ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 171 :คำพูดสุดสะพรึง
ตอนที่ 171 :คำพูดสุดสะพรึง
ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบสงบ !
……
ที่ไหนกันล่ะ ! เจียงเสี่ยวไป๋เฝ้ารอช่วงเวลานี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว เขาต้องกลับมาเกิดใหม่ถึงจะได้เป็นเจ้าของหลินเจียอินอย่างแท้จริงอีกครั้ง เขาจะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?
แต่น่าเสียดายที่แพลตฟอร์มนี้ห้ามมีการใส่รายละเอียดเรื่องพวกนี้ !
เพราะเว็บนี้ลง Nc ไม่ได้ เลยต้องเว้นคำบรรยายไปกว่า 2 หมื่นคำและพิมพ์ได้แค่ประโยคสั้น ๆ ว่า ‘ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบสงบ ! ’ แทน
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่เบาสบาย
แต่ก่อนที่เขาจะลืมตา ก็รู้สึกเจ็บแขนเล็กน้อย ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ที่หนักมากดทับไว้ และเมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ก็พบว่ามีใครบางคนนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขาตกใจ เธอมาอยู่ในอ้อมแขนเขาได้ยังไง ?
ทว่า……จู่ ๆ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย
ส่วนเรื่องอื่นนั้น เขาปะติดปะต่อมันไม่ได้เลย !
แต่ดูจากเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว
“ดื่มหนักจนพลาดความรู้สึกตอนนั้นไปเลย ! ”
ในขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังมีความสุขอยู่นั้น เขาก็คร่ำครวญอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากกลับมาเกิดใหม่ที่เขาได้ครอบครองเรือนร่างของหลินเจียอิน แต่เขากลับเมาและเลอะเลือนจนจำความงามของช่วงเวลานั้นไม่ได้เลย
ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ
ไม่อย่างนั้น……ทำซ้ำแบบเมื่อคืนอีกสักรอบ เพื่อชดเชยช่วงเวลาเมื่อคืนนี้ดีไหม ?
ในขณะที่ความคิดนี้กำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น จู่ ๆ ก็มีเสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงดัง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” จนคนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง
หลินเจียอินลืมตาขึ้นมา และสังเกตเห็นว่าท่านอนของเธอ……ดูไม่เหมาะสม
โธ่…เมื่อคืนเธอเหนื่อยมาก จนในที่สุดก็เผลอหลับไปในอ้อมแขนของเขา
เธอรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เพราะเธออายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน !
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็สบเข้ากับสายตาที่เร่าร้อนของเจียงเสี่ยวไป๋พอดี
ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้มีแผนที่จะต่ออีกรอบนะ !
“คุณให้ฉันได้พักร่างบ้างเถอะนะ ! ”
หลินเจียอินตกใจและรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเธอเร็วพอที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ
“อ๊า……”
น่าอายชะมัด !
หลินเจียอินเด้งตัวลงจากเตียงแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังเปลือยเปล่า เธอไม่ได้สวมอะไรเลย
เธอเอามือปกปิดจุดสำคัญบนร่างกายแล้วรีบเดินถอยมาหยิบเสื้อผ้าจะเอามาสวม แล้วออกไป แต่เธอก็เดินเซจนเกือบล้มไปที่พื้น
ขาทั้งสองของเธออ่อนแรงไปหมด !
“เมียจ๋า ระวัง……”
เจียงเสี่ยวไป๋อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“คุณจะเสียงดังทำไม ต้องโทษคุณคนเดียวเลย ! ”
หลินเจียอินพูดออกมาด้วยความโกรธ เธอคว้าเสื้อผ้าข้างเตียง วิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง ! ’
“เอ่อ……”
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เขามองตาละห้อยไปที่ประตูห้องน้ำ เงาร่างของภรรยารักสะท้อนออกมาจากประตูกระจกฝ้ามัว แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นสัดส่วนร่างงามนั้นได้อย่างชัดเจน เสียงน้ำจากหัวฝักบัวดัง “ซ่า ซ่า” เข้ามาในหู สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ไม่อาจดับไฟในใจของเขาได้เท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนการเทน้ำมันลงไปในกระทะร้อน ที่มันกำลังเดือดจนหยุดแทบไม่อยู่
ทรมาน !
บางทีมันอาจจะเป็นเช่นนั้น
หลินเจียอินออกมาจากห้องน้ำโดยแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ได้แต่กลืนน้ำลายของเขาและเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียดาย
ดื่มด่ำไปกับค่ำคืนอันแสนสวยงาม แต่กลับพลาดเช้าอันแสนวิเศษไป
แต่วันนี้ดวงอาทิตย์ส่องแสงแล้ว หวังว่าวันต่อไปจะดูสดใสยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋อาบน้ำเสร็จ อารมณ์ของเขาก็สงบลงได้
เขายังไม่รีบร้อนไปทำงาน
ครอบครัวของพี่เขยมาเป็นแขกที่บ้าน ดังนั้นถ้าเขาออกไปตอนนี้จะดูไม่เหมาะสม
โชคดีที่เครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปที่เขาทำตุนไว้ในแต่ละวันมีเพียงพอให้ใช้ไปได้อีกหลายวัน
ยิ่งไปกว่านั้น เฝิงเยี่ยนหงและหลัวเจาตี้ก็ยังรับหน้าที่ดูแลธุรกิจพะโล้ด้วย เขาจึงไม่ต้องกังวลกับมัน
ดังนั้น วันนี้เขาจึงสามารถอยู่บ้านได้อย่างสบายใจ
ที่ผ่านมา ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกของเขามักจะกินอาหารเช้าตามแบบฉบับของคนยุคหลัง คือจะเน้นอาหารที่มีแป้ง เช่น บะหมี่ เต้าหู้ ซาลาเปา เกี๊ยว โจ๊ก ปาท่องโก๋เป็นต้น
แต่เมื่ออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เขาจะกินอาหารแบบนั้นไม่ได้
เพราะคนในชนบทนั้นมักจะกินข้าวเช้าทุกมื้อ
สาเหตุหลักเพราะคนในชนบทส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร พวกเขาต้องใช้แรงงานและมักจะไปทำไร่ไถนาหลังจากกินข้าวเสร็จ ดังนั้นการกินซาลาเปา บะหมี่ หรืออาหารจำพวกแป้งไม่ค่อยอยู่ท้องพวกเขา อาหารสามมื้อของคนในชนบทจึงไม่มีความแตกต่างกัน พวกเขาจะเน้นกินข้าวเป็นหลัก
ถ้าอิ่มท้อง ก็จะทำงานได้นานขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แต่ทำตามความเคยชินของพวกเขา เช้ามาเขาก็ต้องหุงข้าวและทำกับข้าว
แต่จำนวนคนที่ทานอาหารเช้านี้กลับลดลงครึ่งหนึ่ง
เพราะเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยาง และเจียงไห่โปตั้งวงเล่นไพ่เจาหูตลอดทั้งคืน เพิ่งจะเข้านอนก่อนรุ่งสางนี้เอง
มนุษย์นั้นแปลกประหลาด ทั้งที่รู้ว่าการเล่นไพ่ทั้งคืน เช้ามาก็ต้องง่วง แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่นจนไม่ยอมหลับยอมนอน
ดูเหมือนว่าเล่นไพ่เจาหูในตอนกลางคืนจะสบายกว่าการเล่นไพ่ในเวลากลางวัน
นอกจากนี้ ครอบครัวของเจียงเสี่ยวจี๋ก็ได้กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ส่วนเจียงเสี่ยวเฟิงไปรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชแต่เช้า คงอีกนานกว่าจะกลับมา
ดังนั้นคนที่ยังอยู่ในบ้านก็จะมีแค่เฉินหยวนเฉา เจียงเสี่ยวเยว่ เจียงเสี่ยวโจว จ้าวเต๋อหรง หวังซิ่วจวี๋ เจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอิน และเด็ก ๆ
ในตอนเช้า พวกเขาจะจัดโต๊ะอาหารสองโต๊ะ
เป็นโต๊ะของผู้ใหญ่ 1 โต๊ะ และโต๊ะเด็กอีก 1 โต๊ะ
“พี่เขย เช้านี้ดื่มเพิ่มอีกหน่อยไหม ? ”
เมื่ออาหารถูกเสิร์ฟ เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยิบเหมาไถออกมาและพูดด้วยรอยยิ้ม
คนในชนบทมักจะมีนิสัยดื่มเหล้าตั้งแต่เช้า ดังนั้นเขาจึงถามตามความเคยชิน
ทันทีที่เจียงเสี่ยวโจวเห็นขวดเหมาไถ เขาก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนใครทันที “ดื่มกันไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปหาปลาแล้ว”
เฉินหยวนเฉาจึงกล่าวว่า “ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”
เมื่อวานเขาทั้งกินทั้งดื่มไปมาก จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแฮงค์ไม่หายดี
“เอาล่ะ งั้นมากินข้าวกันก่อนดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ใครต่อ เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีนิสัยดื่มตอนเช้าเหมือนกัน หากเฉินหยวนเฉาต้องการดื่ม เขาก็ทำได้เพียงฝืนดื่มเป็นเพื่อน แต่หากเฉินหยวนเฉาไม่ดื่ม เขาก็ยิ่งยินดี
เพราะการพูดคุยในขนณะที่ดื่มไปด้วย จะง่ายกว่าไม่ได้ดื่ม
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ถามเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในหมู่บ้านไป๋หยาง ทำให้เขาพอรู้ว่าผลผลิตถั่วเหลืองในหมู่บ้านไป๋หยางอยู่ที่ประมาณ 80,000 ชั่งต่อปี อีกทั้งยังเป็นถั่วเหลืองคุณภาพสูงด้วย
อย่างไรก็ตาม ถั่วเหลืองไม่ใช่อาหารหลัก ดังนั้นราคาของมันจึงต่ำกว่าราคาข้าว ข้าวโพดและข้าวสาลีเล็กน้อย ซึ่งปัจจุบันราคาอยู่ที่ชั่งละ 8 เจี่ยวเท่านั้น
“นายถามเรื่องนี้ไปทำไม ? ”
หลังจากที่เฉินหยวนเฉาพูดจบ เขาก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “พี่เขย ถั่วเหลืองในหมู่บ้านของพี่ ถ้าขายออกไปคงได้เงินไม่เท่าไหร่ พี่เคยคิดที่จะก่อตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองบ้างไหม ? ”
เฉินหยวนเฉาส่ายหน้า แล้วพูดว่า “การตั้งโรงงานต้องใช้เงินทุนเป็นอันดับแรก เทคโนโลยีเป็นอันดับสอง อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายในการหาซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักรแปรรูป คิดว่าการตั้งโรงงานมันง่ายดายงั้นหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพี่อยากทำหรือเปล่า ? ”
เฉินหยวนเฉาวางชามและตะเกียบในมือลง ก่อนจะจ้องไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาเพ่งพินิจ “นายหมายความว่ายังไง ? ”
ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดหาทางออกให้กับหมู่บ้าน เพราะเขาเองก็อยากทำให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ดีกว่านี้ แต่เขาลองดิ้นรนเพื่อหาทางออกแล้ว ก็ยังไม่เคยสำเร็จสักที
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ มันได้ทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ เมื่อก่อนไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 2 เดือน เขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขามีความสามารถ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีแผนการอะไรดี ๆ แล้วก็ได้
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถ้าพี่อยากทำ ผมสามารถช่วยได้”
สีหน้าของเฉินหยวนเฉาเริ่มจริงจังขึ้นมาทันที จากนั้นเขาได้พูดว่า “การตั้งโรงงานไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ถ้าไม่มีเงินหลายพันหยวนก็ทำอะไรไม่ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มออกมา “พี่เขย พี่คิดน้อยเกินไป เงินไม่กี่พันหยวนจะทำอะไรได้ หากพี่สนใจที่จะตั้งโรงงานจริง ๆ ผมจะลงทุนให้พี่ 1 ล้านหยวน ! ”
อะไรนะ !
เฉินหยวนเฉาลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ คิดว่าเขาได้ยินผิดไป
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่จ้าวเต๋อหรง เจียงเสี่ยวโจว และหวังซิ่วจวี๋ที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันก็ยังตกตะลึง
เงิน 1 ล้านหยวนมันหมายความว่าอะไร ?
อย่าคิดว่าพวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น !
เจียงเสี่ยวไป๋จะโม้เก่งเกินไปแล้ว !