ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 189 :มีคำขออะไรอีกไหม
ตอนที่ 189 :มีคำขออะไรอีกไหม
เมื่อออกมาจากห้องทำงานของรองนายกเทศมนตรี เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีมาก
แม้ว่ารองนายกเทศมนตรีจางจะยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเรื่องโรงงานฟิล์มพลาสติกและพื้นที่อุตสาหกรรม 500 หมู่ แต่เจียงเสี่ยวไป๋คาดเดาว่าทั้งสองเรื่องนี้น่าจะประสบความสำเร็จ
หลังจากนี้เขาก็แค่ต้องรอ
รองนายกเทศมนตรีจางไม่ได้ให้เจียงเสี่ยวไป๋รอนาน 3 วันต่อมา เขาก็ให้ข้อสรุปของทั้งสองเรื่องนี้
ตามที่เจียงเสี่ยวไป๋คาดการณ์ไว้ เป็นไปไม่ได้เลยที่กิจการรัฐวิสาหกิจอย่างโรงงานฟิล์มพลาสติกเมืองชิงโจวจะขายให้เขาได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากการหารือกันภายในที่ประชุม พวกเขาตกลงที่จะให้สิทธิ์ในการดำเนินงานแก่เขาผ่านข้อตกลงตามสัญญา
ตั้งแต่ปี 1978 การทำสัญญารัฐวิสาหกิจกับเอกชนได้ดำเนินการตามหลักการ “ลงนามสัญญาร่วมกับรัฐ รับประกันจ่ายค่าธรรมเนียมการทำสัญญา ทำกำไรได้มากเก็บได้มาก หากขาดทุนต้องรับผิดชอบเอง” ตราบใดที่เจียงเสี่ยวไป๋ตกลงจ่ายค่าธรรมเนียมการทำสัญญาตามที่รัฐบาลเมืองเสนอ เขาก็สามารถลงนามในสัญญาได้
ค่าธรรมเนียมสัญญาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 50,000 หยวนต่อปี
ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋เห็นจำนวนเงิน เขายังนึกว่ามองผิดไปด้วยซ้ำ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ? ”
รองนายกเทศมนตรีจางถามขณะขมวดคิ้ว
นี่เป็นข้อสัญญาที่ดีที่สุดที่รองนายกเทศมนตรีจางสามารถต่อรองมาให้เจียงเสี่ยวไป๋แล้ว หากเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เต็มใจที่จะจ่ายแม้แต่ค่าธรรมเนียมรายปีขั้นต่ำ 50,000 หยวน เรื่องนี้ก็คงดำเนินการต่อไปไม่ได้
“มีปัญหานิดหน่อยครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
รองนายกเทศมนตรีจางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ถ้าคุณคิดว่าค่าธรรมเนียม 50,000 หยวนต่อปีมันมากเกินไป……”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดแทรกขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่ามันมากเกินไป แต่มันน้อยเกินไปต่างหากครับ ! ”
อ่า ?
รองนายกเทศมนตรีจางมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจและสับสนเล็กน้อย
เรื่องแบบนี้มักมีแต่ผู้คนบอกว่าแพงเกินไป เขายังไม่เคยเห็นใครบอกว่ามันน้อยเกินไปมาก่อน
“คุณหมายความว่ายังไง ? ” รองนายกเทศมนตรีจางถาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมคิดว่าผมสามารถจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีเพิ่มได้อีกเล็กน้อย”
รองนายกเทศมนตรีจางจ้องไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ เขาไม่เชื่อว่าชายคนนี้จะสมัครใจขอขึ้นค่าสัญญาเองโดยไม่มีเหตุผล เขารู้สึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังมีความต้องการบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย
“คุณคิดจะจ่ายเท่าไหร่ ? ” รองนายกเทศมนตรีจางถามอย่างระมัดระวัง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมจะจ่ายค่าสัญญาเริ่มต้นที่ 100,000 หยวนในปีแรก จากนั้นเราจะหารือเรื่องการจ่ายเพิ่มขึ้นทีละน้อยในปีต่อ ๆ ไป”
แม่เจ้า เขายินดีเพิ่มค่าธรรมเนียมสัญญาเป็นสองเท่าทันที !
แถมเขายังเสนอจะจ่ายเพิ่มทุกปีอีกด้วย !
รองนายกเทศมนตรีจางหรี่ตา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงทำเช่นนี้ เพราะเขาไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรต่อเจียงเสี่ยวไป๋
“คุณไม่ใช่คนทำอะไรโดยไม่เกิดประโยชน์ พูดออกมา คุณต้องการอะไร ? ” รองนายกเทศมนตรีจางกัดฟันถาม
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “คุณรู้จักผมดี รองนายกเทศมนตรีจาง ! ”
เขารีบบอกความต้องการของเขาออกไปโดยไม่อ้อมค้อม
เขาเพียงขอให้เพิ่มเงื่อนไขในสัญญาว่า: เมื่อใดก็ตามที่โรงงานฟิล์มพลาสติกชิงโจวต้องการเปลี่ยนผู้ดำเนินงาน ขายกิจการหรือโอนกิจการเป็นของเอกชนตามราคาต่ำสุดที่รัฐบาลเสนอ รัฐบาลเมืองชิงโจวจะสามารถกระทำการดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อเขายกเลิกสัญญาด้วยตนเองแล้วเท่านั้น
บนพื้นฐานของราคาขายขั้นต่ำของรัฐบาล เฉพาะในกรณีที่เขายกเลิกการซื้อเท่านั้น รัฐบาลเมืองชิงโจวจึงจะได้รับอนุญาตให้ขายโรงงานให้กับนิติบุคคลหรือบุคคลอื่นได้
“แค่นี้เองหรือ ? ”
รองนายกเทศมนตรีจางถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างจริงจัง “ครับ แค่นั้น ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางหัวเราะเบา ๆ “ถ้านั่นคือเงื่อนไขเดียว คุณก็ไม่ต้องกังวล เพราะรัฐวิสาหกิจไม่สามารถขายให้กับเอกชนได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางยังคงจ้องมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างงุนงง คล้ายกับว่าคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ !
หรือเขารู้อะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ ?
หรือบางที เขาอาจมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายในอนาคต ?
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้กล่าวไว้ ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
ด้วยสถานะและตำแหน่งของเขา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รับข่าวการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจเลย เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับแผนใด ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว และแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงก็ยังไม่แสดงท่าทีจะดำเนินการใด ๆ
ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเจียงเสี่ยวไป๋ !
“ผมตกลงกับคำขอของคุณ ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการจ่ายค่าจ้างของพนักงานที่มีอยู่ในโรงงานฟิล์มพลาสติกและจ่ายค่าธรรมเนียมสัญญารายปีให้ตรงเวลา มิฉะนั้นคุณจะต้องรับผิดชอบ”
“ไม่มีปัญหาครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วยโดยไม่ลังเล
ด้วยค่าธรรมเนียมสัญญารายปีเพียง 100,000 หยวน มันไม่ต่างอะไรจากการรับโรงงานฟิล์มพลาสติกเมืองชิงโจวขนาดใหญ่มาฟรี ๆ เลย
เขาไม่กลัวที่จะเผชิญกับปัญหาของโรงงานฟิล์มพลาสติกเลย
ถ้าสินค้าไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนสินค้า
ถ้าบริหารจัดการไม่ดี เขาก็จะนำระบบการจัดการของตัวเองไปใช้
ถ้าช่องทางการขายไม่ดี เขาก็จะหาช่องทางใหม่ ๆ
แม้แต่คนงาน เขาก็ไม่กลัว ด้วยระบบใหม่และแรงจูงใจด้านเงินเดือน เขามั่นใจว่าจะสามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นของคนงานได้ ในอนาคต คนมีความสามารถจะสูงขึ้น และผู้ที่ตามไม่ทันก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สำหรับผู้ที่ยังไม่ปฏิบัติตาม เขาก็มีวิธีแก้ไขอยู่ในใจเช่นกัน
พวกเขายังคงได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยตามสมควร แล้วลาออกกลับบ้านไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้เลย
ปัจจุบัน ค่าจ้างแรงงานต่ำมากจริง ๆ ปกติเงินเดือนของแรงงานแต่ละคนจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 หยวนเท่านั้น แม้ว่าคนงานทั้งหมดในโรงงานฟิล์มพลาสติกจะไม่ยอมทำงาน อยากเอาแต่กลับบ้าน แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็จะอยู่ที่เพียงไม่กี่พันหยวนต่อเดือนเท่านั้น
เขาสามารถแบกรับต้นทุนนี้ได้อย่างสบาย ๆ
แต่เขาเชื่อว่าด้วยระบบการจัดการขั้นสูงและโครงสร้างเงินเดือนที่สูงขึ้นตามลำดับ พนักงานส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนมุมมองและนิสัย เปลี่ยนจากการเป็นภาระให้กับบริษัทไปสู่การเป็นผู้มีความสามารถที่สร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้
ดังนั้น เขาจึงไม่กังวลเลย
สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรม 500 หมู่นั้นง่ายกว่ามาก
ยังคงตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองชิงโจว ติดกับที่ดินของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพื้นที่นั้นได้รับการวางแผนให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเมืองชิงโจว นอกเหนือจากโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสของเขาแล้ว ยังไม่มีบริษัทอื่นใดตั้งถิ่นฐานที่นั่น เขาสามารถเลือกสถานที่ใดก็ได้ที่เขาต้องการ
ต่อไปคือขั้นตอนการทำเรื่องขอใบอนุญาตและโอนกรรมสิทธิ์ รองนายกเทศมนตรีจางจึงให้ติงจวิ้นเจี๋ยและเจียงเสี่ยวไป๋จัดการร่วมกัน และทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
เหมือนทุกครั้งไม่มีผิด สัญญาและกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเป็นชื่อของหลินเจียอิน
……
“เสี่ยวไป๋ ขอบคุณนะ ! ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ได้จดทะเบียนธุรกิจทั้งหมดภายใต้ชื่อของเธอ นี่เป็นความไว้วางใจและความเสน่หาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ชายคนนี้สามารถแสดงต่อคนเป็นภรรยาได้ หลินเจียอินจึงขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“เรียกผมว่าสามี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบแก้คำเรียกให้เธอ
ใคร ๆ ก็สามารถเรียกชื่อเขาได้ แต่มีเพียงภรรยาเท่านั้นที่สามารถเรียกเขาว่า ‘สามี’ ได้
“สามี ! ”
หลินเจียอินเรียกเขาเสียงเบา สีหน้าของเธอดูเขินอายจนแก้มแดงหูแดง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างมีความสุขและขบขันอยู่ในใจ ภรรยาของเขาขี้อายจริง ๆ นี่มันก็แค่เรียกเขาว่า “สามี ! ” เท่านั้นเอง !
แต่ท่าทางขี้อายของภรรยาเขาช่างสวยงามจริง ๆ !
เขาชอบมาก !
ตั้งแต่นี้ไป คุณควรเรียกผมแบบนั้น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างเอาแต่ใจ
เขาไม่เชื่อหรอกว่าถ้าพูดซ้ำ ๆ แล้วเธอจะยังไม่ชินกับมัน
“อื้ม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา “เอาล่ะ ไหนเมียจ๋าลองพูดอีกครั้งซิ ! ”
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่เจียงเสี่ยวไป๋ ผู้ชายคนนี้หน้าหนามาก ทำไมเขาถึงแสดงความรักได้ประเจิดประเจ้อขนาดนี้นะ ?
เธอไม่ได้มีผิวหน้าที่หนาขนาดนั้น และจะไม่ยอมเรียกเขาแบบนั้นแน่นอน หญิงสาวจึงกระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไปด้วยความเขิน
เจียงเสี่ยวไป๋ระเบิดหัวเราะทันที
เฮอะ ตอนนี้คุณอาจวิ่งหนีได้ แต่มาดูกันว่าคืนนี้คุณจะวิ่งหนีผมไปไหนได้
ทุกวันนี้ ทั้งเจียงชานและเจียงถิงต่างนอนด้วยกันในตอนกลางคืน ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขที่ได้ใช้เวลาสองต่อสองกับหลินเจียอินมาหลายวันแล้ว
คืนนี้เขาตั้งใจจะเพิ่มโปรเจกต์ใหม่
ฝึกภรรยาให้เรียกเขาว่า ‘สามี’ !
เมื่อคิดถึงภาพที่ยอดเยี่ยมนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกว่ากระดูกของเขาลั่นกร็อบขึ้นมาทันที
เขากำหมัดแน่น วันนี้เขาจะสู้ !
เขาต้องจัดให้หนัก !