ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 130 :ในเมื่อต้องมาก็มา
ตอนที่ 130 :ในเมื่อต้องมาก็มา
ฝายกั้นน้ำบนเนินดินแบ่งเป็นสามชั้น มองจากมุมไกล ๆ เหมือนตัวอักษร “之” บนฝายกั้นน้ำมีทางรถวิ่งขนาดหน้ากว้าง 4 เมตร และทางเดินเท้าทั้งสองฝั่งที่มีหน้ากว้าง 1 เมตร รวมแล้วถนนบนฝายกั้นน้ำมีหน้ากว้างถึง 6 เมตร
ส่วนเรือนสี่ประสานที่มีทางเข้าสามทางล้วนใช้อิฐที่รื้อถอนมาจากกำแพงอิฐเก่าของบ้านและโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉิน แม้จะถูกนำมาสร้างใหม่ แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นจีนโบราณอยู่
ประกอบกับมีปรมาจารย์ชั้นครูอย่างหลินฉางเกิงคอยให้คำชี้แนะอยู่ข้าง ๆ จวงปี้เฉิงเองก็ทำงานเก็บรายละเอียดอย่างพิถีพิถันโดยไม่เสียดายเวลา ไหนจะฝีมือชั้นสูงของช่างไม้ถาน ดังนั้นเรือนสี่ประสานที่เจียงเสี่ยวไป๋ร่างแบบไว้จึงดูเหมือนเรือนในยุคโบราณอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าตอนนี้มันเป็นเพียงกรอบงานเท่านั้น
แต่มันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
“เสี่ยวเจียง หากบ้านของเธอสร้างเสร็จ มันคงไม่ต่างจากวิลล่าส่วนตัวริมภูเขา ! ”
หลินฉางเกิงพูดด้วยความทึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับ “หากไม่ได้คำแนะนำจากคุณ ผมทำเองคงไม่เหมือนเรือนสี่ประสานอย่างที่ต้องการแน่นอน”
หลินฉางเกิงได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ
ถึงอย่างไร เขาก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อที่นี่จริง ๆ
“เอาล่ะ เหล่าหลิน พวกเรากลับไปกินข้าวกันเถอะครับ”
หลังจากเดินตรวจดูไปหนึ่งรอบ เจียงเสี่ยวไป๋จึงชวนชรากลับไปกินข้าวเย็น
พอได้ยินว่าจะไปกินข้าวเย็น ชายชราหลินดีใจมาก เขาพูดอย่างรอคอยว่า “วันนี้กินอะไรหรือ ? ”
เขามาอยู่ที่เจียงวานได้ 10 วันแล้ว ในตอนบ่ายของทุกวัน เจียงเสี่ยวไป๋จะกลับมาทำอาหารให้เขากิน และดูเหมือนว่าเมนูจะไม่ซ้ำกันเลยสักวัน แถมยังรสชาติอร่อยมากอีกด้วย
“วันนี้กินกระดูกสันหลังแกะ ! ”
ตอนไปตลาดเมื่อช่วงบ่าย เขาบังเอิญไปเห็นว่ามีเนื้อแกะขาย ซึ่งเนื้อถูกขายไปเกือบหมดแล้ว เหลือก็แต่กระดูกสันหลังของแกะ และขาแกะอีกหนึ่งชิ้น เขาจึงซื้อกลับมา
“ฉันยังไม่เคยกินกระดูกสันหลังแกะเลย เดี๋ยวจะรอชิมแล้วกัน”
หลินฉางเกิงพูดด้วยความสนใจ
แม้เขาจะแก่แล้ว แต่เขากลับสนใจสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “กระดูกสันหลังแกะเป็นอาหารซานตง วัตถุดิบหลักคือกระดูกสันหลังทั้งชิ้นของแกะที่มีเนื้อสันในและไขสันหลังติดมาด้วย และเป็นเพราะตัวโครงกระดูกสันหลังของแกะมีรูปร่างคล้ายแมงป่อง ดังนั้นคนโบราณจึงเรียกกันทั่วไปว่ากระดูกแมงป่อง คนสูงอายุกินแล้วจะช่วยบรรเทาโรคกระดูกพรุน ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งอาหารเสริมแคลเซียม”
เขาพูดมาแบบนี้ หลินฉางเกิงก็ยิ่งเกิดความสนใจมากขึ้น
“ไป ๆ พวกเรารีบกลับกันเถอะ เธอก็รีบทำเข้าล่ะ เสี่ยวเจียง อีกเดี๋ยวฉันจะไปดื่มกับพ่อของเธอ”
หลินฉางเกิงมาถึงเจียงวานแล้ว เขาก็ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเจียงไห่หยาง พอทั้งสองเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว เวลากินข้าวเย็นก็มักจะชวนกันดื่มเป็นประจำ
“ครับ เดี๋ยวผมไปดื่มเป็นเพื่อนคุณด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หลินฉางเกิงได้ไปนั่งพูดคุยกับเจียงไห่หยาง ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋เข้าครัวไปทำอาหาร
เดิมทีกระดูกสันหลังแกะมีวิธีทำอยู่ 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือเมนูซุปน้ำแดงและซุปน้ำใส
แต่ชาวชิงโจวชอบรสจัด ชายชราหลินเองก็ชอบอาหารที่รสชาติเข้มข้น เจียงเสี่ยวไป๋จึงเลือกทำแบบซุปน้ำแดง
เมนูนี้ใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เจียงเสี่ยวไป๋ใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่งถึงทำเสร็จ หลังจากที่เขาทำเมนูแกล้มเหล้าอีก 2-3 เมนูแล้ว เขาก็ไปเรียกชายชราหลินและพ่อแม่ของเขามากินข้าว
กลิ่นเนื้อแกะอันเป็นเอกลักษณ์ลอยโชยมาในอากาศ กระดูกติดเนื้อสันในรูปร่างคล้ายแมงป่องในหม้อลมดูน่ากินมาก
“ป่าป๊า วันนี้ป่าป๊าทำเมนูกุ้งเครย์ฟิชยักษ์หรือ ! ”
เจียงชานเห็นกระดูกสันหลังแกะ พลางพูดด้วยความดีใจ
ตอนแรกเธอนึกว่าป่าป๊าของเธอทำเมนูกุ้งเครย์ฟิชยักษ์ที่เธอไม่เคยกินมาก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ใช่กุ้งเครย์ฟิช แต่เป็นกระดูกสันหลังแกะ ลูกลองดูดี ๆ มันไม่เหมือนกับกุ้งเครย์ฟิชเลย”
“อ้อ ค่ะ ! ”
หลังจากหนูน้อยดูอย่างละเอียดแล้ว เธอก็พูดว่า “มันไม่เหมือนกันจริงด้วย กุ้งเครย์ฟิชต้องมีก้ามใหญ่ แต่กระดูกสันหลังแกะไม่มี”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างชื่นชม แล้วถามต่ออีกว่า “ยังมีอีกไหม ? ”
“มีค่ะ……กุ้งเครย์ฟิชมีเปลือกแข็ง ไม่มีกระดูกหนา แต่กระดูกสันหลังแกะมีแต่กระดูกและเนื้อ”
หนูน้อยเพ่งมองไปด้วยและพูดไปด้วย น้ำลายของเธอเกือบจะไหลตามออกมาแล้ว
เจียงไห่หยางไม่เคยกินกระดูกสันหลังแกะมาก่อนเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยกับเจียงชานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียที เขาจึงพูดเร่งเร้าขึ้นว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับเด็กน้อยจะไปมีประโยชน์อะไร รีบไปเอาเหล้ามาได้แล้ว พ่อจะดื่มประชันกับเหล่าหลินเสียหน่อย”
หนูน้อยได้ยินแบบนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ปู่คะ ป่าป๊ากำลังสอนหนูสังเกต ป่าป๊าบอกว่าคนเก่งจะต้องรู้จักสังเกต”
เจียงไห่หยางไม่ได้สนใจคำพูดของเด็กน้อยเท่าไหร่ ทว่าหลินฉางเกิงกลับอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋และลูกสาวทำให้เขานึกถึงเหล่าลูกชายและลูกสาวของเขาเอง ในปีนั้นเขาก็ตั้งใจอบรมสั่งสอนลูก ๆ อย่างนี้เช่นกัน กระทั่งพวกเขาสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้
ตอนนี้ลูก ๆ ของเขาต่างประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน แต่ละคนต่างย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว
หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในชิงโจวเพียงลำพังมาโดยตลอด
ตอนแรกชีวิตของเขาเป็นไปอย่างเงียบสงบในแต่ละวัน แต่ไม่คิดเลยว่าการมาเยือนของเจียงเสี่ยวไป๋จะทำให้เขาได้กลับมาทำงานที่ห่างหายไปนานแสนนานอีกครั้ง
มองดูครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ความสุขของครอบครัวที่ได้เติมเต็มกันและกัน ในใจของเขารู้สึกเหงาขึ้นมา
เขาจำเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขาได้ เพื่อนเก่าคนนั้นเคยพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เด็กเก่งเป็นคนของประเทศชาติ เด็กหัวปานกลางต่างหากที่เป็นลูกของพ่อกับแม่จริง ๆ ”
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริง
แต่เขาเสียใจไหม ?
ไม่เลย !
ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพ่อ หรือในฐานะพนักงานของรัฐผู้ที่เกษียณอายุจากสำนักส่งเสริมวัฒนธรรม เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเลย
เพราะบางเรื่อง ต้องมีคนแบกรับเอาไว้ !
โลกนี้ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เหตุผลที่คนสามารถมีชีวิตที่ดีได้ก็เพราะมีคนแบกภาระแทนพวกเขาต่างหาก
มื้อนี้หลินฉางเกิงดื่มจนเมาแล้ว
……
เวลา 2 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ติงจวิ้นเจี๋ยมาหาเขาที่ร้านอร่อยสามมื้ออีกครั้ง
“เลขาติง ท่านรองนายกอยากกินกุ้งเครย์ฟิชอีกหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้อยากกินกุ้งอบน้ำมันหรือกุ้งกระเทียมล่ะ ? ”
ติงจวิ้นเจี๋ยยิ้มเจื่อน “เถ้าแก่เจียง คุณเลิกล้อเล่นได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นท่าทีลำบากใจของเขา จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ ผมจะไปกับคุณ”
ติงจวิ้นเจี๋ยดีใจมาก เขารีบพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่เจียง เชิญครับ ! ”
ทั้งสองเดินออกจากร้าน เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองไปที่ถนนก็เห็นรถเก๋งซีดาน “หัวท้ายแบน” คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงท่อนหนึ่งในเรื่องตลกพื้นบ้านที่คนชอบเล่ากันปากต่อปากว่า: เลขาธิการกองกำลังพลใหญ่ขับรถแต๊ก แต๊ก แต๊ก (รถแทรกเตอร์) เลขาธิการพรรคของรัฐบาลขับ 130 (เป็นรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่นหนึ่ง ชื่อเต็มคือ Beijing BJ130) เลขาธิการพรรคเทศมณฑลขับรถคลุมผ้าใบเขียว (รถจี๊ปทหาร Beijing BJ212) แต่เลขาธิการพรรคภูมิภาคกลับได้ขับรถหัวท้ายแบน
ซึ่ง “รถหัวท้ายแบน” ที่ว่านี้ก็คือรถเก๋งซีดานรุ่น Shanghai SH760 นั่นเอง
ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีรถเก๋งซีดาน Volkswagen Santana
ในปี 1983 ทาง Volkswagen Santana เพิ่งมีการก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ร่วมทุนในเซี่ยงไฮ้ จนกระทั่งปี 1985 ถึงมีการเปิดตัวสู่ตลาดจริง
“ผมยังไม่เคยนั่งรถแบบนี้มาก่อนเลย ! ”
เมื่อเข้ามานั่งในรถ เจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาพูดอย่างเสียดาย เพราะในชาติที่แล้ว เขาเพิ่งร่ำรวยในอีกสองสามปีให้หลัง ในตอนนั้นรถหัวท้ายแบนประเภทนี้ถูกโล๊ะออกจากตลาดหมดแล้ว รถคันแรกที่เขาซื้อก็คือ Volkswagen Santana
ติงจวิ้นเจี๋ยกลับนึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋คงไม่เคยได้เห็นรถที่ดีและสะดวกสบายขนาดนี้มาก่อน เขาจึงพูดอย่างภูมิใจว่า “ในชิงโจวของเรามีรถแบบนี้แค่ไม่กี่คัน ที่ผมมีโอกาสได้นั่งบ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะผมติดตามท่านรองนายกเทศมนตรีจาง”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เขาไม่มีความคิดใดเกี่ยวกับรถรุ่นที่ใกล้จะถูกโล๊ะจากตลาดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ถ้าเป็นรถจี๊ป Beijing BJ212 ก็ว่าไปอย่าง
ที่ทำการเทศบาลเมืองชิงโจวตั้งอยู่ที่ถนนชิงหยุน ใช้เวลาไม่นาน รถเก๋งซีดานคันนี้ก็ขับเข้ามาจอดในเขตของสำนักงานเทศบาล ติงจวิ้นเจี๋ยนำเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่หน้าห้องทำงานของรองนายกเทศมนตรีจาง
“เถ้าแก่เจียงรอสักครู่นะครับ ผมจะไปแจ้งให้รองนายกเทศมนตรีจางทราบก่อน”