย่างไรก็ตาม เจียงชานส่ายหน้าและพูดว่า “ป่าป๊ามีถุงใบใหญ่ตั้งสองใบ หนูเดินเองได้”
หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋อบอุ่นขึ้น ลูกสาวของเขารู้จักเห็นอกเห็นใจและฉลาดมากจริง ๆ !
เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ป่าป๊าแข็งแรง ป่าป๊าทำได้”
ถึงกระนั้น เจียงชานก็ยังยืนกรานว่า “ป่าป๊า หนูเดินเองได้ หนูทำได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและตอบว่า “เอาล่ะ ๆ งั้นลูกเดินเอง”
เด็กน้อยมีความสุขทันที และพูดว่า “หนูจะแข่งกับป่าป๊า ดูว่าใครจะเดินเร็วกว่ากัน”
“แน่นอน ป่าป๊าจะไม่แพ้” เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วยอย่างร่าเริง โดยล้อเลียนลูกสาวของเขา
ดังนั้นหนูน้อยจึงเดินไปข้างหน้า ตามด้วยหลินเจียอินและเจียงเสี่ยวไป๋ที่ถือถุงของเดินตามด้านหลัง ครอบครัวสามคนเดินตามทางขึ้นไปบนเนินเขา
ระยะทางกว่า 2 ลี้อาจดูเหมือนไม่ไกลบนพื้นราบ แต่สำหรับทางขึ้นเขานั้นมักให้รู้สึกว่าค่อนข้างไกลกว่ามาก
เจียงชานอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ ด้วยขาสั้นและเท้าเล็ก การเดินขึ้นเนินแบบนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นพิเศษ และในไม่ช้า เธอก็มีเหงื่อท่วมตัว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอกลายเป็นสีแดงเหมือนลูกตำลึง
“ชานชาน มานี่ หม่าม๊าจะอุ้มหนูเอง ! ”
เมื่อเห็นสภาพของลูกสาวของเธอ หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ไม่ หนูจะเดินเอง” เด็กน้อยตอบอย่างดื้อรั้นว่า “ป่าป๊ากับหนูกำลังแข่งกันอยู่ และตอนนี้หนูก็เดินเร็วกว่าป่าป๊าแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น หนูควรเร่งความเร็วกว่านี้ เพราะป่าป๊าจะตามหนูทันแล้วนะ ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กน้อยก็เร่งฝีเท้าขึ้น
เส้นทางขึ้นเนินส่วนใหญ่เป็นถนนปูด้วยหิน โดยบางส่วนเป็นโคลน ขั้นแรกพวกเขาข้ามทุ่งนาขั้นบันไดแล้วเข้าไปในพื้นที่ป่า หลังจากออกจากป่าก็พบกับทุ่งนาขั้นบันไดอีก
ในพื้นที่ชนบทล้วนเป็นเช่นนี้ โดยหลายแห่งมีเนินเขาและพื้นที่เพาะปลูกปะปนกัน ดินแดนใดมีความอุดมสมบูรณ์พอ ผู้คนก็ถางเพื่อการเพาะปลูก
ในสถานที่ที่มีทุ่งนาอุดมสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไป ชุมชนและการตั้งถิ่นฐานก็พัฒนาขึ้นตามธรรมชาติ
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง…”
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง จู่ๆ สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ก็รีบวิ่งออกมาและเห่าอย่างเกรี้ยวกราดใส่ทั้งสามคน
เจียงชานสะดุ้ง “ป่าป๊า หนูกลัว ! ” และหันหลังวิ่งกลับ
ในพื้นที่ชนบท สุนัขส่วนใหญ่มักจะเห่าเพื่อเป็นการเตือน แต่ไม่กัดคนจริง ๆ ยกเว้นสุนัขที่ก้าวร้าวบางตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีกฎข้อหนึ่งที่ว่า: ถ้าเจอสุนัข ห้ามวิ่ง
หากคุณวิ่ง สุนัขจะไล่ตาม และสุนัขที่ปกติไม่กัดคนก็อาจเริ่มกัดด้วย
เจียงชานยังเป็นเด็ก เธอไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เมื่อเธอเห็นสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ เธอจึงวิ่งหนีโดยสัญชาตญาณ
สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่กระโดดออกมาจากลานบ้านและวิ่งมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
หลินเจียอินก็ตกใจเช่นกัน ใบหน้าของเธอซีดลง
”ไม่ต้องกลัว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องหลินเจียอินและเจียงชาน เขายกถุงในมือขวาขึ้นแล้วทำท่าทาง “ไปให้พ้น ! ”
“โฮ่ง โฮ่ง ! ”
เมื่อสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่เห็นว่ามนุษย์ไม่กลัวมัน มันจึงหยุดฝีเท้าแล้วยืนเห่าอยู่ข้างถนนแทน
เสียงเห่าของมันได้ดึงดูดความสนใจของเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นชายวัยสี่สิบเศษที่ถือชามออกมา เมื่อเห็นสุนัขของเขาเห่าใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เขาก็ตะโกนออกมาว่า “ต้าหวง กลับมา ! ”
“โฮ่ง โฮ่ง ! ”
สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่เห่าอีกสองครั้ง ก่อนจะหันหลังวิ่งส่ายหางกลับไปหาเจ้าของ
จากนั้น ชายคนนั้นก็พูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ไม่เป็นไร สุนัขของฉันไม่กัดคน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ไม่เป็นไรครับ คุณกำลังทานข้าวอยู่หรือ ! ”
การสนทนาแบบนี้เป็นเรื่องปกติในชนบท ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “แล้วพวกพ่อหนุ่มจะไปไหนกันล่ะ ? ”
“เรากำลังจะไปบ้านเฉินหยวนเฉา”
“โอ้” ชายคนนั้นพยักหน้า “บ้านของเฉินหยวนเฉาอยู่ข้างหน้า เขาอยู่ในบ้านนั่นแหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเขา ก่อนจะบอกให้ภรรยาและลูกสาวของเขาเดินไปข้างหน้า ในขณะที่เขาอยู่ข้างหลังเพื่อให้แน่ใจว่าสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่จะไม่ไล่ตามพวกเขาอีก
คราวนี้ หนูน้อยไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไป มือเล็ก ๆ ของเธอจับขากางเกงของเจียงเสี่ยวไป๋ไว้แน่น ราวกับเธอรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้พ่อของเธอเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและปล่อยให้เธอจับไว้
ไม่นาน ทั้งสามก็มาถึงลานบ้านของเฉินหยวนเฉา
“คุณลุง คุณป้า ! ”
เด็กน้อยเคยมาที่นี่มาก่อน ดังนั้นทันทีที่พวกเขาไปถึงลานบ้าน เธอก็ส่งเสียงตะโกนเรียกลุงเขยและป้าของเธอออกมาดัง ๆ
เฉินหยวนเฉาและเจียงเสี่ยวเยว่ออกมาจากบ้าน ตามด้วยเฉินปิงและเฉินหง เมื่อพวกเขาเห็นครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาต่างก็แสดงความประหลาดใจที่น่ายินดี
“เสี่ยวไป๋ ทำไมมาถึงไม่บอกให้เรารู้ล่วงหน้าก่อน ! ”
เฉินหยวนเฉาทักทายด้วยรอยยิ้ม