ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 15 :เรียกพ่อแล้วจะให้ลูกอม
ตอนที่ 15 :เรียกพ่อแล้วจะให้ลูกอม
“แกร๊ก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าบ้านมาก็กดสวิตซ์ไฟที่ริมผนังลง ทันใดนั้นทั้งห้องก็สว่างไสวขึ้นมา
บ้านของเขาติดตั้งไฟฟ้ามานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาจะเปิดไฟก็ต่อเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋อยู่บ้านเท่านั้น เวลาที่หลินเจียอินอยู่บ้านกับลูกสองคน เธอจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดแทน
เพราะค่าไฟหน่วยละ 2 เจี่ยว เธอเสียดายเงิน
หลังจากดับตะเกียงน้ำมันก๊าด เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต่อไปนี้เราจะเปิดไฟในตอนกลางคืน ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่ดีต่อสายตาของคุณ”
พูดจบ เขาถึงได้ไปยกกระสอบสองใบที่เขาโยนทิ้งตอนเข้าประตูมา จากนั้นก็หยิบของออกมาทีละถุง
ข้าวสาร แป้งข้าวเจ้า น้ำมันพืช……
เนื้อติดมัน เนื้อแดง กระดูก……
น้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว……
นอกจากนี้ยังมีกระต่ายป่าอีกหนึ่งตัวด้วย
……
มีของกองเป็นพะเนินอยู่บนโต๊ะไม้ทรงดั้งเดิม เจียงชานน้อยมองด้วยดวงตาที่เป็นประกาย พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เนื้อ เนื้อ เนื้อทั้งนั้นเลย ! ”
หลินเจียอินตกตะลึงอ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ลงไปได้ทั้งฟอง
ซื้อของมามากมายขนาดนี้ เกรงว่าคงจ่ายไปหลายสิบหยวนใช่ไหม ?
เขาไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน ?
หลินเจียอินรู้สึกประหม่าขึ้นมา เธอถามเขาเสียงสั่นว่า “คุณ……คุณคงไม่ได้ไปปล้นสหกรณ์จัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคมาใช่ไหม ? ”
“ห๊ะ ฮ่าฮ่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หลุดขำ “เมียจ๋า คุณนี่มันน่ารักจริง ๆ ถ้าผมไปปล้นสหกรณ์จัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคจริง ผมจะได้ของมาแค่นี้งั้นหรือ ? ”
“ต่อให้ใช้เกวียนหลายคันก็คงลากกลับมาไม่ไหวจริงไหม”
หลินเจียอินหน้าแดงก่ำ ดวงตาคู่สวยหันมองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋อย่างเอาเป็นเอาตาย
ผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้หน้าหนานักนะ !
อ้าปากก็เรียกเธอว่าเมียจ๋า ๆ โดยไม่ดูสถานที่ดูสถานการณ์
ชานชานยังยืนอยู่ตรงนี้นะ
แต่นี่เขาบอกว่าเราน่ารักงั้นหรือ ?
ใบหน้าของหลินเจียอินแดงระเรื่อราวกับดอกท้อผลิบาน
“ป่าป๊า เมียคืออะไรหรอคะ ? ”
ในที่สุด เจียงชานน้อยก็ละสายตาจากเนื้อสองชิ้นใหญ่แล้วถามเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยแววตาใสซื่อ
เอ่อ……
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับกุมขมับ
มันไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายคำถามนี้ให้ชัดเจนกับเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คุกเข่าลงลูบหัวเล็ก ๆ ของลูกสาวและพูดเบา ๆ ว่า “คำว่าเมียเป็นคำที่พ่อเรียกแม่ของลูกด้วยความรัก ก็เหมือนกับลูกที่มีชื่อว่าเจียงชาน แต่พ่อเรียกลูกว่าเจ้าหญิงน้อย มันถือเป็นคำเรียกที่มาจากความรักเช่นกัน”
“อ้อ……”
ไม่รู้ว่าหนูน้อยจะเข้าใจหรือไม่ เธอตอบรับ แต่แล้วสายตาของเธอก็ถูกเนื้อชิ้นโตที่วางอยู่บนโต๊ะดึงดูดไปอีกครั้ง
“ป่าป๊า คืนนี้กินเนื้อกันเถอะ ! ”
“ได้ เดี๋ยวพ่อจะไปตุ๋นเนื้อให้เจ้าหญิงน้อยของพ่อกิน” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับภรรยาและลูกมานานเท่าไหร่แล้วนะ ?
ได้ทำอาหารเย็นให้พวกเธอด้วยฝีมือของตนเอง เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมากจริง ๆ เขามีความสุขมากกว่าตอนที่เขาทำธุรกิจแล้วได้เงินหลายร้อยล้านในคราวเดียวเสียอีก
อันดับแรกเขาไปทำกระต่ายก่อน เขาจัดการลอกหนังมันอย่างรวดเร็วแล้วทำความสะอาดอวัยวะภายในของมัน จากนั้นก็ไปหุงข้าว
ในยุคนี้ หม้อหุงข้าวไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยม เวลาหุงจะนำข้าวสารลงไปต้มกับน้ำในหม้อใบใหญ่ รอจนข้าวสุกแล้วค่อยใช้หวดนึ่งข้าวมากรองข้าวออกจากน้ำ รอจนกระทั่งน้ำต้มข้าวระเหยไปหมดเแล้ว ถึงค่อยเทข้าวสุกลงในหม้อ จากนั้นก็เทน้ำที่ข้างหม้อเล็กน้อย แล้วนึ่งด้วยไฟอ่อน
วิธีนี้จะทำให้ข้าวที่หุงได้มีกลิ่นหอม
ในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังหุงข้าว เจียงชานน้อยตามเขาเข้ามาในห้องครัวเช่นเดียวกัน หนูน้อยยืนอยู่ข้างเตามองไปยังเม็ดข้าวที่เรียงตัวเป็นเม็ด ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
ไม่ได้กินข้าวสวยมานานมากแล้ว
แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ
เมื่อมองดูท่าทางตะกละตะกรามของหนูน้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกทุกข์ใจและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาเช็ดมือให้แห้งแล้วหยิบเอาลูกอมผลไม้ออกมาจากในกระเป๋ากางเกง 1 ห่อ แล้วหยิบลูกอมออกมายื่นให้ลูกสาว 1 เม็ด
“ชานชาน ดูซิว่านี่คืออะไร ? ”
เขาตั้งใจซ่อนลูกอมเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเซอร์ไพรส์ลูกสาวโดยเฉพาะ
“ลูกอมผลไม้ ! ”
ชานชานอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เรียกพ่อก่อน แล้วจะให้กิน 1 เม็ด”
“ป่าป๊า ! ”
หนูน้อยตะโกนเรียกเสียงดังโดยไม่ลังเล
เจียงเสี่ยวไป๋ฉีกห่อลูกอมออกด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขและป้อนลูกอมเข้าไปในปากของลูกสาว
“หวานมาก ! ”
“ขอบคุณนะป่าป๊า ! ”
หนูน้อยกินลูกอมแล้วก็ปากหวานเป็นพิเศษ
ดวงตากลมโตคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ถุงลูกอมในมือของป่าป๊า
“ป่าป๊า พ่อซื้อลูกอมพวกนี้มาให้หนูทั้งหมดเลยใช่ไหม ? ”
“ใช่ พ่อซื้อมาให้ลูกทั้งหมดเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและส่งลูกอมทั้งถุงให้เธอ
อย่าว่าแต่ลูกอมผลไม้เลย ต่อให้ลูกสาวของเขาต้องการพระจันทร์หรือดวงดาวบนท้องฟ้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็จะคิดหาวิธีเอามันมาให้เธออย่างแน่นอน
หลินเจียอินเห็นภาพนี้จากด้านข้าง น้ำตาพลันเอ่อล้นจากดวงตาคู่สวยอีกครั้ง
เธอไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นภาพความอบอุ่นระหว่างเจียงเสี่ยวไป๋กับลูกสาว
ความรู้สึกนี้มันช่างดีจริง ๆ
“หม่าม๊ากินลูกอมสิคะ”
“มันหวานมากเลยนะ”
เจียงชานน้อยยื่นลูกอมผลไม้ให้หม่าม๊าด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
“แม่ไม่กินหรอก ชานชานกินเถอะ”
“หม่าม๊ากินนะ ชานชานยังมีอีกเยอะ”
หนูน้อยอวดถุงลูกอมในมือ ขณะที่พูดก็หันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดอย่างดีใจว่า “ป่าป๊าให้หนูมา”
“กินสักเม็ดเถอะ อย่าทำให้ชานชานเสียน้ำใจเลย”
“ลูกรู้จักแบ่งปันตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ ทั้งยังรู้จักเอาของอร่อยให้แม่กิน โตมาจะต้องเป็นลูกสาวที่กตัญญูแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
สองพ่อลูกเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยขนาดนี้ หลินเจียอินจึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและจำต้องรับขนมจากลูกสาว
แม้จะกินที่ปาก แต่กลับหวานอยู่ในใจ
มันเป็นความหอมหวานละมุน
ทว่า ต่อมาหนูน้อยก็ต้องไม่มีความสุขเสียแล้ว
หลินเจียอินรีบหยิบห่อลูกอมจากในมือของหนูน้อยมาทั้งห่อ “เอาลูกอมมาเก็บไว้ที่แม่ ต่อไปนี้แม่จะให้ลูกกินได้แค่วันละ 3 เม็ดเท่านั้น”
ห๊า ?
หนูน้อยชะงักไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ?
“ลูกยังเด็กอยู่ ถ้ากินลูกอมมากเกินไปจะทำให้ในฟันของลูกมีหนอน”
หลินเจียอินพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หนูน้อยยอมเชื่อฟังแต่โดยดีแล้ว
เธอไม่อยากให้หนอนขึ้นฟันของเธอ
น่ากลัวจัง~
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ขัดจังหวะเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ตอนนี้ข้าวยังไม่สุกดี เขามองสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม ขณะหั่นเนื้อกระต่ายอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลนั้นทำให้หลินเจียอินอ้าปากค้างอีกครั้ง
เขาทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
หลังจากหุงข้าวเสร็จแล้ว เขายกหม้อลงมากรองเอาน้ำต้มข้าวออก จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่แปลงผักข้างบ้าน เขาดึงต้นหอมมาสองสามต้น เด็ดพริกขี้หนูมาหนึ่งกำมือและหากระเทียมกับขิงแก่
ใช่ ที่บ้านยังมีพริกแห้งกับพริกไทยป่าที่หลินเจียอินขึ้นเขาไปเก็บมาตากแดดเมื่อปีที่แล้ว
วัตถุดิบครบแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ล้างวัตถุดิบให้สะอาดและหั่นเตรียมไว้ จากนั้นก็เริ่มเติมฟืนให้ไฟแรงแล้วเริ่มทำอาหาร
เขาเทน้ำมันพืชลงในกระทะที่ร้อนจัด จนน้ำมันส่งเสียง “ฉ่า ฉ่า~” กลิ่นหอมของน้ำมันพืชลอยอบอวลไปทั่วทั้งครัว
“ไอ้หยา ทำไมคุณถึงใส่น้ำมันเยอะขนาดนี้ ? ”
ปกติเวลาหลินเจียอินทำอาหารมักจะใส่น้ำมันเพียงแค่ไม่กี่หยดเท่านั้น แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับเทน้ำมันลงไปเกือบครึ่งถ้วยแล้ว
เขาไม่ได้เป็นคนดูแลบ้าน ไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้มันแพง สิ้นเปลืองจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ รอจนกระทั่งน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว เขาถึงได้ใส่หอมหัวใหญ่ ขิงและกระเทียมลงไปผัดจนหอม จากนั้นใส่พริกแห้ง พริกไทยป่นลงไปผัด ตามด้วยอบเชย 1 ก้าน โป๊ยกั๊ก 2 ชิ้นและใบกระวาน 3 ใบ ผัด 2-3 ครั้ง ทำให้กลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมาทันที
“หม่าม๊า หอมจังเลย”
“อืม”
หลินเจียอินพยักหน้า เพราะมันหอมมากจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋เทเนื้อกระต่ายที่เขาหั่นเป็นชิ้นเสร็จเรียบร้อยแล้วลงในกระทะ จากนั้นเขาก็ผัดเร็วอีก 2-3 ครั้ง แล้วเปิดฝาเทเหล้าขาวลงไปเล็กน้อย ทำให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศที่ผัดเข้าด้วยกันหอมเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของเนื้อผัดลอยฟุ้งขึ้นมาด้วย
หนูน้อยที่ยืนเกาะขอบเตาอยู่ยืนมองจนน้ำลายไหล
ขนาดหลินเจียอินยังกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าผัดจนได้ที่แล้วจึงเติมน้ำในปริมาณที่พอเหมาะแล้วปิดฝาหม้อเพื่อตุ๋นต่อ
“เมียจ๋า เติมฟืนให้ผมหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอกสักพัก”
เจียงเสี่ยวไป๋นึกได้ว่าตอนเขาไปตัดไม้ไผ่ เขาเห็นบางสิ่งในทุ่งข้างสวนไผ่ จึงพูดกับหลินเจียอินและรีบเดินออกไปทางประตูหลังบ้าน