ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 135 :เรียกประชุม
ตอนที่ 135 :เรียกประชุม
หลินต้าเหว่ย พ่อของหลินเจียอินเคยเป็นนายอำเภอเจี้ยนหยาง ภายใต้การปกครองของเมืองชิงโจว และเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลระดับสูงด้วยเหมือนกัน
ส่วนหลิวอี้ถิง แม่ของเธอเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเจี้ยนหยาง
หลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงมีลูกด้วยกัน 4 คน ได้แก่ ลูกชายคนโตหลินเจียเว่ย ลูกคนที่สองหลินเจียอิน ลูกคนที่สามหลินเจียลี่ และลูกชายคนเล็กหลินเจียเล่อ
เมื่อห้าปีที่แล้ว หลินเจียเว่ยเพิ่งจะแต่งงานออกไป หลินเจียลี่เพิ่งจะอายุ 14 ปีและหลินเจียเล่อที่เพิ่งจะอายุ 11 ปี
ไม่มีการติดต่อกันมานานกว่า 5 ปีแล้ว และเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่เคยรู้ด้วยว่าครอบครัวของหลินต้าเหว่ยเป็นอย่างไรบ้าง
ชาติที่แล้ว หลังจากที่เขากลายเป็นเศรษฐี เขาได้ไปที่เจี้ยนหยางเพื่อตามหาหลินต้าเหว่ย แต่ในตอนนั้นหลินต้าเหว่ยได้ย้ายไปอยู่ที่เจียงเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลแล้ว ยกเว้นก็แต่ครอบครัวของหลินเจียเว่ยที่ยังคงอาศัยอยู่ในเจี้ยนหยาง
เท่าที่จำได้ ในตอนนี้ ครอบครัวของหลินต้าเหว่ยน่าจะยังอยู่ในเจี้ยนหยางอยู่
……
“ฮัดชิ้ว ! ”
หลังจากที่หลิวอี้ถิงเลิกงานเสร็จแล้วก็กลับมาบ้าน มาทำอาหารต่อ และในขณะที่เธอกำลังทำอาหารอยู่ในครัวอยู่นั้น จู่ ๆ เธอก็จามออกมา
หลินต้าเหว่ยที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องนั่งเล่นจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง: “เป็นอะไร คุณเป็นหวัดหรือ ? ”
หลิวอี้ถิงตอบว่า “ฉันเป็นหมอ ถ้าเป็นหวัด ฉันก็คงรักษาตัวเองหายไปแล้ว เป็นเพราะคุณชอบกินเผ็ดต่างหาก ฉันเลยสำลักพริกทอดของคุณ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “งั้นคุณก็เปิดหน้าต่างระบายอากาศสิ”
“เข้าใจแล้ว ! ” หลิวอี้ถิงกล่าว
หลินเจียเล่อที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “แม่ครับ แม่อาจจะไม่ได้สำลัก แต่เพราะกำลังมีใครบางคนคิดถึงหรือพูดถึงแม่อยู่ก็ได้”
เห็นเขาว่ากันมาแบบนั้นนะ ว่าการที่เราจะจามขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้น เป็นเพราะมีใครบางคนกำลังคิดถึงเราอยู่
“อ่านหนังสือไป ไม่ต้องไปยุ่งกับแม่เขาหรอก”
หลินต้าเหว่ยจ้องลูกชายคนเล็กของเขาและทำเป็นพูดด้วยความโกรธ
หลินเจียเล่อกล่าวว่า “อาจเป็นพี่สามหรืออาจเป็นพี่รองก็ได้ แต่ผมว่าไม่น่าใช่พี่ใหญ่”
ใบหน้าของหลิวจ้าเหว่ยจมดิ่งลงทันที
ในครอบครัวหลิน ตั้งแต่ที่หลินเจียอินออกจากบ้าน เธอก็กลายเป็นสิ่งต้องห้าม และห้ามใครพูดถึงเธอต่อหน้าหลินต้าเหว่ยเด็ดขาด
หลินเจียเล่อจำได้ว่าพี่รองของเขาเก่งแค่ไหน และเขาก็แอบคิดถึงเธออยู่ทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะระวังคำพูดโดยไม่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าพ่อแม่ของเขาเลย
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ จู่ ๆ เขาก็โพล่งแบบนี้ออกไป
ในห้องครัว หลิวอี้ถิงตาชื้นขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลูกชายคนเล็ก
ตั้งแต่ลูกสาวออกจากบ้านไป เธอก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของลูกมาเลยตลอด 5 ปีนี้ ไม่รู้ว่าลูกสาวจะสบายดีไหม ในฐานะแม่ เธอจะไม่คิดถึงลูกสาวของตนเองได้อย่างไร
แต่เธอก็ยังจำได้เช่นกันว่าลูกสาวของเธอทำร้ายจิตใจของเธอและหลินต้าเหว่ยขนาดไหนในตอนนั้น และเธอไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าสามีเลย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าลูกชายตัวดีจะพูดโพล่งขึ้นมาแบบนี้ได้
“เสี่ยวเล่อ กำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร รีบมายกอาหารไปซะ”
หลิวอี้ถิงกังวลว่าสามีของเธอจะด่าลูกชายคนเล็ก เธอจึงรีบเรียกเขาเข้ามายกอาหาร
“อ้อ”
ดูเหมือนว่าหลินเจียเล่อเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังพูดผิด จึงทิ้งหนังสือในมือและกระโดดลงจากโซฟาวิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
“แม่ แม่……ร้องไห้หรือ ? ”
เมื่อเขาเข้าไปในครัว เขาก็เห็นดวงตาของหลิวอี้ถิงเปียกชื้นด้วยคราบน้ำตา จึงแอบกระซิบถามผู้เป็นแม่
“ไม่ใช่ แม่แค่พริกเข้าตาน่ะ ! ”
หลิวอี้ถิงพูดปกปิดและส่งจานพริกเขียวทอดให้หลินเจียเล่อ เพื่อให้เขายกออกไป
หลินเจียเล่อรับจานมา แต่ก็ไม่ได้รีบเดินออกไป
เขาเป็นคนรู้เรื่อง และรู้ว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงกระซิบ “แม่ รอให้ผมปิดเทอมฤดูร้อนแล้ว เราไปเยี่ยมพี่รองที่ชิงโจวกันเถอะ”
“ไปยงไปเยี่ยมอะไรกันล่ะ ถ้าพ่อของลูกรู้ เขาจะไม่หักขาลูกงั้นหรือ ? ”
หลิวอี้ถิงแสร้งทำเป็นตำหนิ
หลินเจียเล่อพูดต่ออีกว่า “แม่ครับ ผมอายุ 16 ปีแล้วนะ ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมก็ค่อยบอกพ่อว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้น ถ้าผมแอบไป พ่อคงไม่รู้หรอก”
หลิวอี้ถิงจ้องมองเขาแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธ “ถ้าพ่อรู้ว่าโกหก พ่ออาจจะโกรธยิ่งกว่า”
หลินเจียเล่อแลบลิ้นออกมา ก่อนที่จะรีบยกอาหารไปที่ห้องนั่งเล่น
ตอนนี้หลินเจียลี่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเจียงเฉิง ส่วนหลินเจียเว่ยได้แยกครอบครัวออกไปและอาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ในบ้านจึงเหลือสมาชิกเพียง 3 คน หลิวอี้ถิงจึงทำอาหารง่าย ๆ แค่เต้าหู้หม่าโผ่วหนึ่งจาน พริกเขียวทอดและซุปวุ้นเส้นกะหล่ำปลี
หลินเจียเล่อยกอาหารทั้งหมดมาวางที่โต๊ะ ส่วนหลิวอี้ถิงถือข้าวสามชามตามออกมาด้วย
“เหล่าหลิน กินอาหารเย็นกันเถอะ”
หลินต้าเหว่ยเดินไปที่โต๊ะอย่างไม่พอใจและนั่งลง เขายังคงมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปหยิบเหล้ามาหนึ่งขวด
มันคือเหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยาง
มันคือเหล้าข้าวโพดที่ผลิตในท้องถิ่น คล้ายกับเหล้าข้าวโพดเปียนซาน แต่ตัวขวดทำเลียนแบบขวดเหล้าเหมาไถ ราคาแพงกว่าเหล้าข้าวโพดเปียนซานเล็กน้อย ในตลาดขายอยู่ที่ขวดละ 1.2 หยวน
ผู้ท้องถิ่นในเจี้ยนหยางทุกคนชอบดื่มเหล้าชนิดนี้มาก
“ตับคุณยังไม่ค่อยแข็งแรง ดื่มให้มันน้อยลงหน่อย”
หลิวอี้ถิงพูดเตือน
หลินต้าเหว่ยยังคงนิ่งเงียบและเทเหล้าเต็มจอก
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกนั่งกินอาหารมื้อนี้อย่างเงียบ ๆ
……
ทางด้านเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากที่ปลอบใจหลินเจียอินแล้ว เขาก็ไปเล่นกับลูกสาวอยู่พักหนึ่ง
ตอนนี้เจียงชานและหวังกังได้เรียนรู้วิธีการกินหมากขั้นพื้นฐาน 22 วิธีแล้ว และพวกเขาสามารถเดินหมาก 2 ทีจนและ 1 ทีจนได้แล้ว
เด็กน้อยทั้งสองพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในตอนบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เรียกหวังผิง เฝิงเยี่ยนหง และหลินเจียอินมาประชุมกันในครัว
เจียงเสี่ยวไปพูดถึงที่ดิน 100 หมู่ที่ได้รับการจัดสรรมาจากรองนายกเทศมนตรีจาง รวมถึงเรื่องที่มีแพลนจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูป
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงมีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น
แต่หลังจากที่มีความสุขได้ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาเหมือนกับหลินเจียอิน ทั้งคู่กังวลเกี่ยวกับเรื่องเงิน
หวังผิงพูดออกมาว่า “การสร้างโรงงานเป็นสิ่งที่ดี แต่การสร้างโรงงานบนพื้นที่ 100 หมู่นั้นใหญ่เกินไปไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เราได้รับจัดสรรที่ดินมา 100 หมู่ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ที่ดินทั้งหมด 100 หมู่มาสร้างโรงงาน”
หวังผิงสงสัยว่า “ถ้านายไม่ได้เอามาสร้างโรงงานทั้งหมด หรือนายจะเอาไว้ปลูกต้นไม้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ในโรงงานสมัยใหม่ ฟังก์ชั่นของพื้นที่โรงงานจะมีความหลากหลาย เราจะมีโรงงานการผลิต อาคารสำนักงาน คลังสินค้า โรงอาหารพนักงาน อาคารหอพักพนักงาน ฯลฯ
“ที่ดิน 100 หมู่อาจดูเหมือนเยอะมาก แต่ที่จริงแล้วเกือบไม่พอใช้ด้วยซ้ำไป”
หวังผิงพยักหน้า “ถูกต้อง ตอนที่ฉันส่งอาหารไปที่โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของเมืองและพบว่าโรงงานของพวกเขามีขนาดใหญ่มาก แถมยังมีทุกอย่างอยู่ในนั้นด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงเป็นรัฐวิสาหกิจ แม้ว่าจะมีไซต์งานขนาดใหญ่และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่ก็ยังไม่มีแบบแผนเลย มันไม่เหมือนกับโรงงานมาตรฐานสมัยใหม่ของเขา
อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นล้วนมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องพูดถึงพวกเขา
เฝิงเยี่ยนหงขมวดคิ้วและถามว่า “พี่เสี่ยวไป๋ ถ้าพี่สร้างโรงงานตามที่พูดแล้ว ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์พวกนี้จะราคาเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “น่าจะหลายแสน”
“หลายแสน ! ”
“หลาย…..แสน ? ”
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงอุทานพร้อมกัน เพราะเงินหลักแสนหยวนเหมือนเป็นตัวเลขที่เยอะมาก ทำให้พวกเขาตกตะลึง
“มูลค่าการซื้อขายของร้านค้าทั้งสองของเราบวกกับคำสั่งซื้อกลับบ้านมีเพียง 6,000-7,000 หยวนต่อวัน ซึ่งยังไม่ได้หักออกจากต้นทุน ท้ายที่สุดแล้วกำไรต่อเดือนของเราก็แค่หลักแสนหยวนต้น ๆ เท่านั้น แบบนี้เราไม่ต้องรออีกหลายเดือนถึงจะสร้างโรงงานได้หรอกหรือ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงคำนวณในใจของเธออย่างเงียบ ๆ และพูดออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ฉันกู้เงินธนาคารมา 3 ล้าน ตอนนี้เงินอยู่ในบัญชีแล้ว”
หวังผิง: ? ? ?
เฝิงเยี่ยนหง: ? ? ?
ทั้งสองมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความตกตะลึง
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ที่ฉันเรียกให้ทุกคนมาที่นี่ก็เพราะจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าเงินกู้มีไว้สำหรับใช้บริหารโรงงาน และในฐานะหุ้นส่วน จะได้รับผลประโยชน์และแบกรับความเสี่ยงไปด้วยกัน”
เหงื่อเย็นไหลออกมาบนหัวของหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงในทันที
แม่เจ้า ที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดมานั่นหมายความว่าพวกเขาแบกหนี้ที่กู้มาแล้ว ฝั่งเจียงเสี่ยวไป๋ 1.8 ล้าน ส่วนฝั่งเขาเอง 1.2 ล้านหยวนใช่ไหม ?