ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 172 :นายมีทุนพอจริงหรือ
ตอนที่ 172 :นายมีทุนพอจริงหรือ
เฉินหยวนเฉาตกตะลึงจนลุกขึ้นยืน เป็นเวลานานกว่าเขาจะได้สติแล้วนั่งลงอย่างช้า ๆ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคนหม้อไฟสองสามครั้ง แล้วพูดติดตลกว่า “ฉันก็สงสัยอยู่ตั้งนานว่านายไปเอาเนื้อวัวมาจากไหน ที่แท้เป็นเพราะวัวมันเห็นนายโม้จนตกใจตายนี่เอง มันเลยต้องมาอยู่ในหม้อไฟแทน ! ”
ถ้าเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะลงทุนให้หลักพันหรือหลักหมื่น เขาก็คงจะเชื่อ
แต่ถ้าบอกว่าจะลงทุนให้เขาหลักล้านแบบนี้ เขาคิดว่ามันน่ากลัวเกินไป
เขาไม่เชื่อ
หวังซิ่วจวี๋จึงได้พูดขึ้นมาว่า “หยานเฉา อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขาเลย รีบกิน รีบกิน ! ”
เจียงเสี่ยวเยว่เองก็กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ตอนแรกพี่ก็ว่านายดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วนะ แต่ทำไมถึงยังชอบพูดเพ้อเจ้อเหมือนเดิมล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่พวกเขาไม่เชื่อเอง
ทว่าในตอนนั้น หลินเจียอินรู้ดีว่าเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋พูดไปอย่างนั้น เขาต้องมีความคิดอะไรบางอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นมาว่า “พี่เขย หากพี่มีความคิดอยากตั้งโรงงานจริง ๆ ก็ควรฟังเขาก่อน เรื่องเงิน 1 ล้าน เขาสามารถลงทุนให้พี่ได้จริง ๆ ”
เปรี้ยง !
ราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงในตอนกลางวันแสก ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอินนั้นน่าเชื่อถือกว่ามาก ดังนั้นเมื่อเฉินหยวนเฉาและคนอื่นได้ยินเธอพูดแบบนั้นออกมา ในใจของพวกเขาก็เริ่มเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้ว มันน่าจะเป็นเรื่องจริง
เจียงเสี่ยวไป๋สามารถลงทุนเงิน 1 ล้านให้เขาได้จริงงั้นหรือ !
ในตอนนั้น เฉินหยวนเฉา เจียงเสี่ยวเยว่ หวังซิ่วจวี๋ และเจียงเสี่ยวโจวต่างก็ตกตะลึง พวกเขาอ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่เป็ดลงไปได้ทั้งฟองแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปมองหลินเจียอิน หลังจากที่ผ่านเรื่องเมื่อคืนมา เธอกลับกล้าออกหน้าแทนเขา ทั้งยังช่วยพูดแทนเขาด้วย !
ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้
เจียงเสี่ยวไป๋แอบดีใจอยู่คนเดียว ดูเหมือนว่าการสานสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งของสามีภรรยายังคงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย !
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหยวนเฉาก็กลับมามีสติอีกครั้ง และพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “เสี่ยวไป๋ ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำไป”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แต่โบกมือปัด
เฉินหยวนเฉาจ้องไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “ฉันไม่อยากให้นายลงทุนมากมายขนาดนั้นหรอก แค่นายลงทุนหลักหมื่น ฉันก็สามารถตั้งโรงงานในหมู่บ้านได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามว่า “แล้วพี่เขยมีแผนจะตั้งโรงงานอะไร ? ”
เฉินหยวนเฉาดูเหมือนจะคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มานานแล้ว เขาจึงพูดว่า “พวกเราชาวไป๋หยางทำเต้าหู้แผ่นมาช้านาน ซึ่งเป็นสูตรที่ดีที่สุด ฉันก็เลยอยากทำโรงงานผลิตเต้าหู้แผ่น”
อาศัยอยู่บนภูเขาหากินบนภูเขา อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำหากินในแม่น้ำ หมู่บ้านไป๋หยางปลูกถั่วเหลืองที่ให้ผลผลิตสูง นอกจากจะบดทำเป็นเต้าหู้ถั่วเหลืองแล้ว ชาวไป๋หยางยังชอบทำเต้าหู้แผ่นอีกด้วย
ถือได้ว่าความคิดของเฉินหยวนเฉาเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพท้องถิ่นและสามารถจับจุดลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
เจียงเสี่ยวไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางนึกถึงผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองในชาติที่แล้ว แต่เท่าที่เขาจำได้ เขายังไม่พบยี่ห้อเต้าหู้แผ่นที่โด่งดังเลย
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรออกมา เฉินหยวนเฉาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย จึงกล่าวออกมาว่า “เป็นอะไรไป ทำโรงงานผลิตเต้าหู้แผ่นไม่ได้หรือ ? ”
“อ้อ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมามีสติอีกครั้ง และพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้น”
เขากล่าวต่ออีกว่า “ผมแค่คิดว่าตลาดเต้าหู้แผ่นนั้นค่อนข้างจำกัด ไม่สามารถขยับขยายให้มันไปไกลกว่านี้ได้”
เฉินหยวนเฉากล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเกว่า “ที่จริงแล้วหากเราสามารถตั้งโรงงานแปรรูปถั่วเหลืองเป็นเต้าหู้แผ่นได้ เราก็จะขายได้ในราคาที่แพงกว่าการขายถั่วเหลืองธรรมดา แต่คนในชนบทอย่างเรา ๆ จะสามารถเปิดโรงงานขนาดใหญ่แบบรัฐและเป็นเจ้าของกิจการได้ที่ไหนกัน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ที่จริงแล้วการตั้งโรงงานเป็นเรื่องง่าย ตราบใดที่เรามีเงิน ที่ดินและแรงงาน แต่สิ่งสำคัญคือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานจะต้องวางตลาดได้ มูลค่าเพิ่มของเต้าหู้แผ่นมีไม่มากนักและเกณฑ์การผลิตก็ต่ำ ซึ่งยอดขายในอนาคตอาจจะมีปัญหาได้”
สีหน้าตื่นเต้นในตอนแรกของเฉินหยวนเฉาจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นดวงตาของเขาก็เศร้าหมองลง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะยังไม่ยอมแพ้ เพราะที่ผ่านมาเขาก็ต่อสู้ดิ้นรนมาหลายครั้ง เขาจึงพูดเสียวแผ่วว่า “แล้วถ้าเราจะสร้างโรงงานเล็ก ๆ ขึ้นมา ? แม้จะได้ผลผลิตไม่มาก แต่ก็น่าจะขายได้”
ถึงอย่างนั้น เขาไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาพูด และไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “พี่เขย ที่ผมบอกว่าผมจะลงทุนให้ 1 ล้าน ผมพูดจริง ผมจะถอนมาให้พี่ในอีก 3 วัน แล้วเรามาคุยเรื่องแผนงานหลังจากที่ผมคิดดีแล้ว ! ”
ห๊ะ ?
เฉินหยวนเฉาตกตะลึง
หมายความว่าจะไม่ทำโรงงานผลิตเต้าหู้แผ่นใช่ไหม ?
แล้วทำไมเขาถึงอยากลงทุนให้ตั้ง 1 ล้าน ?
เขาชักเกิดความรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
หวังซิ่วจวี๋จ้องมองลูกชายของเธออยู่นาน เมื่อเห็นว่าเขาคุยกับลูกเขยเสร็จแล้ว เธอจึงพูดขัดขึ้นมาว่า “นี่ เจ้ารอง ลูก……มีเงิน 1 ล้านจริง ๆ หรือ ? ”
แม้ว่าหลินเจียอินจะพูดออกมาแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
เงินในบัญชีของหลินเจียอินมีมากกว่า 1 ล้านแน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะมีมากกว่า 3 ล้านแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา
1 ล้านยังทำให้ตกใจได้ขนาดนี้ ถ้าบอกว่ามี 3 ล้าน จะไม่เป็นลมกันไปก่อนหรือ ?
หลังจากได้รับคำยืนยันจากลูกชายของเธอ หวังซิ่วจวี๋ก็รู้สึกตื่นเต้นและพูดว่า “ในเมื่อลูกมีเงินมากมายขนาดนี้ กิจการก็มีเป็นของตัวเองแล้ว ยังคิดจะลงทุนสร้างโรงงานไปอีกทำไม ? ลูกควรเอาเงินไปฝากประจำในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยทุกปีไม่ดีกว่าหรือไง ! ”
เจียงเสี่ยวเยว่ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เสี่ยวไป๋ ฟังที่แม่บอกเถอะ แม่พูดมีเหตุผล”
จ้าวเต๋อหรงพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่ เสี่ยวไป๋ แม่เขาพูดถูก ! ”
แม้แต่เจียงเสี่ยวโจวก็ยังพูดว่า “เสี่ยวไป๋ เอาเงินไปฝากธนาคารปลอดภัยกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่คือแนวคิดของคนสมัยนี้ สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่ความมั่งคั่ง แต่เป็นความมั่นคง
พวกเขาพอใจกับความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต
แต่เจียงเสี่ยวไป๋นั้นแตกต่างออกไป เขากลับมาเกิดใหม่ เขาได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของคนรุ่นหลังและอารยธรรมทางเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นมาในยุคหลัง
ความจริงของมนุษย์นั้น เมื่อเห็นของที่ดีกว่าจะไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่และจะต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะคนเกิดใหม่ เขามีความทรงจำในชาติก่อนและรู้ถึงแนวโน้มการพัฒนาในอนาคต ซึ่งเขาสามารถนำพาครอบครัวและญาติพี่น้องไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้
เขาจึงพูดว่า “พี่เขย ผมขอเวลาคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน แล้วผมจะให้คำตอบพี่ภายใน 2-3 วัน แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็เตรียมตัวสร้างโรงงานไว้ได้เลย”
เฉินหยวนเฉารู้สึกดีใจมาก ในที่สุดเขาก็เห็นแสงสว่างที่จะนำพาคนในหมู่บ้านให้ร่ำรวยขึ้น
หลังจากกินข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว เฉินหยวนเฉาและเจียงเสี่ยวเยว่ก็กล่าวลาทุกคนและกลับบ้านไป
เจียงเสี่ยวไป๋ว่างพอดี จึงขับรถไปส่งพวกเขากลับบ้าน
“พี่ ดูสิว่ารถวิ่งเร็วแค่ไหน ! ”
เฉินหงนั่งอยู่ในรถ เด็กหญิงพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เฉินปิงกลับรู้สึกหดหู่ เขาไม่อยากกลับบ้านเลย บ้านของอารองไม่เพียงแต่มีเพื่อนเล่นมากมาย แต่ยังมีอาหารอร่อย ๆ และมีทีวีให้ดูอีกด้วย
เมื่อเห็นลูกชายของเธอไม่ตอบน้องสาว เจียงเสี่ยวเยว่จึงได้สะกิดเขา “น้องสาวกำลังคุยกับลูกอยู่นะ”
เฉินปิงจึงหันมาพูดว่า “แม่ครับ ผมยังอยากเล่นที่บ้านอารองอยู่เลย”
เจียงเสี่ยวเยว่พูดว่า “พรุ่งนี้วันจันทร์ ลูกต้องไปโรงเรียน”
เฉินปิงรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังแล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวปิง ช่วงปิดเทอมก็พาน้องสาวมาอยู่ที่บ้านอาสิ”
เฉินปิงได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขขึ้นมาทันที เขามองขึ้นไปที่เจียงเสี่ยวเยว่แล้วพูดว่า “แม่ ถ้าปิดเทอม ผมขอมาอยู่ที่บ้านของอารองได้ไหม ? ”
โดยไม่รอให้เจียงเสี่ยวเยว่พูด เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “เดี๋ยวอาจะมารับไปเล่นเอง แม่ของนายจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“เยี่ยมไปเลย ! ”
เฉินปิงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น “ผมอยากพักร้อนที่บ้านอารองของผม ! ”
เจียงเสี่ยวเยว่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ชิ, แม่ไม่เคยเห็นใครหัวรั้นเหมือนลูกมาก่อนเลย”
ทว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความรักและความสุข
หมู่บ้านไป๋หยางอยู่ห่างจากเจียงวานประมาณ 12 กิโลเมตร เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถไปที่นั่นในเวลาไม่ถึง 20 นาที
แต่ทว่า รถของเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่สามารถขับตรงไปที่หน้าบ้านของเฉินหยวนเฉาได้
เพราะบ้านของเขาอยู่ห่างจากถนนเส้นหลักไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นเล็กที่ต้องเดินเท้าเข้าไป
ทั้งห้าคนลงจากรถ จากนั้นเฉินหยวนเฉาก็พูดขึ้นว่า “ลงมาก่อนเสี่ยวไป๋ เข้าบ้านไปกินข้าวเที่ยงก่อนแล้วค่อยกลับ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ แล้วพูดว่า “วันนี้ผมยังมีธุระอยู่ ไว้วันหลังผมจะมากินด้วย”
ขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบถุงสองใบออกมาจากหลังรถ แล้วยื่นให้เฉินหยวนเฉา จากนั้นจึงหยิบธนบัตรสิบหยวนปึกหนึ่งออกมาให้เขา
เฉินหยวนเฉาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นายทำอะไรน่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมื่อก่อน ตอนที่ผมทำตัวไม่เอาไหน ผมได้หยิบยืมเงินจากพี่สาวไปไม่น้อย วันนี้ผมเลยตั้งใจจะเอาเงินมาคืนให้พี่”
เจียงเสี่ยวเยว่มองไปที่ปึกธนาบัตรสิบหยวนปึกใหญ่ เธอกะด้วยสายตาน่าจะมีอย่างน้อย 1,000 หยวน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายยืมไปแค่ไม่เท่าไหร่เอง ทำไมต้องคืนเสียเยอะด้วย ? ”
เฉินหยวนเฉาเองก็พยักหน้า นั่นคือสิ่งที่เขาเองก็สงสัยเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เงินที่ผมให้เกินไปก็ถือซะว่าเป็นค่าหนังสือ สมุด ชุดนักเรียนให้กับหลานชายและหลานสาวของผมก็แล้วกัน ในฐานะอา ผมไม่เคยซื้ออะไรให้พวกเขาเลย”
“แต่มันมากเกินไป ! ”
เฉินหยวนเฉายืนกรานที่จะไม่เอาเงินส่วนเกินนั้นของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงกล่าวว่า “มันก็จริงที่ฉันกับพี่สาวของนายเคยไปทวงเงินนายอย่างหยาบคาย แต่ตอนนี้เรามีเงินพอกินพอใช้อยู่บ้าง เราเป็นญาติกัน ไม่จำเป็นต้องให้มากขนาดนี้หรอก”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เฉินหยวนเฉาก็ไม่สามารถปฏิเสธเจียงเสี่ยวไป๋ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรับมัน
ในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะจากไป เฉินหยวนเฉาก็กล่าวว่า “อย่าลืม เมื่อนายคิดจะสร้างโรงงานให้รีบมาหาฉัน ฉันจะพาไปดูที่ดิน เพราะที่ตรงนั้นมีคนเสนอให้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ได้ครับ รอข่าวดีจากผมแล้วกัน ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็สตาร์ทรถออกไป
“ต่อไป ได้เวลาไปเยี่ยมพ่อตาของฉันแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำกับตัวเองขณะขับรถ