ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 166 :เกิดจากการไม่ได้ดูโทรทัศน์
ตอนที่ 166 :เกิดจากการไม่ได้ดูโทรทัศน์
เป็นไปอย่างที่หลินเจียอินคาดไว้ วันนี้พวกเขากลับบ้านดึก ทำให้ชาวบ้านที่มารอดูละครโทรทัศน์ต่างรออยู่ที่เขื่อนอย่างใจจดใจจ่อ
“ปกติเขาจะกลับมาเร็ว ทำไมวันนี้ถึงยังไม่กลับมาล่ะ ? ”
“ใช่ ถ้าพวกเขาไม่กลับมา เราก็คงไม่ได้ดูละครโทรทัศน์แล้ว”
“คืนนี้เป็นตอนจบของจอมคนผงาดโลกแล้ว ถ้าเขายังไม่กลับมา เราคงไม่ได้ดูตอนจบ เฮ้อ น่าเสียดาย……”
“ไม่ต้องกังวล เสี่ยวไป๋คงมีธุระ ทำให้ล่าช้า”
“อืม กิจการเขาใหญ่โตเพียงนั้น ตอนนี้เป็นช่วงสิ้นเดือน ดังนั้นเขาคงจะงานยุ่งมาก”
“พวกเขาจะจ่ายเงินเดือนทุกสิ้นเดือน”
“ฮ่า ๆ ถึงเวลาจ่ายค่าจ้างอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเดือนนี้ฉางอิงของเราจะได้เงินเท่าไหร่ ? ”
“เงินเดือนและโบนัสต้องเกิน 100 หยวนอยู่แล้ว”
“……”
ชาวบ้านหลายสิบคนมารอดูละครโทรทัศน์จนถึงเกือบ 21.00 น. และก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะกลับมา พวกเขาก็พูดคุยกันเป็นเวลานาน ในขณะที่บางคนเริ่มถือม้านั่งตัวเล็กเดินคอตกกลับบ้านไป
“พ่อ พี่รองบอกให้เราย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของเขาไม่ใช่หรือ ? ”
“เราจะย้ายเข้าไปอยู่เมื่อไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวอวี่ไปรอดูละครโทรทัศน์วันนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายเธอก็อดดู จึงอดไม่ได้ที่จะถามหลังกลับมาถึงบ้าน
“ใช่แล้ว พ่อ แล้วเราจะย้ายเข้าไปอยู่กันเมื่อไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยก็อดไม่ได้ที่จะถามเหมือนกัน
ทำไมเจียงไห่หยางถึงไม่ย้ายไปคืนนี้ เขารอดูตอนจบของจอมคนผงาดโลก สุดท้ายเขาก็อด ทำให้เขารู้สึกเสียดายไม่น้อย
“เสี่ยวเฟิง ลูกคิดว่าอย่างไร ? ”
เจียงไห่หยางหันไปถามเจียงเสี่ยวเฟิง
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “พี่รองบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากพ่อตกลงที่จะย้าย เราก็ย้ายเข้าไปได้เลย”
ตอนนี้ หลัวเจาตี้ไปทำงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ในเมือง เธอจะกลับมาบ้านได้เดือนละ 3 วันเท่านั้น ถ้าเขาไม่ย้ายไป นานเข้าคงไม่สะดวกสำหรับเขาและเจียงถิงที่จะอยู่กันสองพ่อลูกเพียงลำพัง
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ยังบอกเขาว่าหลังจากย้ายเข้ามาแล้ว ครอบครัวของเขาสามารถอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ หากในอนาคตเขาสร้างบ้านใหม่ด้วยตัวเอง เขาสามารถย้ายออกได้ถ้าต้องการ แต่ห้องที่นี่จะถูกเตรียมไว้ให้พวกเขาเสมอ
มีพี่ชายที่ดีแบบนี้ เขาคิดว่าต่อให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็คงไม่มีความขัดแย้งอะไร ในทางตรงกันข้าม ได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวจะต้องมีความสุขสมบูรณ์แน่นอน
สิ่งที่เจียงไห่หยางกังวลมากที่สุดคือ เขากลัวว่าลูกสามของเขาจะไม่เห็นด้วย ตอนนี้เจียงเสี่ยวเฟิงสนับสนุน เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ย้ายเข้าไป ! ”
“โอ้ ในที่สุดก็จะได้ย้ายไปอยู่กับพี่รองแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวเหลยตื่นเต้นมาก
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็สามารถดูโทรทัศน์ได้ทุกวัน ! ” เจียงเสี่ยวอวี่พูดอย่างมีความสุขเช่นกัน
“ถิงถิง หนูจะย้ายไปอยู่กับลุงรองไหม ? ” หวังซิ่วจวี๋ถามหลานสาวด้วยรอยยิ้มขณะกอดเจียงถิงไว้
“ไปค่ะ ! ”
เจียงถิงตอบโดยไม่ลังเลและพูดว่า “บ้านของลุงรองสวยมาก หลังใหญ่ แถมมีพื้นที่เยอะด้วย”
“เด็กน้อย ต่อไปนี้มันก็จะเป็นบ้านของหนูเหมือนกัน ! ” หวังซิ่วจวี๋พูดอย่างมีความสุข
เจียงถิงเบิกตากว้างแล้วถามว่า “หนูจะมีเตียงนอนเหมือนพี่ชานชานไหม ? แล้วหนูจะมีตุ๊กตาเหมือนของพี่ชานชานหรือเปล่า ? ”
เธอเคยไปที่ห้องนอนส่วนตัวของเจียงชานแล้ว และเธอชอบตุ๊กตาสองตัวนั้นมาก เด็กน้อยจึงรู้สึกอิจฉาอยู่เล็ก ๆ ในใจ
อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเด็กดีนิสัยน่ารักมาโดยตลอด เธอจึงไม่เคยเรียกร้องอยากได้สิ่งของจากใครเลย
กระทั่งตอนนี้ เธอเพิ่งจะพูดมันออกมา
เจียงเสี่ยวเฟิงมองดูลูกสาวของเขาด้วยความรักใคร่ และพูดว่า “ลุงรองของหนูจัดเตียงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหนูไปอยู่ที่นั่น พ่อจะซื้อตุ๊กตาให้”
เขาช่วยเจียงเสี่ยวไป๋รับซื้อกุ้งเครย์ฟิช เจียงเสี่ยวไป๋ให้เงินค่าจ้างเขาวันละ 50 หยวน ทำให้เขามีรายได้เดือนละ 1,500 หยวน
ตอนนี้เขามีเงินอยู่ในมือมากกว่า 2,000 หยวนแล้ว
เขายินดีที่จะซื้อทุกอย่างที่ลูกสาวของเขาต้องการ
หลังจากที่ทุกคนตกลงกัน ทั้งครอบครัวก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ของเจียงเสี่ยวไป๋
“เรากำลังย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ของเสี่ยวไป๋ คุณจะจัดงานรวมเหล้าไหม ? ” หวังซิ่วจวี๋ถาม
เจียงไห่หยางโบกมือปัดแล้วพูดว่า “เสี่ยวไป๋บอกฉันว่าจะไม่จัดงานรวมเหล้า”
หวังซิ่วจวี๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย งานรวมเหล้าถือเป็นเรื่องใหญ่ในชนบท เพราะหากจัดงานเลี้ยงได้ดี มันไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาหน้าให้กับเจ้าของงานเท่านั้น แต่ยังได้รับสินน้ำใจกลับคืนมาด้วย
ตั้งแต่เจียงถิงเกิดมา ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้จัดงานเลี้ยงรวมเหล้าอีกเลย หลายปีมานี้ พวกเขาส่งความช่วยเหลือให้ผู้คนในเจียงวานไปไม่น้อย แต่ยังไม่เคยได้รับกลับคืน
ต่อให้แต่ละครั้งเป็นเพียงบะหมี่หนึ่งกำมือ ข้าวโพดไม่กี่ชั่ง ส่วนใครที่สนิทสนมกันมากหน่อยก็ให้เงิน 1 หยวน แต่ในเจียงวานมีชาวบ้านอยู่หลายครัวเรือน ไหนจะญาติพี่น้องและลูกหลานของคนในครอบครัวอีกมากมาย หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้มอบของขวัญให้กับผู้คนไปไม่น้อย
เดิมทีเธอคิดว่าถ้าตัวเองก็ย้ายเข้าไปอยู่ เธอจะได้จัดงานรวมเหล้า และรับน้ำใจคืนจากคนอื่นบ้าง
แต่เธอไม่คิดเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่คิดจัดงานเลี้ยงรวมเหล้า
เจียงไห่หยางรู้ว่าหวังซิ่วจวี๋คิดอะไรอยู่ภายในใจ จึงพูดว่า “ลูกรองไม่จัดงานเลี้ยงก็ดีเหมือนกัน ด้วยฐานะทางการเงินของเขาในตอนนี้ เขาไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้นหรอก”
นี่เป็นเรื่องจริง
หวังซิ่วจวี๋พยักหน้า
ทว่าเธอเองก็ยังคงไม่เต็มใจเช่นกัน รวยก็ส่วนรวย แต่หากได้เงินคืนมาเยอะหน่อยนั้นไม่ดีหรือ ?
และงานเลี้ยงรวมเหล้านี้ก็ถือว่าเป็นการรับน้ำใจที่เคยช่วยเหลือผู้อื่นกลับคืนมาบ้างเท่านั้นเอง
ถึงเป็นมด แต่ก็มีเนื้อนะ !
เจียงไห่หยางเห็นสีหน้าของภรรยาจึงปลอบใจเธอ “ลูกรองกำลังขยับขยายกิจการใหญ่โตในเมือง งานเลี้ยงรวมเหล้านี้จะทำให้งานของเขาเสียเวลา และหากเขาเสียเวลาไปแม้แต่วันเดียว สิ่งที่เขาจะสูญเสียมันมากกว่าน้ำใจพวกนั้นที่เราจะได้กลับคืนมาอีกนะ”
คำพูดของเขาได้เตือนสติหวังซิ่วจวี๋
ใช่แล้ว เราไม่ควรทำให้งานเลี้ยงรวมเหล้าต้องทำให้ธุรกิจของลูกรองล่าช้าไป ไม่อย่างนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย
ค่ำคืนในหมู่บ้านบนภูเขานั้นเงียบสงบเป็นพิเศษ ดวงจันทร์ลอยสูงส่องแสงสว่างนวล ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า
เหล่าแมลงต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ สายลมยามค่ำคืนพัดผ่ามาทำให้อากาศเย็นสบาย
ไกลออกไป ลำแสงสีขาวจ้าสองลำส่องทะลุผ่านความมืดค่อย ๆ เข้ามาใกล้เจียงวาน
“พี่รองกลับมาแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวเหลยซึ่งยืนอยู่ที่เขื่อนตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
แสงสว่างนั้นคือไฟหน้ารถจี๊ปของพี่รอง เขาคุ้นเคยดี
“นี่ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว เขากลับมาก็คือกลับมา แกจะตะโกนทำไม ? ” เจียงไห่หยางพูดอย่างโมโห
“ผมจะไปบอกพี่รองว่าเราย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว”
ขณะที่เขาพูด เขาก็วิ่งลงไปโดยไม่ได้เอาคบเพลิงไปด้วย
แต่แสงจันทร์ในตอนกลางคืนนั้นสว่างไสว แม้ฟ้าจะมืด แต่ก็ไม่ได้มืดเกินไปที่จะมองไม่เห็นอะไรเลย เจียงเสี่ยวเหลยเคยชินกับการวิ่งบนถนนที่ทอดลงไป ดังนั้นเขาจึงวิ่งฝ่าความมืดไปได้อย่างราบรื่น
“ช่างเถอะ ให้ไอ้ลูกตัวดีพูดน่าจะง่ายกว่า”
เจียงไห่หยางคิดแล้วก็เอามือไพล่หลังอย่างวางมาด
อืม หากให้เขาพูดเอง มันดูจะน่าอายไปหน่อย
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถมาถึงบ้านได้ไม่นาน เจียงเสี่ยวเหลยก็วิ่งมาพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว
“ดึกมากแล้ว นายมาทำอะไรที่นี่” เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวเหลยหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “พี่รอง พ่อกับพี่สามตกลงที่จะย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว”
นั่นเป็นข่าวดี
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจียงเสี่ยวไป๋เอ่ยชวนเจียงไห่หยางหลายครั้งเพื่อให้พวกเขาย้ายมาอยู่ด้วย แต่เจียงไห่หยางไม่ยอม เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าเจียงไห่หยางจะตกลงอย่างกะทันหันแบบนี้
เขาดีใจมาก ในที่สุดครอบครัวก็ได้อยู่ร่วมกัน เขาจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “เดี๋ยวพี่ไปที่บ้านพ่อแม่กับด้วย จะไปหารือกับพ่อเรื่องย้ายบ้าน”
เจียงเสี่ยวเหลยก็ไม่คัดค้านแต่อย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋บอกให้หลินเจียอินและลูกสาวเข้านอนก่อน จากนั้นเขาก็หยิบไฟฉายแล้วเดินไปบ้านพ่อแม่พร้อมกับเจียงเสี่ยวเหลย
ระหว่างทาง เขาถามเจียงเสี่ยวเหลยว่าทำไมจู่ ๆ พ่อถึงตกลง พอรู้คำตอบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบางเมื่อเขาพบว่ามันเกิดจากการไม่ได้ดูละครโทรทัศน์ในคืนนี้
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงบ้าน
เจียงไห่หยาง เจียงเสี่ยวเฟิง และเจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยกัน และตัดสินใจว่าจะย้ายของเข้าบ้านในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้
เครื่องใช้ภายในบ้านไม่จำเป็นต้องย้ายไปด้วย เพราะบ้านหลังใหม่มีครบทุกอย่างแล้ว แน่นอนว่าคุณภาพของมันดีกว่าเครื่องใช้ในบ้านหลังเก่า
สิ่งสำคัญที่ต้องเคลื่อนย้ายคืออาหาร เสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก