ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 168 :ไม่ทันตั้งตัว
ตอนที่ 168 :ไม่ทันตั้งตัว
เจียงเสี่ยวไป๋เปิดโทรทัศน์ และแน่นอนว่ามันกำลังฉายละครโทรทัศน์เรื่องจอมคนผงาดโลกของเมื่อคืนนี้ซ้ำ
เมื่อได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังขึ้น ทุกคนที่กำลังสนทนาอยู่ในห้องนั่งเล่นต่างตกใจ พวกเขาแต่ละคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ เจียงเสี่ยวไป๋เปิดโทรทัศน์แค่ตอนหลังเขากลับมาจากในเมืองเท่านั้น ฉะนั้นพวกเขาจึงคิดว่าสถานีโทรทัศน์จะออกอากาศเฉพาะตอน 18.00 – 22.00 น. เท่านั้น
“ชานชาน เรียกลูกพี่ลูกน้องของหนูมาดูโทรทัศน์เร็ว”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินออกจากห้องโถงด้านข้างแล้วตะโกนบอกเจียงชานที่กำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน
“ว้าว มีโทรทัศน์ให้ดูตอนกลางวันด้วย ! ”
เจียงชานอุทานอย่างตื่นเต้น จากนั้นจึงหันไปเรียกเจียงถิงและเด็กคนอื่นที่เล่นอยู่กับเธอ “ไปเถอะ ไปดูละครโทรทัศน์กัน”
เจียงซง เจียงเสียน และเด็กคนอื่นจากเจียงวานเคยดูละครโทรทัศน์ที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋มาแล้ว เมื่อพวกเขาได้ยิน เจียงเสี่ยวไป๋เรียกเจียงชาน พวกเขาก็วิ่งไปที่ห้องโถงด้านข้างอย่างรู้งาน มีเพียงเฉินปิงและเฉินหงเท่านั้นที่ยังไม่ได้ดูโทรทัศน์ ทั้งสองจึงไม่รู้ว่าโทรทัศน์คืออะไร
“ชานชาน โทรทัศน์คืออะไรหรือ ? ” เฉินปิงถาม
เจียงชานกล่าวว่า “โทรทัศน์มีไว้สำหรับฉายละคร มีผู้คนอยู่ในนั้นมากมาย พวกเขายังสามารถต่อสู้และบินได้ด้วยนะ…..”
“คนบินได้ด้วยหรือ ? ” เฉินปิงอ้าปากค้าง พูดด้วยความเหลือเชื่อ
“อื้อ……”
เจียงชานพยักหน้าซ้ำ แล้วพูดว่า “ฉันเองก็บอกได้ไม่ชัดเจน แต่มันสนุกและน่าทึ่งมาก พวกเธอมาดูด้วยกันสิ แล้วจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร”
ขณะที่เธอพูดอยู่นั้น เธอก็จับมือของเฉินหงที่ขี้อายแล้วพาวิ่งไปที่ห้องโถงด้านข้างด้วยกัน
ในไม่ช้า ห้องโถงเล็ก ๆ ด้านข้างก็เต็มไปด้วยเด็กเจ็ดถึงแปดคน ทุกคนดูโทรทัศน์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไปที่ห้องนั่งเล่น เจียงไห่หยางจึงพูดว่า “ตอนกลางวันมีละครโทรทัศน์ให้ดูได้อย่างไร ? ”
เมื่อคืนเขายังเป็นหนึ่งคนที่มายืนรอเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อดูละครจอมคนผงาดโลกตอนจบ แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาช้า เขาจึงไม่ได้ดู
ในขณะนี้ ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังทะลุผนังเข้ามา ละครเรื่องจอมคนผงาดโลกกำลังฉายอยู่บนโทรทัศน์
อีกทั้งยังเป็นตอนจบด้วย !
เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ และอยากจะเดินเข้าไปดูทันที
แต่ดูจะไม่เหมาะสม
วันนี้เขาเป็นเจ้าบ้าน อีกทั้งตอนนี้ยังมีแขกเต็มห้องโถง ถ้าทิ้งพวกเขาไว้ ส่วนตัวเองหนีไปดูละคร มันจะดูไม่มีกาลเทศะไปหน่อย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายในระหว่างวัน สถานีโทรทัศน์มักจะออกอากาศซ้ำรายการของรอบดึก หากพวกพ่ออยากดูก็ไปดูได้เลย”
ทันใดนั้น แขกก็ต่างแยกย้ายไปที่ห้องโถงด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม ห้องโถงด้านข้างไม่ได้กว้างขวางมาก ถ้าผู้คนไปกันจนหมด ก็จะไม่มีพื้นที่ว่างให้ผู้อาวุโสบางคนนั่ง แม้จะรู้สึกตื่นเต้นและอยากดูเมื่อได้ยินเสียงละครในโทรทัศน์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ลุกออกจากห้องนั่งเล่นไปจนหมด บางคนก็ยังอยู่ห้องนั่งเล่นแล้วสนทนากันต่อ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยกับทุกคนอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงไปที่ห้องครัว
วันนี้เขามีแขก จึงทำอาหารเยอะเป็นพิเศษ หวังซิ่วจวี๋และหลินเจียอินมาช่วยทำอาหารเช่นกัน
พวกเขาทั้งสามกำลังทำอาหารและพูดคุยกันอยู่ในครัว
“เสี่ยวไป๋ ตอนนี้ลูกได้ช่วยเหลือทุกคนทั้งที่บ้านและในเจียงวานหมดแล้ว พี่สาวของลูกและพี่เขยดีกับลูกมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเขาต้องส่งเสียลูก ๆ ทั้งสองเข้าโรงเรียน ซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลย ถ้าลูกช่วยได้โปรดช่วยพี่สาวของลูกด้วย” หวังซิ่วจวี๋กล่าวขณะจุดไฟที่เตา
“แม่ ผมรู้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “ผมอยากไปหาพี่กับพี่เขยของผมมานานแล้ว แต่จังหวะมันยังไม่ลงตัว หาโอกาสไปไม่ได้ ดังนั้นผมเลยยังไม่ได้ไป”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “แม่แค่บอกให้ลูกรู้เท่านั้น ถ้าลูกรู้ดีอยู่ในใจเป็นสิ่งที่ดีแล้ว”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ทำไมคุณไม่บอกหวังผิงให้ไปรับซื้อกุ้งจากพี่เขยของคุณที่หมู่บ้านไป๋หยางล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “หมู่บ้านไป๋หยางแตกต่างจากหมู่บ้านอื่น ทุ่งนาที่นั่นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ไม่ค่อยมีน้ำ ผมว่าน่าจะมีกุ้งเครย์ฟิชไม่เยอะ”
หลินเจียอินเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ “คุณที่ไม่เคยทำนาเลยจะรู้ได้อย่างไรว่าในหมู่บ้านไป๋หยางเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ? ”
เธอไม่รู้สถานการณ์ที่ไป๋หยาง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนเขาไปบ้านพี่สาวคนโตบ่อย ๆ เขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้
ทว่าหวังซิ่วจวี๋พูดเสริมว่า “เจ้ารองพูดถูก ที่หมู่บ้านไป๋หยางเป็นนาแห้ง ไม่ค่อยมีน้ำ ทุ่งแห้งแล้งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่หิน ที่ดินแต่ละหมู่ถูกปกคลุมไปด้วยหินกว่าครึ่ง ผลผลิตของพืชผลจึงน้อยลงกว่าที่อื่นราว 20 เปอร์เซ็นต์”
เธอถอนหายใจ แล้วพูดว่า “แต่พวกเขาปลูกถั่วเหลืองได้ผลผลิตค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ถั่วเหลืองขายได้เงินไม่มาก นอกจากบดเป็นกากถั่วเหลืองและทำเต้าหู้ขาย ดูเหมือนมันจะทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
กากถั่วเหลือง !
เต้าหู้ !
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยิน ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้น เดิมทีเขาคิดจะรอให้โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสสำเร็จรูปสร้างเสร็จก่อน แล้วค่อยให้พี่สาวกับพี่เขยไปทำงานในโรงงานของเขา แต่ตอนนี้เขามีความคิดใหม่
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาถามว่า “แม่ครับ ไป๋หยางผลิตถั่วเหลืองได้เยอะไหม ? ”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “แม่ได้ยินจากพี่สาวของลูกว่าทุกครัวเรือนปลูกมัน แต่แม่ไม่รู้ว่าผลผลิตของพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน ลองถามพี่เขยของลูกดูสิ เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านไป๋หยาง เขาน่าจะรู้”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้อยู่แล้วว่าเฉินหยวนเฉาเป็นผู้ใหญ่บ้านไป๋หยาง
หากไม่ใช่เพราะความสามารถที่โดดเด่นของเฉินหยวนเฉาและตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านไป๋หยางของเขา ทำให้สภาพความเป็นอยู่ในครอบครัวของเขาค่อนข้างดี เมื่อก่อนเจียงเสี่ยวไป๋ก็คงไม่สามารถหลอกเอาเงินจากพี่สาวมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้
“อืม เดี๋ยวผมจะไปถามเขาดู”
เมื่อหลินเจียอินได้ยินแบบนี้ เธอตระหนักได้ถึงบางอย่างจึงถามเขา “คุณวางแผนที่จะรับซื้อถั่วเหลืองใช่ไหม ? ”
เธอรู้ดีว่าปกติแล้วเขาจะไม่ถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาไม่สนใจ ในเมื่อเขาถาม เขาจะต้องมีแผนในใจอย่างแน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะความรู้สึกไวเช่นนี้ เขาจึงพูดว่า “ผมแค่อยากเข้าใจสถานการณ์ก่อน ส่วนเรื่องรายละเอียดว่าจะทำอะไรนั้น ผมยังไม่ได้คิด”
หลินเจียอินมองบน ดูเหมือนว่าเธอไม่เชื่อเขา
เมื่อถูกภรรยาของเขาตั้งคำถาม เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำหน้ามุ่ย
หวังซิ่วจวี๋เห็นท่าทางของลูกชายและลูกสะใภ้ เธอก็ดีใจที่เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมากแล้ว
มีความคิดหนึ่งติดอยู่ในใจของเธอมานาน และตอนนี้เธอจึงถือโอกาสพูดมันออกมา
“เสี่ยวไป๋ เจียอิน ตอนนี้พวกลูกสร้างบ้านหลังใหม่แล้ว อาชีพการงานของพวกลูกดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่คิดที่จะมีลูกเพิ่มอีกสักคนหรือ ! ”
ห๊ะ ?
คำพูดของหวังซิ่วจวี๋ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งคู่ต่างตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่าเจียงเสี่ยวไป๋อยากมีลูกเพิ่มอยู่แล้ว !
ทว่าตั้งแต่เขาเกิดใหม่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับหลินเจียอินจะอบอุ่นขึ้นทุกวัน แต่เขาก็ยังไม่ได้พิชิตเธอเลย
แล้วจะเอาลูกที่ไหนมาเกิด ?
ใบหน้าของหลินเจียอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอพูดอย่างเขินอายว่า “แม่ ทำไมจู่ ๆ แม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ ? ”
หวังซิ่วจวี๋พูดว่า “พวกลูกก็ดูสิ ทั้งเสี่ยวจี๋ เสี่ยวโจว และพี่สาวคนโตของลูกต่างก็มีลูกสองคนทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ? ”
แต่มีอีกประโยคหนึ่งที่เธอไม่ได้พูด
เจียงเสี่ยวจี๋ เจียงเสี่ยวโจว และเจียงเสี่ยวเยว่ต่างมีทั้งลูกชายและลูกสาว มีแค่เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงเสี่ยวเฟิงเท่านั้นที่มีแต่ลูกสาวแค่คนเดียว
ทั้งเธอและเจียงไห่หยางต่างรอคอยที่จะได้อุ้มหลานชายเพิ่ม
เมื่อก่อนเป็นเพราะแยกบ้านกันอยู่ อีกทั้งเสี่ยวไป๋ก็ยังทำตัวไม่เอาไหน เธอจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
ตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋มีกิจการใหญ่โต และเมื่อธุรกิจขยับขยายไปได้ไกล จะไม่มีผู้สืบทอดได้อย่างไร เธอจึงอยากให้พวกเขามีลูกชายโดยเร็ว
หากเจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าแม่ของเขามีความคิดนี้ เขาจะต้องหาเต้าหู้มายัดปิดปากเธอแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม เขาเห็นด้วยที่แม่ของเขาอยากให้มีลูกเพิ่ม !