ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 142 :แม้เคยเป็นคนไม่ดี แต่ก็ทำสิ่งที่ดีได้
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 142 :แม้เคยเป็นคนไม่ดี แต่ก็ทำสิ่งที่ดีได้
ตอนที่ 142 :แม้เคยเป็นคนไม่ดี แต่ก็ทำสิ่งที่ดีได้
เจียงเสี่ยวไป๋ถือถุงเสื้อผ้าใบใหญ่แล้วไปที่เคาน์เตอร์ขายเครื่องเขียนต่อ
“คนสวย ปากกาที่ดีที่สุดและแพงที่สุดราคาเท่าไหร่ ? ”
พนักงานขายสาวผงะไปครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบลูกค้าที่ถามถึงสินค้าที่แพงที่สุดทันทีที่เขามาถึง เธอรวบรวมสติและรีบพูดว่า “ปากกาที่แพงที่สุดของร้านเราราคาด้ามละ 60 หยวนค่ะ”
“อ้อ งั้นเอา 3 ด้ามครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวโดยตรง
เนื่องจากเขามาที่นี่เพื่อซื้อปากกาให้น้องสี่แล้ว น้องห้าและน้องสาวคนเล็กของเขาก็จะขาดสิ่งนี้ไม่ได้เช่นกัน
พนักงานขายสาวอึ้งอีกครั้ง เขาเพิ่งถามหาสินค้าที่แพงที่สุดไป ยังจะซื้อไปพร้อมกันทีเดียว 3 ด้ามอีกด้วย
นี่เขารวยขนาดนี้เลยหรือ……
“ดินสออีกสามกล่อง ! ”
“3 กล่อง ? ”
“ใช่ 3 กล่อง ! ”
“ค่ะ”
“หมึกสีน้ำเงิน 3 ขวด หมึกสีดำ 3 ขวด”
“ได้ค่ะ”
“สมุดเล่มใหญ่และเล่มเล็ก เอาอย่างละ 3 เล่ม อืม ไม่สิ เอาอย่างละ 6 เล่ม”
“ค่ะ”
“มีไปรษณียบัตรไหม ? ”
“มีค่ะ คุณต้องการเท่าไหร่ ? ”
“100 ใบ ! ”
“ได้ค่ะลูกค้า ! ”
“……”
หลังจากซื้อของครั้งใหญ่ เจียงเสี่ยวไป๋ใช้จ่ายเงินเหมือนน้ำ เขาซื้อจนกว่าเขาจะรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว เขาถึงถือของทุกอย่างไปที่รถจี๊ป
กลับมาที่ร้าน หลินเจียอินอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเขาซื้อของกลับมามากมาย
“ยกเว้นเสื้อผ้าที่ผมซื้อให้เสี่ยวชิง นอกนั้นล้วนเป็นอุปกรณ์การเรียนที่น้องชายน้องสาวของผมสามารถใช้ได้” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หลินเจียอินมองดูแล้ว มันก็สมเหตุสมผล
เธอเองก็อยากสนับสนุนให้น้องชายน้องสาวของเขาได้เรียนหนังสือเช่นเดียวกัน
“คงใช้เงินไปไม่น้อยเลยใช่ไหม ? ”
หลินเจียอินถามออกไปอย่างนั้น
“ไม่เยอะหรอก ทั้งหมดแค่ 530 หยวนเอง ! ”
หลินเจียอินที่ได้ยินเกือบจะสะดุดหน้าคว่ำ
คุณบอกว่าไม่เยอะ ตอนแรกฉันก็นึกว่าแค่ไม่กี่สิบหยวน แต่นี่กลับจ่ายไปมากถึงห้าร้อยกว่าหยวนเชียวหรือ
โชคดีที่หลินเจียอินเคยชินกับมันแล้ว
เธอแค่มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
“คุณช่วยเอาของเหล่านี้ไปให้เสี่ยวชิงที ส่วนที่เหลือค่อยเอาไปให้เสี่ยวเหลยและเสี่ยวอวี่”
เจียงเสี่ยวไป๋แยกข้าวของส่วนที่เป็นของเจียงเสี่ยวชิงออกมาต่างหาก
ของที่เหลือก็นำกลับไปไว้บนรถจี๊ป
หลินเจียอินมองดูของที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อให้เจียงเสี่ยวชิง เพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กางเกงและกระโปรง ล้วนเป็นของคุณภาพดีทั้งนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงแพงขนาดนี้
อ้อ เขาซื้อปากกามาด้วย !
แต่รุ่นนี้มันแพงมากเลยนะ !
เธอจำได้ว่าพ่อของเธอมีปากกาแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งมันมีราคาแพงมาก
ในอดีต เธอเคยอยากใช้มัน แต่พ่อของเธอปฏิเสธ ไม่ยอมให้เธอใช้
เมื่อเห็นสมุดบันทึกขนาดใหญ่ปกแข็ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทำไมคุณถึงซื้อสมุดบันทึกเล่มใหญ่แบบนี้มา มันใหญ่เกินไป พกไม่สะดวก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เสี่ยวชิงกำลังจะจบมัธยมปลายแล้ว เพื่อนร่วมชั้นของเธอจะเขียนข้อความฝากไว้เป็นที่ระลึกอย่างแน่นอน ถ้ามีสมุดบันทึกที่ใหญ่และปกแข็ง แบบนั้นจะได้เก็บไว้ได้นาน ๆ ”
เจียงเสี่ยวชิงที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านจากสวนหลังบ้านได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋พอดี
ฝีเท้าของเธอหยุดนิ่ง
พี่รองรู้ใจจริง ๆ ว่าเธอต้องการสมุดแบบนี้ !
เขากลายเป็นคนที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ในมือพี่สะใภ้ มันใหญ่กว่าสมุดบันทึกทั่วไปถึง 4 เท่า มันมีปกแข็งสีฟ้าอ่อน ดูเหมือนว่าจะมีลวดลายอยู่บนนั้นด้วย ดูน่าจะเป็นของมีราคา
เมื่อเธอเห็นมัน เธอก็รู้สึกมีความสุขและรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้ ให้หนูดูหน่อยสิ”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น เธอก็แทบรอไม่ไหวที่จะหยิบไปดู มันสวยมากจริง ๆ และเมื่อเธอเปิดสมุดออกมา มันยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ อีกด้วย
“ชอบไหม ? ”
หลินเจียอินถามด้วยรอยยิ้ม
“ชอบ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอละสายตาไปจากสมุดบันทึกเล่มใหญ่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เธอถือมันไว้ในมืออย่างแน่นและไม่ยอมวางมันลง
“พี่รองของเธอเป็นคนซื้อมาให้ ! ” หลินเจียอินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ……พี่รอง ! ”
“ตั้งใจเรียนนะ พี่ขอให้เธอสอบติดมหาวิทยาลัยที่เธออยากเรียน ! ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของเจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดอย่างมีความสุข
เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้นาน
ภรรยาของเขาและน้องสี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ภรรยาของเขาจัดการส่วนที่เหลือ
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถจี๊ปออกไป และไปตรวจดูร้านค้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้ง 4 แห่ง
ความคืบหน้าในการก่อสร้างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และร้านค้าทั้ง 4 แห่งจะเปิดทำการได้อย่างช้าที่สุดก็ภายในหนึ่งสัปดาห์
เมื่อถึงเวลานั้น จำนวนกุ้งที่ต้องรับซื้อจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าตัว
ถือได้ว่ามีคำอธิบายให้กับรองนายกเทศมนตรีจางแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว เขารู้สึกว่าความคิดของเขาค่อนข้างน่าเบื่อ
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับคำร้องขอจากรองนายกเทศมนตรีจาง ในปีนี้ เขาก็คงไม่เข้าไปทำกิจการหลายแห่งอย่างรวดเร็วขนาดนี้อย่างแน่นอน
ร้านสาขาสองบนถนนชิงซานเป็นร้านสุดท้ายที่เขาไปตรวจสอบ หลังจากตรวจงานดูแล้ว เขาก็ไปดูพื้นที่สร้างโรงงาน
ในเวลานั้น รองนายกเทศมนตรีจางตั้งใจที่จะจัดสรรที่ดินผืนหนึ่งในเมืองให้เขา
แต่เจียงเสี่ยวไป๋เลือกพื้นที่นี้ด้วยตัวเอง
ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ถือว่าอยู่ติดกับประตูทางใต้ของเมืองชิงโจว ใกล้ทางหลวงจากชิงโจวไปยังเมืองชิงซาน
เขากล่าวกับรองนายกเทศมนตรีจางว่า “ในอนาคต พื้นที่นี้สามารถวางแผนให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมพิเศษได้ โรงงานใหม่ทั้งหมดในเมืองชิงโจวสามารถมาตั้งอยู่ที่นี่ได้ ซึ่งสะดวกสำหรับการจัดการแบบรวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว”
รองนายกเทศมนตรีจางสนใจคำว่า “นิคมอุตสาหกรรม” มาก
“เอาล่ะ เจียงเสี่ยวไป๋ เห็นได้ชัดว่าคุณมีความคิดดี ๆ ดังนั้นอย่ามาหมกเม็ดกับฉันเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋แสร้งทำเป็นเหมือนถูกบีบบังคับให้จนใจ เขาทำเป็นพูดเสียงสลดว่า “ที่ผมมีความคิดแบบนี้ ก็เพราะรองนายกเทศมนตรีจางบีบให้ผมคิดได้ต่างหาก”
รองนายกเทศมนตรีจางหัวเราะ
“ถ้าคุณมีความคิดอื่นใดก็พูดมาเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ย้ำว่าโรงงานที่เลือกเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมจะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนโรงงานที่สร้างมลพิษอย่างหนัก เช่น โรงงานเคมี ไม่ควรรวมอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม
ในเรื่องนี้ รองนายกเทศมนตรีจางไม่ได้พูดอะไร
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ปัจจุบันทั้งรัฐบาลและประชาชนยังไม่มีความเข้าใจเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งไม่ลังเลที่จะเริ่มสร้างโครงการที่ปล่อยมลพิษอย่างหนักโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
สิ่งเหล่านี้สามารถรับรู้ได้หลังจากเห็นผลกระทบของการสร้างมลพิษแล้วเท่านั้น
หากเขาสามารถเตือนได้เพียงเล็กน้อยก็ดีมากแล้ว
สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่มีอะไรให้น่าดู
เจียงเสี่ยวไป๋อยู่อีกสักพัก จึงกลับไปที่ร้าน
“เสี่ยวชิงไปแล้วหรือ ? ”
“ไปโรงเรียนแล้ว เธอดีใจมากที่คุณซื้อของให้เธอมากมายขนาดนี้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม
แม้ว่าเสี่ยวชิงจะมีอคติต่อตัวเขาเอง แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ตราบใดที่เขาดีต่อเธออย่างจริงใจ เธอก็ย่อมสัมผัสถึงมันได้
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะกลับไปในครัว ทันใดนั้นเขาก็จำอะไรบางอย่างได้และพูดว่า “เมียจ๋า ให้ ถานชิงซานฝึกขับรถเถอะ”
หลินเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ตกลง”
เขาซื้อรถสามคันด้วยกัน และตอนนี้ในบรรดาคนทั้งหมดในร้าน มีเพียงเจียงเสี่ยวไป๋และหวังผิงเท่านั้นที่สามารถขับรถได้ รถบรรทุกอีกคันจึงยังไม่มีคนขับ
จะดีกว่าถ้าถานชิงซานขับรถเป็น เพราะในอนาคตจะสะดวกมาก
“ฉันก็อยากฝึกขับเหมือนกัน”
หลินเจียอินกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณและเฝิงเยี่ยนหงก็ฝึกขับไปพร้อมกับถานชิงซานด้วย เพราะในอนาคตมันจะสะดวกสบายต่อพวกคุณมาก”
“อื้ม ! ”
หลินเจียอินตอบรับอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “หลังจากเลิกงานแล้ว กลับไปที่เจียงวาน ผมจะสอนวิธีขับรถให้คุณก่อน”
ห๊ะ ?
“นี่เพิ่งกี่โมงเอง ? จะกลับเร็วขนาดนี้เลยหรือ ? ”
หลินเจียอินลังเลเล็กน้อย พนักงานทุกคนทำงานจนถึง 22.00 น. ในฐานะผู้จัดการ เธอเลิกงานเวลา 17.00 น. ทุกวัน ซึ่งถือว่าเร็วมากพอแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ให้เธอออกไปก่อนเวลาจริง ๆ !
“ตอนนี้ทั้งสองร้านอยู่ติดกันและถือเป็นร้านเดียว คุณสามารถดูแลอยู่ที่นี่ได้ก็จริง”
“และเมื่ออีกสี่ร้านเปิดขาย คุณจะดูแลร้านไหน ? ”
“คุณจะสามารถดูแลได้กี่ร้าน ? ”
“ต่อให้คุณไม่กลัวการทำงานหนัก แต่คุณจะวิ่งไปมาคอยดูแลทุกร้านอย่างนั้นหรือ ? ”
“แต่ในอนาคต เมื่อเราเปิดร้านอีกสิบหรือหลักร้อยแห่ง คุณจะไปดูแลได้ทุกร้านเลยหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเจียอินและพูดช้า ๆ
“เอ่อ……”
หลินเจียอินพูดไม่ออก
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ดังนั้น ในฐานะเจ้าของร้าน คุณสามารถเลิกงานได้ตลอดเวลาและควรปล่อยให้ผู้จัดการร้านไปทำสิ่งต่าง ๆ ในร้านแทน”
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และพูดว่า “หรือพอเป็นเจ้าของร้านก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ไม่ใช่แน่นอน ในฐานะเจ้าของร้าน คุณควรจัดการเงินและผู้คนให้ดี ตั้งเป้าหมาย วางแผน จากนั้นปล่อยให้คนดำเนินการ แล้วค่อยมาตรวจสอบและสรุปด้วยตัวเอง แค่นั้นเอง”
หลินเจียอินฟังเขาแล้วก็จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง