ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 176 :ได้พบพ่อ
ตอนที่ 176 :ได้พบพ่อ
ก่อนที่หลินต้าเหว่ยจะเข้าประตูมา เขาก็ยิ้มและตะโกนเข้ามาในห้อง “อี้ถิง วันนี้ทำอะไรอร่อย ๆ กินหรือ ? กลิ่นหอมเชียว ! ”
หลังจากพูดจบ เมื่อเขาเข้ามาในประตูและเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นร่างสามร่าง ทั้งผู้ใหญ่และเด็กนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
สีหน้าของเขาแข็งทื่อไปทันที
“พ่อ ! ”
หลินเจียอินลุกขึ้นยืน เผชิญหน้ากับหลินต้าเหว่ย เธอเรียกพ่อของเธออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
หลังเลิกงานของวันธรรมดาหรือในฝันตอนดึก ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาคิดถึงลูกสาวคนนี้ ทว่าเมื่อลูกสาวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาจริง ๆ ความปรารถนาในใจของหลินต้าเหว่ยหายไปราวกับกระแสน้ำ และสิ่งที่ทำให้ใจของเขาเต้นแรงคือภาพในอดีตที่ลูกสาวไม่เชื่อฟังและยอมทิ้งเขาไปอยู่กับคนอื่น
ในฐานะผู้นำในพื้นที่ ซึ่งต้องเจอกับสภาวะการทำงานที่กดดัน เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนนี้ อารมณ์ของเขาก็ผันผวนอย่างรุนแรง และความโกรธที่ฝังลึกอยู่ในใจก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ราวกับภูเขาไฟที่สะสมอยู่กำลังจะปะทุออกมา
“คุณตา ! ”
ทว่าในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ไม่นานเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดดอกไม้สีชมพูก็เดินไปหาหลินเจียอิน เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาโตสีดำขี้เล่นคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความสงสัย
เสียงนี้ ร่างเล็ก ๆ ที่น่ารักนี้ ดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่สามารถระงับความโกรธที่กำลังจะระเบิดขึ้นมาให้ดับลงไปได้อย่างง่ายดาย
สายตาของหลินต้าเหว่ยจับจ้องไปที่เจ้าตัวเล็ก ใบหน้าที่น่ารักนั้นดูคล้ายกับหลินเจียอินตอนเป็นเด็ก เขารู้สึกได้ทันทีว่าหัวใจของเขาที่มันกำลังร้อนรุ่มดูอ่อนยวบลงไปชั่วขณะ
“หนูชื่ออะไรหรือ ? ”
หลินต้าเหว่ยยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น เขาถามออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยน
“หนูชื่อเจียงชานค่ะ ! ”
“เจียงชาน ? ชื่อเจียงชานนั้นเพราะมาก ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ! ”
เมื่อเห็นว่าพ่อเข้าใจผิดเกี่ยวกับชื่อของลูกสาว หลินเจียอินจึงรีบพูดว่า “พ่อ ชานที่เป็นชื่อของเธอมีความหมายว่าปะการัง ไม่ใช่ชานเหอที่แปลว่าภูเขาและแม่น้ำ”
หลินต้าเหว่ยอุทานออกมาทันทีว่า “อ้อ” โดยไม่สนใจลูกสาวของเขาเลย เขาเดินไปหาเจียงชานพร้อมกับพูดว่า “ชานชาน มาหาตาสิ”
ในขณะที่พูด เขาก็จับมือเล็ก ๆ ของเจียงชานเดินไปนั่งที่โซฟา
หลินเจียอินรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและได้แต่ยืนตรงนั้น แต่เธอก็โล่งใจเช่นกัน อย่างน้อยพ่อของเธอก็ไม่โกรธและไล่เธอออกไปเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อน
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ออกมาจากห้องครัว และกล่าวทักทายหลินต้าเหว่ยด้วยความเคารพ “พ่อครับ ! ”
หลินต้าเหว่ยหันหน้าไปมอง เขาไม่พูดอะไร แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองภรรยาด้วยความงุนงงราวกับถามว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเข้าครัวไปทำอาหารให้เรา ?
หลิวอี้ถิงยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “ฉันเองก็เพิ่งกลับมา และตอนที่ฉันกลับถึงบ้าน เขาก็ทำอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นฉันเลยไม่เข้าไปยุ่งน่ะ”
เมื่อเห็นว่าพ่อตาเพิกเฉยตนเอง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาพูดว่า “ผมกับเจียอินไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนพ่อกับแม่หลายปีแล้ว เราทั้งคู่จึงอยากทำอาหารเพื่อเป็นการขอโทษพ่อกับแม่ครับ”
โดยไม่รอให้พวกเขาได้ตอบกลับอะไร เขาก็พูดต่อทันทีว่า “อาหารใกล้เสร็จแล้วครับ เชิญทุกคนนั่งรอที่โต๊ะอาหารได้เลย”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในครัวต่อ
หลินต้าเหว่ยกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มองไปทางประตูห้องครัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
จะมาก็มา จะไปก็ไป อะไรของมัน !
หลินต้าเหว่ยพึมพำด้วยความโกรธในใจ
“คุณตาคะ ทำไมถึงไม่กลับมาพร้อมกับคุณยายล่ะคะ” เจียงชานนั่งอยู่บนตักของหลินต้าเหว่ย เธอดูมีความสุขมาก และถามนู่นถามนี่ออกมาด้วยความสงสัย
หลินต้าเหว่ยหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำถามเช่นนี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ชานชาน ทำไมหนูถึงขี้สงสัยขนาดนี้นะ ? ”
เจียงชานเอียงศีรษะของเธอแล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เพราะป่าป๊าและหม่าม๊ากลับบ้านด้วยกันทุกวันยังไงล่ะคะ ! ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขปรากฏขึ้น
ดูเหมือนเธอจะกำลังคิดเองตอบเอง หนูน้อยดีดนิ้วแล้วพูดว่า “อ้อ คุณตาเป็นพ่อของหม่าม๊า และคุณยายก็เป็นแม่ของหม่าม๊า งั้นทำไมถึงไม่กลับบ้านพร้อมกันล่ะคะ ? ”
หลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงต่างรู้สึกขบขันกับความน่ารักของเจ้าตัวน้อย ไม่นาน บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำอาหารเสร็จทั้งหมด และเริ่มเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ
หลิวอี้ถิงเห็นแบบนั้น เธอจึงรีบเข้าไปช่วย
แต่เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แม่ครับ ไปนั่งเถอะ วันนี้ผมจะทำทั้งหมดเอง”
หลินเจียอินที่อยู่ด้านข้างก็พูดว่า “แม่ ปล่อยให้เขาทำเถอะค่ะ”
เจียงชานยังกล่าวอีกว่า “ที่บ้าน ป่าป๊ามีหน้าที่ทำอาหารและล้างจาน ป่าป๊าบอกว่าให้หม่าม๊ากับหนูมีหน้าที่กินก็พอ”
หลินต้าเหว่ยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของเจียงชาน และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า เจียงเสี่ยวไป๋จะดีกับลูกสาวของเขาขนาดนี้ ที่สำคัญยังรับหน้าที่ทำอาหารและล้างจานให้อีกด้วย
ถ้าหลินเจียอินบอกเรื่องนี้กับเขา หัวเด็ดตีนขาดเขาก็คงจะไม่เชื่อ
แต่คำพูดเหล่านี้มาจากปากของเด็กน้อย มันทำให้เขาอดเชื่อไม่ได้
อืม แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่มีความสามารถอะไร แต่ผู้ชายคนนี้ก็ดีกับลูกสาวของเขามาก
หลินต้าเหว่ยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
อาหารเริ่มทยอยถูกยกออกมาทีละจาน มีทั้งกุ้งอบน้ำมัน ขาหมูตุ๋น หัวปลานึ่งพริกจักรพรรดิ หมูตุ๋นน้ำแดง ผักพริกหยวกหมู และอื่น ๆ
เมื่อหลิวอี้ถิงเห็นอาหารเหล่านี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อีกครั้ง
ไม่ต้องพูดถึงรสชาติของอาหารเหล่านี้ เพราะแค่หน้าตาก็น่ากินมากแล้ว มองแวบแรก รสชาติของมันคงจะจัดจ้านน่าดู ซึ่งเป็นรสชาติที่หลินต้าเหว่ยชอบเป็นพิเศษ
ดูเหมือนว่าลูกเขยจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
หลินเจียอินแปลกใจนิดหน่อย หัวปลานึ่งพริกจักรพรรดิและผัดพริกหยวกหมูเป็นอาหารจานโปรดของพ่อ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เคยถามเธอเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเขารู้ได้อย่างไร
หลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เปิดขวดเหมาไถทันที
“เมียจ๋า แก้วที่บ้านวางอยู่ตรงไหน ? ผมจะดื่มกับพ่อเขาเสียหน่อย”
หลินเจียอินรีบไปหาแก้วมาให้ทันที แต่เธอก็มองค้อนไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ ผู้ชายคนนี้จริง ๆ เลย กล้าตะโกนเรียกเธอแบบนี้ต่อหน้าพ่อแม่ของเธอได้อย่างไร เขาไม่ละอายใจเลยหรือไง ?
หลิวอี้ถิงยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเล็ก ๆ ของลูกสาว ลูกเขยและลูกสาวแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว แต่ยังเรียกกันหวานแบบนี้อยู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะดีมาก
ในสายตาของเธอตอนนี้ มองเจียงเสี่ยวไป๋แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเรื่องจริงที่แม่ยายจะพิจารณาดูลูกเขยของเธอ และยิ่งมองมากเท่าไหร่ เธอก็มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
หลินต้าเหว่ยพาเจียงชานไปที่โต๊ะอาหาร และเมื่อเห็นเมนูในจานใบใหญ่ เขาก็ได้แต่ตกตะลึง
“แค่ข้าวเย็นมื้อเดียว ทำอะไรเสียเยอะแยะ มันเปลือง ! ”
หลังจากอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดมันออกมา
บนโต๊ะใหญ่นี้มีทั้งเมนูหมูและปลา แต่มีผู้ใหญ่เพียง 4 คนและเด็กเล็กอีก 1 คน แบบนี้จะกินหมดได้อย่างไร ?
ขนาดฉันที่เป็นนายอำเภอ เวลามีงานเลี้ยงของผู้บังคับบัญชาก็ยังมีอาหารไม่พร้อมพรั่งขนาดนี้
หลิวอิ้ถิงเห็นแบบนี้ก็ดูจะหนักใจขึ้นมาทันที เธอพูดว่า “นานทีเสี่ยวเจียงจะมา อีกอย่างนี่ก็เป็นฝีมือของเขา คุณจะมัวตำหนิเรื่องพวกนี้ไปทำไม”
จากนั้นเธอก็หันไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “เสี่ยวเจียง อย่าไปฟังพ่อเขาเลย เขาเป็นผู้นำจนชิน จึงชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบนี้แหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตอบ
“มาเถอะครับพ่อ ผมจะรินเหล้าให้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เชิญให้หลินต้าเหว่ยนั่งลง เพื่อที่เขาจะได้รินเหล้าให้
หลินเจียอินนั่งอยู่ข้าง ๆ หลิวอี้ถิง เธอชี้ไปที่กุ้งเครย์ฟิชแล้วพูดว่า “แม่ นี่เป็นเมนูพิเศษที่เสี่ยวไป๋คิดสูตรขึ้นมาเอง มันคือกุ้งอบน้ำมัน อร่อยนะคะ ลองชิมดู”
ขณะที่พูด เธอก็คีบกุ้งหนึ่งตัวให้หลิวอี้ถิงและคีบอีกตัวให้หลินต้าเหว่ย
หลินต้าเหว่ยมองไปที่กุ้งเครย์ฟิช พลันนึกถึงหนังสือพิมพ์ที่เขาอ่านในวันนั้น และเริ่มคิดถึงเรื่องที่อ่านเจอ
“กุ้งหรือ ? ”
อำเภอเจี้ยนหยางนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรมขนาดใหญ่ ในฐานะนายอำเภอ เขารู้ดีถึงปัญหาของสัตว์ชนิดนี้ที่เป็นเหมือนศัตรูพืชในนาข้าว พวกมันเป็นอันตรายต่อต้นกล้า แต่ชาวนายังไม่มีวิธีกำจัดมันได้
นับตั้งแต่ที่เขาเห็นข่าวว่าหลินเจียอินเปิดร้านแฟรนไชส์ขายกุ้งอบน้ำมันลงหนังสือพิมพ์ครั้งที่แล้ว เขาก็โทรหาเพื่อนในเมืองชิงโจวและได้รู้มาว่าเมนูกุ้งเครย์ฟิชอบน้ำมันนั้นอร่อยมาก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีแฟรนไชส์กุ้งเครย์ฟิชอบน้ำมันในเจี้ยนหยาง เขาจึงไม่เคยลองกินเลยสักครั้ง
เดิมที เขามีประชุมที่เมืองชิงโจวในสัปดาห์หน้า จึงคิดว่าจะแอบไปชิมดูสักครั้งด้วยตัวเอง แล้วพิจารณาว่าควรจะเอาแฟรนไชส์กุ้งเครย์ฟิชอบน้ำมันเข้ามาเปิดในเจี้ยนหยางดีหรือไม่ เพื่อเป็นการช่วยเกษตรกรกำจัดศัตรูพืชไปในตัวด้วย
โดยไม่คาดคิด ตอนนี้เขาสามารถกินกุ้งอบน้ำมันได้ที่บ้านแล้ว โดยที่ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองชิงโจว
สิ่งสำคัญคือกลิ่นหอมของกุ้งอบน้ำมันยังตลบอบอวลลอยไปเต็มบ้าน
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรักษาหน้าเอาไว้ เขาก็คงจะหยิบมันมากินแล้ว