ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 136 :เมียจ๋า คุณมองผมเป็นคนแบบนั้นหรือ?
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 136 :เมียจ๋า คุณมองผมเป็นคนแบบนั้นหรือ?
ตอนที่ 136 :เมียจ๋า คุณมองผมเป็นคนแบบนั้นหรือ?
และยอดเงินกู้1.2 ล้านหยวนนี้ ต่อให้พวกเขาใช้หนี้ไปยันแก่แล้วยังใช้ไม่หมด ทายาทของพวกเขาก็ต้องรับใช้แทน
น่ากลัวมาก !
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พวกนายไม่ต้องกังวล ตอนนี้กิจการกุ้งอบน้ำมันของเราดีมาก และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต รับรองเลยว่าเรามีเงินใช้คืนเงินกู้นี้ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายขึ้น
ใช่ ธุรกิจกุ้งเครย์ฟิชเฟื่องฟูขนาดนี้ ที่จริงพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการชำระคืนเงินกู้เลย
ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปนาน เฝิงเยี่ยนหงก็กล่าวว่า “พี่เสี่ยวไป๋ หวังผิงและฉันต่างก็เชื่อสิ่งที่พี่พูด แต่ฉันมีคำขอหนึ่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง และพูดว่า “เราต่างก็ไม่ใช่คนนอก ดังนั้นหากเธอมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรง ๆ ถ้าฉันช่วยได้ ฉันก็จะช่วย”
เฝิงเยี่ยนหงดูลังเลและดูเหมือนจะร้อนรนในใจ เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “พี่เสี่ยวไป๋ ฉันรู้ว่าพี่เป็นคนมีความสามารถ และพี่ก็ยินดีที่จะนำพาฉันและหวังผิงมั่งคั่งไปด้วย ซึ่งเราซาบซึ้งใจพี่มาก”
“หากไม่มีพี่ หวังผิงและฉันก็คงมาถึงจุดนี้ได้ยาก พวกเราคงยังเป็นแค่คนจน ๆ คนหนึ่ง”
“ถ้าว่ากันแล้ว เราทุ่มเทกับพี่ถึงไหนถึงกัน และหากพี่ให้เราสองคนทำอะไร เราจะไม่ลังเลแน่นอน”
“หวังผิงและฉันมีความสามารถจำกัด”
“แต่เรื่องสัญญาความร่วมมือนั้น ที่จริงพี่แทบจะเป็นคนบริหารงานเองทั้งหมด ทั้งวางแผน ทั้งใช้ทักษะ แต่พวกฉันกลับมีหุ้นส่วนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับพี่เลย”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เธอหยุดไปชั่วขณะและเหลือบมองไปที่หวังผิงแล้วถึงได้พูดต่อ “ดังนั้น เราทั้งสองยังคงเต็มใจที่จะร่วมมือกับพี่สร้างโรงงาน แต่ในเรื่องของสัดส่วนหุ้น พี่ลดส่วนของพวกฉันลงเถอะ”
เมื่อหวังผิงได้ยินดังนั้น เขาก็รีบพูดว่า “เยี่ยนหงพูดถูก เสี่ยวไป๋ ลดหุ้นของเราสองคนลงเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและพูดว่า “ฉันพูดไปหมดแล้วว่าพวกนายไม่ต้องกังวลเรื่องการชำระคืนเงินกู้ เหตุผลที่ฉันบอกพวกนายก็เพราะพวกนายเป็นหุ้นส่วน พวกนายมีสิทธิ์ที่จะรู้”
เฝิงเยี่ยนหงโบกมือแล้วพูดว่า “พี่เสี่ยวไป๋ พี่ไม่กลัวที่จะแบกรับหนี้สินนี้ แม้ฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็กล้าแบกรับไปพร้อม ๆ กับพี่”
“แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าพวกฉันทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน”
“หากพี่ไม่รังเกียจ ฉันและหวังผิงจะทำงานร่วมกับพี่ต่อไป แต่ต่อไปนี้ลดหุ้นส่วนของเราเหลือ…5 เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูเฝิงเยี่ยนหงด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเธอจะเด็ดขาดเพียงนี้
ส่วนแบ่งปัจจุบันของเธอและหวังผิงคือ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่จู่ ๆ ก็มาขอลดลงเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์
เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายปัจจุบัน ด้วยส่วนแบ่ง 40 เปอร์เซ็นต์นี้ พวกเขาสามารถได้รับเงินอย่างน้อย 60,000-70,000 หยวนต่อเดือน แต่หากเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็จะได้ส่วนแบ่งเพียงเดือนละประมาณ 10,000 หยวนเท่านั้น
นี่มันไม่เป็นการลดส่วนแบ่งของพวกเขาลงมากไปหน่อยหรือ
หวังผิงยังจ้องมองภรรยาของเขาด้วยความอึ้งเช่นกัน จากนั้นจึงพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เยี่ยนหงพูดถูก เราขอลดส่วนแบ่งเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เรามีความสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไป และเราทำด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดส่วนแบ่ง”
ไม่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินจะโน้มน้าวอย่างไร เฝิงเยี่ยนหงก็มุ่งมั่นที่จะลดอัตราส่วนหุ้น
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือก และในที่สุดก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน เรายังคงแบ่งส่วนแบ่งรายได้ร้านอร่อยสามมื้อและร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงเท่าเดิม ส่วนสิ่งอื่นในอนาคต ตราบใดที่พวกนายยังยินดีร่วมหุ้น ฉันจะให้พวกนายคุณถือหุ้นอย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์”
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงดีใจมาก พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราเต็มใจอย่างแน่นอน”
และทั้งสี่คนได้ตกลงแนวทางความร่วมมือแบบใหม่อีกครั้ง
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินเจียอินมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “เรื่องโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปนั่น ที่คุณบอกพวกหวังผิง เพราะต้องการให้พวกเขาแบ่งรับใช้หนี้ด้วยใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “เมียจ๋า คุณมองผมเป็นคนแบบนั้นหรือ ? ”
ใบหน้าของหลินเจียอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอกระซิบว่า “คุณอย่าคิดมากสิ ไหนเราตกลงกันแล้วว่ามีอะไรจะคุยกันทุกเรื่อง ฉันคิดแบบนี้ เลยถามคุณออกไปเท่านั้นเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตอนที่ผมลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยคุยกับคุณหรือพวกเขาเลย เป็นเพราะผมได้ยินคุณบอกว่าเราควรสื่อสารให้มากกว่านี้ ผมจึงบอกพวกเขาถึงเรื่องเงินกู้”
“อืม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเชื่อคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ้มเช่นกัน
พูดตามตรง เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยจริง ๆ เพราะเขากับหวังผิงสนิทกัน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ธรรมดาทั่วไป ฉะนั้นเขาไม่เคยคิดถึงด้านนั้นเลย
หลายสิ่งที่เขาทำในตอนนี้อาจทำอย่างยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ล้วนสามารถทำให้หวังผิงกลายเป็นเศรษฐีไปพร้อมกับเขาได้
แต่สิ่งที่เขาทำตอนนี้ไม่ได้อยู่ในแผนความมั่งคั่งของเขาเลย
ในอนาคต โครงการสร้างรายได้มหาศาลที่เขาจินตนาการอยู่ในใจของเขาแล้ว
……
เมื่อกลับมาถึงเจียงวาน เขาก็มาดูความคืบหน้าในการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ของเขา
ในไซต์ก่อสร้างมีความคืบหน้าขึ้นในทุกวัน แท่นระเบียงที่ยื่นไปริมน้ำสร้างแล้วเสร็จ ส่วนแนวกั้นน้ำทำเสร็จไปแล้วสองในสามแนว ส่วนชั้นใต้ดินภายในแนวกั้นน้ำที่สามอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
โครงสร้างหลักของเรือนสี่ประสานใกล้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ส่วนฐานในการสร้างบ้านแถวที่หน้าปากถ้ำได้รับการปรับระดับแล้ว
“ช่างจวงและทีมงานทำงานเร็วมาก คาดว่าเราจะสามารถย้ายเข้าบ้านใหม่ได้ภายในไม่ถึงหนึ่งเดือน”
หลินเจียอินดูความคืบหน้าของการก่อสร้างและพูดอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว เมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่ จะมีห้องเพิ่มขึ้น! ชานชานก็จะมีห้องเป็นของตัวเองได้เช่นกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเจียอินและพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินหน้าแดงก่ำและเดินจากไปอย่างเร่งรีบ
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นหลินเจียอินเดินจากไปราวกับกำลังวิ่งหนีเขา
แม้ว่าภรรยาคนนี้จะไม่ได้ต่อต้านเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอก็ยังขี้อายเช่นเคย
คุณเป็นแม่คนแล้วนะ ทำไมคุณถึงยังเขินอายขนาดนี้?
เขามองสำรวจไปรอบ ๆ และกลับบ้านโดยไม่ได้ไปหาจวงปี้เฉิง
สองวันต่อมา หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำพะโล้เสร็จแล้ว หากไม่ได้ร่างแบบแปลนของโรงงานอยู่ในห้องครัว เขาก็จะไปหาคนมาสอบถามข้อมูลอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสร้างโรงงาน
นอกจากนี้ เขายังขอให้หลินเจียอินรับสมัครคนงานเพิ่มอีกด้วย
“คุณยังไม่ได้เริ่มสร้างโรงงานเลย ทำไมถึงจ้างพนักงานแล้วล่ะ ? ”
หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
ตอนนี้ธุรกิจของทั้งสองร้านกำลังเฟื่องฟู ถึงพนักงานทุกคนจะยุ่งมาก แต่ก็ยังพอรับมือไหว การจ้างคนเพิ่มจะทำให้มีต้นทุนเพิ่มไปด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมต้องการเปิดร้านกุ้งอบน้ำมันเพิ่มอีกสองสามร้าน และทำให้กุ้งอบน้ำมันชิงเจียงของเรากลายเป็นร้านที่มีเครือข่าย”
“ร้านที่มีเครือข่ายคืออะไร ? ”
หลินเจียอินไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน จึงถามอย่างสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พูดง่าย ๆ ก็คือ การเปิดร้านที่มีชื่อเดียวกันในอีกหลาย ๆ สถานที่แตกต่างกันไป สินค้าและการจัดการภายในร้านค้านั้นเหมือนกัน”
หลินเจียอินพยักหน้าและพูด “งั้นที่คุณจะสื่อ พวกเราจะเปิดอีกกี่ร้านอย่างนั้นหรือ?”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “มีร้านค้าเครือข่ายอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือร้านค้าแบบเครือข่ายที่ดำเนินการเอง และอีกประเภทหนึ่งคือร้านค้าแฟรนไชส์”
“ร้านค้าเครือข่ายที่ดำเนินการโดยเจ้าของจะต้องลงทุนเอง และจ้างพนักงานเอง”
“จะได้กำไรหรือขาดทุนล้วนต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง”
“สำหรับร้านค้าแฟรนไชส์นั้น เราเพียงมอบแบรนด์ของเราให้กับผู้ขอซื้อแฟรนไชส์ มีโมเดลธุรกิจให้พวกเขา หรืออาจจะจัดหาผลิตภัณฑ์ให้พวกเขา”
“เราไม่เพียงแค่ไม่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น ผู้ขอซื้อแฟรนไชส์จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ให้กับเจ้าของแบรนด์ จัดหาสถานที่ ตกแต่งร้าน รับสมัครพนักงานและรับผิดชอบต่อผลกำไรและขาดทุนของร้านตนเอง”
ดวงตาของหลินเจียอินเปล่งประกายขึ้นมา หากเขาเปิดร้านสาขาประเภทที่สอง แบบนั้นก็เท่ากับแค่ขายชื่อร้านก็ได้เงินมาแบบฟรี ๆ แล้วน่ะสิ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่เจียงเสี่ยวไป๋เพิ่งบอกให้เธอรับสมัครพนักงานไม่ใช่หรือ?
หลินเจียอินคาดเดาในใจ และถามว่า “คุณกำลังจะเปิดร้านเครือข่ายเหมือนแบบแรกใช่ไหม ? ”
“ไม่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปฏิเสธ