ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 11 :มีเงินก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ
ตอนที่ 11 :มีเงินก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ
ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะไม่ขายให้ถ้าราคาต่ำไป หลิวเจี้ยนกั๋วถึงกับชะงัก เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขารีบร้อนเกินไปจนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเข้าแล้ว
ในธุรกิจการค้า ใครเป็นฝ่ายคุมเกมได้ก่อนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และใครเป็นฝ่ายถูกกระทำจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ครั้งนี้ดูท่าว่าต้องควักเงินก้อนใหญ่จ่ายเข้าแล้ว
หลิวเจี้ยนกั๋วส่ายหน้า แต่เขาไม่สนใจมากนักและพูดอย่างเต็มใจ “วางใจได้ ไม่กดราคาแน่นอน”
ทั้งสองเดินเข้าไปชั่งน้ำหนักสัตว์ป่าในร้าน ไก่ฟ้าสีทองหนักตัวละ 3 ชั่ง 5 เหลี่ยง เดิมทีกระต่ายป่ามี 4 ตัว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ขายแค่ 3 ตัว น้ำหนักรวมคือ 18 ชั่ง ส่วนเลียงผาหนัก 42 ชั่ง
“ไก่ฟ้าสีทองชั่งละ 3 หยวน”
“กระต่ายป่าชั่งละ 2.5 หยวน”
“ส่วนเลียงผารับซื้อราคาแพงหน่อย ให้ราคาชั่งละ 4 หยวนแล้วกัน”
หลิวเจี้ยนกั๋วกล่าวอย่างภูมิใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า ตอนนี้ราคาเนื้อหมูแค่ชั่งละ 1 หยวนเท่านั้น แม้ว่าราคาเนื้อสัตว์ป่าจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่ราคาที่หลิวเจี้ยนกั๋วให้มาถือว่าสูงจริง
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแล้วพูดว่า “ไก่ฟ้าสีทองและกระต่ายคิดแค่ชั่งละ 2.5 หยวนพอ”
หลิวเจี้ยนกั๋วผงะกับความจริงที่ว่าเขาให้ราคาสูงไปหรือนี่ ?
ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ดูเหมือนคนฉลาดที่บอกว่าจะไม่ขายให้ถ้ารับซื้อราคาต่ำไป แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายลดราคาให้เอง เฮ้อ ถึงยังไงเขาก็ออกมาจากชนบท เขาช่างโง่จริง ๆ
“ได้ ตามที่นายบอกเลย”
หลิวเจี้ยนกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แต่เลียงผา ฉันอยากได้ราคาชั่งละ 5 หยวน”
หลิวเจี้ยนกั๋วแทบจะกระอักเลือดออกมา
แม่เจ้า ใครบอกว่าเจ้าหมอนี่โง่ เห็นได้ชัดว่าเขาฉลาดมาก แถมยังขุดหลุมฝังเขาเข้าเต็ม ๆ อีกด้วย
ไก่ฟ้าสีทองหนักแค่ 3 ชั่งขึ้น ลดราคาให้ชั่งละ 5 เหมา พอคิดรวมกันแล้วลดราคาไปแค่ 1 หยวน 7 เหมา 5 เจี่ยวเอง
แต่เลียงผาตัวนี้หนักถึง 42 ชั่ง เพิ่มราคาไปชั่งละ 1 หยวน เท่ากับว่าแพงขึ้นถึง 42 หยวนเชียวนะ
และเมื่อหักลบกันแล้ว เขาต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 40 หยวน 5 เหมา !
ตอนแรกหลิวเจี้ยนกั๋วอยากจะบอกว่ามันแพงเกินไป แต่หลังจากคิดดูแล้ว เงินที่ใช้ซื้อก็เป็นเงินของโรงแรม ไม่ใช่เงินของตัวเขาเองเสียหน่อย แล้วทำไมต้องรู้สึกว่ามันแพงด้วยล่ะ
อีกอย่างตอนนี้ผู้จัดการฟ่านกำลังต้องการใช้ด่วน แค่หาได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จะสนใจทำไมว่าจ่ายเงินไปเท่าไร ?
เขากัดฟันพูดว่า “ได้ ตามราคาที่นายบอกเลย”
คำนวณราคาไก่ฟ้าสีทองรวมกับกระต่ายป่าได้น้ำหนัก 21 ชั่ง 5 เหลี่ยง คิดราคาชั่งละ 2.5 หยวน รวมเป็นเงิน 53.75 หยวน
เลียงผาหนัก 42 ชั่ง ราคาชั่งละ 5 หยวน รวมได้ 210 หยวน
ทั้งหมด 263.75 หยวน
หลิวเจี้ยนกั๋วจ่ายเงินให้เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ขาดไม่เกิน พลางพูดว่า: “ต่อไปนี้ถ้ามีเนื้อสัตว์ป่าอะไรอีกก็มาหาฉันนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดในใจว่าฉันทิ้งธนูกับลูกธนูไปหมดแล้ว ไม่มีหลังจากนี้อีกแล้วล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยิ้มรับ “ได้ ถ้ามีอีกฉันจะเอามาขายให้”
เขาบอกลาและจากไป
ว่ากันตามจริง เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะขายได้เงินเยอะขนาดนี้
ในปี 1983 แม้ว่าเงิน 200 หยวนจะไม่ใช่เงินจำนวนมหาศาล แต่ก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่
เขาประเมินว่าครัวเรือนในเจียงวานที่มีร้อยกว่าครัวเรือนนี้ คงมีแค่ไม่กี่ครัวเรือนที่มีเงินฝากถึง 200 หยวน ขนาดแรงงานในเมืองชิงโจวยังต้องกินดื่มอย่างประหยัด และใช้เวลานับปีกว่าจะเก็บเงินจำนวนนี้ได้
เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีมาก เขาหาเงินได้ 200 กว่าหยวนในครั้งนี้มันทำให้เขามีความสุขมากกว่าตอนที่เขาเซ็นสัญญาหลักร้อยล้านเมื่อชาติที่แล้วเสียอีก
ไม่ว่าชาติที่แล้วเขาจะได้เงินมาเท่าไหร่ มันก็เป็นเพียงความมั่งคั่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้เงิน 200 หยวนนี้สามารถซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้ภรรยาและลูกสาวของเขาได้
มีเงินแล้ว ความคิดแรกของเจียงเสี่ยวไป๋คือการซื้อ ซื้อ ซื้อ !
เจียงเสี่ยวไป๋ปั่นจักรยานตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าชิงโจว
ในปี 1983 ห้างสรรพสินค้าในเมืองไม่มีสินค้าและของใช้สิ้นเปลืองมากนัก ประชาชนทั่วไปยังคงต้องใช้ตั๋วเพื่อซื้อของ ซึ่งมันถูกเรียกว่าสินค้าราคาเท่าเทียม
แน่นอนเรายังสามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋ว แต่ราคาจะแพงกว่า ซึ่งเรียกสินค้าพวกนั้นว่าสินค้าต่อรองราคา
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีตั๋ว จึงทำได้เพียงซื้อสินค้าต่อรองราคาเท่านั้น
แต่เขาไม่สนใจ มันก็แค่เพิ่มเงินขึ้นมาไม่กี่หยวนเท่านั้น !
มันก็แค่เงินไม่ใช่หรือ แค่กระดาษที่ถูกตีค่า จ่ายออกไปแล้วค่อยหากลับมาใหม่ก็ได้
เขาเชื่อว่าด้วยความทรงจำและวิสัยทัศน์ในชาติที่แล้ว ประกอบกับประสบการณ์ทางธุรกิจและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ในยุคที่ธุรกิจยังไม่พัฒนาแบบนี้ เขาจะสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลและมีรายได้มากพอที่จะทำให้ภรรยาและลูกสาวของเขามีชีวิตที่ดีที่สุดแน่นอน
สำหรับลู่ทางหาเงิน เขาเองก็คิดไว้เช่นกัน
ชาติที่แล้วเขาคิดค้นอาหารรสเลิศไว้หลายเมนู ตอนนี้เขามาเกิดใหม่ในยุคที่ผู้คนยังไม่สามารถกินได้อย่างเพียงพอ นับประสาอะไรกับการกินอาหารที่ดี อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ดังนั้นเขาตั้งใจว่าจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยการทำอาหาร
เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อข้าวสารก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้ามีตั๋วอาหาร ราคาข้าวสารจะอยู่ที่ชั่งละ 1 เหมา แต่ถ้าไม่มีตั๋ว ราคาข้าวสารจะอยู่ที่ชั่งละ 1.1 เหมา
เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อข้าวไป 10 ชั่ง จ่ายไป 1.1 หยวน
แป้งและข้าวราคาเท่ากัน เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อแป้งไป 2 ชั่ง จ่ายไปแค่ 2.2 เหมาเท่านั้น
น้ำมันพืชขายชั่งละ 9 เหมา ซื้อไป 5 ชั่ง จ่ายไปทั้งหมด 4.5 หยวน
จากนั้นเขาไปซื้อเกลือมา 2 ถุง ตามด้วยน้ำตาลทรายแดง 1 ถุง น้ำตาลทรายขาว 1 ถุง ซีอิ๊ว 1 ขวดและน้ำส้มสายชู 1 ขวด ซึ่งใช้เงินไปแค่ 3.4 หยวนเท่านั้น
ยุคสมัยนี้มีเครื่องปรุงอยู่แค่ไม่กี่อย่าง นอกจากผงชูรสแล้ว ที่เหลือก็มีแค่เครื่องปรุงพวกนี้เท่านั้น อีกทั้งยุคนี้ยังไม่มีผงห้าเครื่องเทศและผงเครื่องเทศ 13 ชนิด
แต่หากต้องการปรุงรสอาหารให้อร่อยเหมือนในยุคสมัยต่อมา เครื่องเทศจึงจำเป็นไม่น้อย เจียงเสี่ยวไป๋ถามอยู่นานถึงหาซื้อโป๊ยกั๊ก อบเชยและใบกระวานมาได้ 3 ห่อใหญ่ในราคา 1.7 หยวน
ส่วนเครื่องเทศอื่น ๆ ไม่มีขายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่รีบร้อน เพราะเขารู้ว่าสามารถหาซื้อได้จากที่ไหน
อืม ซื้อเหล้าขาวอีกสัก 2 ขวด
แม้จะไม่ได้ซื้อเหล้าเหมาไถ แต่เขาก็เลือกซื้อเหล้าข้าวโพด 50 ดีกรีที่เป็นที่นิยมในขณะนี้ เหล้าถูกบรรจุในขวดทรงอ้วน ปิดด้วยฝายางนิ่ม
ขวดละ 5 เหมาถือว่าไม่แพง
จากนั้น เขายังได้ซื้อไข่ไก่อีก 10 ฟองในราคา 8 เหมา สบู่ 2 ก้อนในราคา 6 เหมาและแป้งข้าวโพด 1 ห่อในราคา 8 เจี่ยว
เมื่อเห็นลูกอมรสผลไม้ เขาก็ซื้อไปฝากชานชานอีก 1 ชั่งในราคา 6 เหมา
หลังจากเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าไปหนึ่งรอบ ได้ของมาหอบใหญ่ สุดท้ายเขาจ่ายเงินซื้อของไปแค่ 14.4 หยวนเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ทอดถอนใจว่าราคาสินค้าในตอนนี้มันช่างถูกเหลือเกิน
หลังออกจากห้างสรรพสินค้า เจียงเสี่ยวไป๋จึงปั่นจักรยานไปยังร้านขายเนื้อของสหภาพค้าเนื้อของเมือง
การซื้อเนื้อต้องใช้ตั๋วเนื้อด้วยเช่นกัน ถ้าไม่มีตั๋วก็ต้องต่อรองราคา
เมื่อไปถึงร้านขายเนื้อ เจ้าของร้านกำลังจะปิดร้านแล้ว ตอนนี้เนื้อบนเขียงเหลือไม่มากแล้ว
“เนื้อติดมัน 2 ชั่ง เนื้อแดง 3 ชั่ง” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
เจ้าของร้านขายเนื้อเป็นลุงวัยกลางคน เขาผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เพราะคนสมัยนี้ต่างชอบซื้อเนื้อติดมันกันทั้งนั้น เวลากินให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำและรสชาติดีกว่า เนื้อแดงเริ่มไม่เป็นที่นิยมแล้ว
ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เสื้อผ้าขาดเป็นรูอยู่หลายจุด เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอะไร เขาเล่นซื้อเนื้อทีเดียว 5 ชั่งแบบนี้ แถมยังซื้อเนื้อแดงค่อนข้างเยอะ แบบนี้มันแปลกอยู่นะ
“มีตั๋วซื้อเนื้อไหม ? ” เจ้าของร้านถาม
“ไม่มี”
“ถ้าไม่มีตั๋วเนื้อ ราคาเนื้อติดมันอยู่ที่ชั่งละ 1.3 หยวน เนื้อแดงราคาชั่งละ 1.1 หยวน”
“ได้”
หลังจากสื่อสารกันง่าย ๆ เจ้าของร้านก็แล่เนื้อให้เจียงเสี่ยวไป๋ “ทั้งหมด 5.9 หยวน”
เจียงเสี่ยวไป๋จ่ายเงินอย่างรวดเร็ว
เจ้าของร้านรับเงินมาอย่างมีความสุขและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เวลาปิดแผงแล้ว”
เขาพูดพลางเก็บเขียงและเอาเศษเนื้อที่เหลือใส่ลงไปในกระบุงไม้ไผ่ข้างล่างแผงวางเขียง
เจียงเสี่ยวไป๋บังเอิญเหลือบไปเห็นกระดูกชิ้นโตสองชิ้นในกระบุงพอดี จึงถามว่า “พี่ชาย กระดูกสองชิ้นนั้นขายไหม ? ”
เจ้าของร้านตกตะลึงอีกครั้งและถามด้วยความประหลาดใจ “จะซื้อหรือ ? ”
ทุกวันนี้ กระดูกชิ้นใหญ่จะถูกเลาะเนื้อที่ติดกระดูกออกจนเกือบหมด เหลือเนื้อติดกระดูกแค่ไม่เท่าไร โดยทั่วไปไม่มีใครซื้อ ปกติเจ้าของร้านจะเอากลับบ้านและทำอาหารให้เด็ก ๆ กิน
“ซื้อ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
กระดูกชิ้นใหญ่สองชิ้นหนัก 3 ชั่งกว่า เจ้าของร้านจึงพูดว่า “หนัก 3 ชั่ง 7 เหลี่ยง ราคาชั่งละ 3 เหมา งั้นคิด 3 ชั่งพอ จ่ายมาแค่ 9 เหมาแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณแล้วจ่ายเงิน
ตอนนี้มีทั้งข้าวสารและเนื้อ เย็นนี้เขาสามารถทำอาหารแสนอร่อยให้ภรรยาและลูกของเขาได้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีมาก เขายิ้มทักทายเจ้าของร้านแล้วปั่นจักรยานกลับไป