ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 178 :เกิดเหตุไฟป่า
ตอนที่ 178 :เกิดเหตุไฟป่า
ทั้งสองคนสูบบุหรี่และเดินไปคุยไป พ่อตาและลูกเขยพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“นายอำเภอหลิน ที่บ้านมีแขกหรือ ! ”
เมื่อเพื่อนบ้านอย่างเหล่าเฉินเดินออกมาเห็นรถจี๊ปคันใหม่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน และเห็นชายหนุ่มเดินคุยอยู่กับหลินต้าเหว่ย เขาจึงเดินเข้ามาทักทาย
หลินต้าเหว่ยยิ้ม แล้วพูดว่า “นี่คือลูกเขยของฉัน ! ”
เหล่าเฉินแสดงความยินดีทันที เขาพูดว่า “ลี่ลี่กลับมาแล้วงั้นหรือ ? ”
หลินต้าเหว่ยมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 2 คน
หลินเจียเหวยลูกชายคนโตแต่งงานแล้ว เขาย้ายไปอยู่ย่านโรงเบียร์ซานเฉิง ส่วนลูกชายคนเล็ก หลินเจียเล่อยังเรียนอยู่
ส่วนหลินเจียอินลูกสาวคนโตก็หายหน้าหายตา ไม่ได้ยินข่าวคราวจากเธอมาหลายปีแล้ว
หลินเจียลี่ ลูกสาวคนเล็กกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเจียงเฉิง ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุ 20 ปี
เมื่อเหล่าเฉินได้ยินหลินต้าเหว่ยพูดว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกเขยของเขา เขาไม่ได้คิดถึงหลินเจียอินเลย และคิดว่าชายคนนี้คงจะเป็นแฟนของหลินเจียลี่
หลินต้าเหว่ยได้ยินแบบนั้นก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ลี่ลี่ยังเรียนอยู่เลย นี่คือเสี่ยวเจียง สามีของอินอินต่างหากเล่า”
ผู้เฒ่าเฉินผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบหัวตัวเองและพูดว่า “ดูสมองของฉันสิ เลอะเลือนไปหมดแล้ว ! ”
จากนั้น เขาก็ยิ้มและพูดว่า “อินอินไม่ได้กลับมานานแล้ว ตั้งแต่เธอแต่งงานออกไปนอกเมืองก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรของเธอเลย”
เมื่อมองดูเจียงเสี่ยวไป๋อีกครั้ง เขาก็ชมเชยออกมาว่า “ช่างเป็นบุญวาสนาจริง ๆ ที่อินอินได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ ”
ได้ยินแบบนั้น หลินต้าเหว่ยก็รู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง เขาจึงชี้ไปทีเหล่าเฉินและแนะนำให้เจียงเสี่ยวไป๋ได้รู้จัก “นี่คือลุงเฉิน เป็นเพื่อนบ้านคนเก่าคนแก่ของเราเอง”
“สวัสดีครับลุงเฉิน ผมเจียงเสี่ยวไป๋”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายอย่างสุภาพ ก่อนจะยื่นบุหรี่จงฮว๋าที่เขาพกมาให้เหล่าเฉินไป
เหล่าเฉินรับมันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอามวนบุหรี่มาวางไว้ใต้จมูกของเขา แล้วสูดดมกลิ่นหอมของยาสูบ ซึ่งกลิ่นของมันหอมนุ่มกว่ายาสูบในท้องถิ่นเจี้ยนหยางที่เขาสูบมาก
แค่มองแวบแรกก็พอจะเดาได้ว่าเป็นบุหรี่ราคาแพง
เมื่อมองดูรถจี๊ปคันใหม่อีกครั้ง เหล่าเฉินก็รู้สึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา หรือบางทีอาจเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมืองหลวงของมณฑลก็เป็นได้
“เสี่ยวเจียง หากมีเวลาก็พาอินอินมาเที่ยวหาลุงบ้างนะ ลุงเองก็เห็นอินอินมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ได้ครับ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“งั้นฉันไปล่ะนะ ไม่อยากรบกวนการสนทนาของพ่อตาและลูกเขย” เหล่าเฉินกล่าวลาและเดินจากไปอย่างช้า ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ได้พบกับเพื่อนบ้านของหลินต้าเหว่ยหลายคนระหว่างทางที่พวกเขาเดินเล่นพูดคุยกัน ในตอนที่พวกเขาได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกเขยของหลินต้าเหว่ย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาได้ลูกเขยดี จึงเป็นธรรมดาที่หลินต้าเหว่ยจะรู้สึกพอใจ
ที่เขาเคยคัดค้านการแต่งงานของหลินเจียอินกับเจียงเสี่ยวไป๋ เพราะเขารู้สึกว่าลูกสาวของเขาจะต้องเสียหน้าหากไปแต่งงานกับคนธรรมดา แต่ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถจี๊ปคันใหม่ ทั้งยังสูบบุหรี่มียี่ห้อ เพื่อนบ้านเองก็กล่าวชมเชยเจียงเสี่ยวไป๋กันหมด แบบนี้เขาจะรู้สึกเสียหน้าได้อย่างไร ?
มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประทับใจใช่ไหมล่ะ !
หลังจากนั้น สองเดินก็คุยกันไปหัวเราะกันไปจนกลับมาถึงบ้าน
หลิวอี้ถิงเห็นแบบนั้นก็ตกตะลึง เจียงเสี่ยวไป๋ช่างเป็นลูกเขยที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่สามารถทำให้ชายชราหายโกรธได้เร็วขนาดนี้
เธอรู้ว่าเมื่อก่อนสามีของเธอไม่พอใจเจียงเสี่ยวไป๋มากแค่ไหน
หลินเจียอินทั้งมีความสุขและโล่งใจที่เห็นว่าพ่อและสามีของเธอมีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกัน ในที่สุด ความกังวลที่ระงับอยู่ในใจของเธอก็ถูกคลายออกไปได้เสียที
“พ่อคะ ดื่มชาก่อนค่ะ ! ”
หลินเจียอินเสิร์ฟชาให้กับหลินต้าเหว่ยอย่างมีความสุข
ขณะที่หลินต้าเหว่ยหยิบถ้วยน้ำชา ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น
ในยุคสมัยนี้ เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะติดตั้งโทรศัพท์บ้าน แต่หลินต้าเหว่ยเป็นถึงนายอำเภอของเจี้ยนหยาง ที่บ้านย่อมต้องมีโทรศัพท์ติดตั้งเอาไว้
หลินต้าเหว่ยวางถ้วยชาลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีนายอำเภอหลิน ผมหลี่ซิ่งฮวาเอง ผมเพิ่งได้รับข่าวด่วนว่ามีเหตุไฟป่าที่หมู่บ้านต้าชิ่งบนภูเขาชิ่งหยุน ขณะนี้ไฟป่าเริ่มลุกลามเป็นวงกว้างขึ้น สถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติครับ……”
หลี่ซิ่งฮวาเป็นเลขาของหลินต้าเหว่ย
หลินต้าเหว่ยลุกขึ้นยืนพรวดทันที และถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตไหม ? ”
หลี่ซิ่งฮวากล่าวว่า “ผมยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้เลยครับ เสี่ยวปิง ผู้ใหญ่บ้านต้าชิ่งได้พาชาวบ้านบางส่วนขึ้นไปดับไฟแล้ว”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “คุณแจ้งคนขับรถให้มารับฉันที่บ้านที ฉันจะไปดูที่เกิดเหตุ”
หลี่ซิ่งฮวากล่าวว่า “เหล่าเฉินเลิกงานกลับบ้านไปแล้วครับ เดี๋ยวผมจะให้คนไปแจ้งเขา น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านของท่าน”
ใบหน้าของหลินต้าเหว่ยดูตึงเครียดขึ้นมาทันที ไฟป่ากำลังลุกลาม เวลาแต่ละนาทีล้วนแทนชีวิตของผู้คน จะให้เขารอครึ่งชั่วโมงด้วยความอุ่นใจได้อย่างไร
เมื่อมองย้อนกลับไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็ตัดสินใจและพูดกับหลี่ซิ่งฮวา “ไม่ต้องไปเรียกคนขับหรอกไม่ทันกาล ฉันพอมีรถอยู่ เดี๋ยวฉันไปที่หมู่บ้านต้าชิ่งเอง คุณรีบโทรไปแจ้งกองดับเพลิงและตำรวจเถอะ แจ้งไปยังสำนักความมั่นคงสาธารณะเพื่อขอความร่วมมือด้วย แล้วก็อย่าลืมแจ้งโรงพยาบาลประจำอำเภอให้รีบส่งทีมแพทย์ไปยังที่เกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”
หลังจากพูดจบ หลินต้าเหว่ยก็วางสายและพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ช่วยขับรถพาพ่อไปที่หมู่บ้านต้าชิ่งหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
หมู่บ้านต้าชิ่งอยู่ห่างจากเขตอำเภอประมาณ 20 กิโลเมตร ทางไปหมู่บ้านเป็นถนนลูกรัง สภาพถนนไม่ค่อยดีนัก เส้นทางคดเคี้ยวทั้งยังเป็นหลุมเป็นบ่อ ต้องขอบคุณรถจี๊ปของเจียงเสี่ยวไป๋ที่มีสมรรถนะของรถออฟโรดที่ดี สามารถขับผ่านทางแบบนี้ได้สบาย ๆ
หลังจากผ่านไปกว่า 20 นาที เขาก็เห็นว่าไฟที่ไหม้ป่านั้นกำลังลุกโชนส่องแสงจ้าจนสามารถมองเห็นท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงได้อย่างชัดเจน มันก็ทำให้หลินต้าเหว่ยรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงเร่งคันเร่งขับรถเร็วขึ้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีก 20 นาทีกว่าจะไปถึงหมู่บ้านต้าชิ่ง
หมู่บ้านต้าชิ่งอยู่ในเชิงเขาชิ่งหยุน มีหลายร้อยครัวเรือนอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ
ในเวลานี้ ไฟป่าได้ลุกลามไปที่ยอดเขาอีกลูกแล้ว และกำลังเข้าใกล้หมู่บ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนหลายร้อยชีวิตไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่หรือคนชราต่างก็กำลังช่วยกันดับไฟ บางคนก็ถือถังน้ำ บางคนใช้พลั่วตักดินมาเทใส่กองไฟ บางคนใช้พลั่วตีเปลวไฟ และถึงกับมีบางคนถือกิ่งไม้มาตีไฟ
สรุปแล้ว แม้ว่าอุปกรณ์ดับเพลิงจะเรียบง่าย แต่ทุกคนก็ช่วยกันอย่างมีความหวัง
ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของชาวจีนในการปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาชาติต่าง ๆ ในโลก เมื่อเกิดภัยพิบัติหรืออันตรายใด ๆ ทุกคนจะลงทุนลงแรงช่วยกันอย่างมีสติโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและอันตราย ไม่คำนึงถึงกำไรหรือผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ หลินต้าเหว่ยเข้าไปถามชาวบ้านที่กำลังช่วยกันดับไฟว่า “เสี่ยวปิงอยู่ที่ไหน ? ”
ชาวบ้านคนนั้นพูดออกมาด้วยท่าทีหงุดหงิดไปว่า “คุณเป็นใคร ? แทนที่จะช่วยกันดับไฟ มาถามถึงผู้ใหญ่บ้านเสี่ยวปิงไปทำไม ? ”
หลินต้าเหว่ยจึงตอบไปว่า “ผมคือหลินต้าเหว่ย ! ”
ชาวบ้านคนนั้นพูดว่า “ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นหลินต้าเหว่ยหรือหลินเสี่ยวเหว่ย ถ้าคุณไม่ไปช่วยดับไฟก็อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลาแบบนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง ชาวบ้านคนนี้กล้าหาญจริง ๆ เขาถึงกับกล้าพูดแบบนั้นหลังจากได้ยินชื่อของนายอำเภอเลยหรือ ?
แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่าคนยุคนี้ไม่เหมือนคนยุคหลัง คนในชนบทส่วนใหญ่ไม่ได้ดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์ บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายอำเภอของตนเองชื่ออะไร
ไม่แปลกใจเลยที่ชาวบ้านจะไม่รู้ว่าหลินต้าเหว่ยเป็นใคร แม้เขาจะบอกซื่อแซ่แล้วก็ตาม
คิดได้แบบนั้น เขาจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “นี่คือนายอำเภอ พวกเราเพิ่งมาถึง และเราจำเป็นต้องขอให้ผู้ใหญ่บ้านเสี่ยวปิงมาอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจสถานการณ์ก่อน เพื่อที่เราจะได้วางแผนดับไฟป่าในครั้งนี้ได้”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋พูดเช่นนี้ออกมา หลินต้าเหว่ยถึงได้มีสติ
ใช่แล้ว ชาวบ้านบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือหลินต้าเหว่ย ?
ไม่นาน เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า “ฉันเป็นนายอำเภอเจี้ยนหยาง คุณช่วยบอกฉันทีว่าผู้ใหญ่บ้านเสี่ยวปิงอยู่ที่ไหน ? ”
ชาวบ้านรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นนายอำเภอ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเคยพบคือผู้ใหญ่บ้านเสี่ยวปิง ดังนั้นจึงไม่คาดคิดว่านายอำเภอในตำนานจะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องนี้ เขาชี้ไปในทิศทางหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไฟที่นั่นรุนแรงที่สุด ผู้ใหญ่บ้านเสี่ยวปิงพาคนไปช่วยกันดับไฟทางนั้นแล้ว”
“ขอบคุณ ฉันจะไปหาเขาก่อน คุณเองก็ระวังตัวด้วย ! ” หลินต้าเหว่ยรีบวิ่งไปที่นั่นทันทีหลังจากพูดจบ
เมื่อชาวบ้านเห็นแบบนั้นจึงพูดเสียงดังว่า “ผมกำลังจะยกถังน้ำไปทางด้านนั้นพอดี ผมจะบอกทางให้”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ไม่รีรอและรีบวิ่งตามหลินต้าเหว่ยไปพร้อมกับแบกน้ำเต็มถังไปด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋ตามพวกเขาไปติด ๆ เช่นกัน