ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 103 :ช่องทางทำเงินใหม่มาแล้ว
ตอนที่ 103 :ช่องทางทำเงินใหม่มาแล้ว
สามคนพ่อแม่ลูกลงจากรถเมื่อสิ้นสุดถนนลูกรัง หลินเจียอินเห็นบรรยากาศการทำงานในพื้นที่ก่อสร้าง หญิงสาวจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ขณะเดียวกัน เธอยังรู้สึกงงและตกใจอยู่เหมือนกัน
“พวกช่างจวงทำงานเร็วเหลือเกิน ! ”
“แล้วพวกเขาทำถนนสายใหญ่ขนาดนั้นไปทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋บอกแค่จะสร้างถนนไปยังพื้นที่ของบ้านใหม่ แต่ไม่ได้บอกว่ากว้างเท่าไร
“มีถนนกว้าง ๆ ไว้ดีกว่า อนาคตจะได้เข้าออกสะดวก”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกช่างจวงทำงานเร็วน่ะดีแล้ว เราจะได้เข้าอยู่บ้านใหม่เร็ว ๆ ไง”
หลินเจียอินพยักหน้า เพราะนี่คือสิ่งที่เธอหวังเช่นกัน
“ตอนนี้พื้นที่ก่อสร้างมีคนงานมากแล้ว คุณจอดรถไว้ตรงนั้นเถอะ” หลินเจียอินชี้ไปที่ด้านหน้าโรงเก็บของแรก “อย่าขี่เร็วนะ”
“รับคำสั่งเมีย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยกมือ พยักหน้า ก้มเอวท่าทางเหมือนคนรับใช้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินเม้มริมฝีปากอย่างขบขันแล้วพูดว่า “ใช้ได้ ! ”
ในที่สุดเมียก็ยิ้มเสียที
ราวกับท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถมาที่หน้าโรงเก็บของอย่างอิ่มเอมใจ
ตอนนี้ที่โรงเก็บของไม่มีใคร
แต่คนงานทุกคนรู้ว่านี่คือรถของเจียงเสี่ยวไป๋ ดังนั้นเขาจึงวางใจที่จะจอดรถไว้ที่นี่
เขาไม่ได้ไปหาจวงปี้เฉิง แต่กลับบ้านพร้อมกับภรรยาและลูก
“ป่าป๊า เย็นนี้กินอะไรหรือคะ ? ”
เมื่อเดินมาถึงร่องน้ำ เจียงชานเขย่าแขนเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความรอคอย
ตอนนี้ ความอร่อยของอาหารที่ป่าป๊าทำได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของเธอแล้ว เธอจึงไม่เคยถามหม่าม๊าอีกเลย
“ชานชานอยากกินอะไรล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยรอยยิ้ม
“เนื้อหมู, กระดูกหมู, ต้มจืดหมูสับ, เนื้อไก่, เนื้อเป็ด, เนื้อปลา, เนื้อวัว, เนื้อตุ๋น……”
หนูน้อยปล่อยแขนเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วใช้นิ้วนับเมนูอาหารที่เธออยากกิน และเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนิ่มน่ารัก
“หาอะไรอร่อยกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ ! ”
ความน่ารักของลูกสาวทำให้หลินเจียอินรู้สึกมีความสุขมาก
ตลอดระยะเวลา 1 เดือนนี้ ดูเหมือนว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะทำอาหารไม่เคยซ้ำเมนูกันเลยในแต่ละวัน ต่อให้เป็นวัตถุดิบเดียวกัน แต่เขาก็สามารถทำได้หลากหลายเมนู ไม่เคยซ้ำกัน
นอกจากนี้ ไม่ว่าเขาจะทำเมนูอะไรล้วนรสชาติอร่อยทั้งนั้น
แม้แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋อย่างคาดหวัง
“เดี๋ยวพ่อไปดูก่อนว่าที่บ้านมีวัตถุดิบอะไรบ้าง จะได้ทำของอร่อยให้เจ้าหญิงน้อยของพ่อกิน”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและมองลูกสาวด้วยความรัก
“ได้ค่ะ ! ”
“งั้นหนูขอไปดูกับป่าป๊านะ”
หนูน้อยพูดแล้วก็จับมือเจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปในครัว
เจียงเสี่ยวไป๋หาในครัวอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วสองพ่อลูกก็ต้องพบกับเรื่องน่าเศร้าที่ไม่มีวัตถุดิบอื่นในบ้านเลย นอกจากเนื้อสัตว์
“ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไปดูที่บ้านของพี่เสี่ยวโจวดีกว่าว่าเขาได้ปลาอะไรมาบ้าง เผื่อจะขอซื้อปลากลับมาสัก 2 ตัว”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแล้วจึงตัดสินใจที่จะไปดูที่บ้านของเจียงเสี่ยวโจว
พื้นที่บ้านของเจียงเสี่ยวโจวถูกจัดสรรให้เป็นรูปปากกระทะ บ้านสามครอบครัวตั้งเรียงรายริมน้ำ บ้านหลังกลางเป็นบ้านของเจียงไห่เทียน ฝั่งซ้ายมือเป็นบ้านของลูกชายคนโต เจียงเสี่ยวจี๋ ฝั่งขวามือถึงจะเป็นบ้านของเจียงเสี่ยวโจว
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงบ้านของเจียงเสี่ยวโจว
“ลุงใหญ่ ! ”
“ป้าสะใภ้ ! ”
เมื่อเห็นเจียงไห่เทียนและหลี่หงอิงอยู่บริเวณริมน้ำ เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวทักทายพวกเขาก่อน
“เสี่ยวไป๋เองหรือ เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ”
เจียงไห่เทียนกล่าวทักทายหลานด้วยรอยยิ้ม
หลี่หงอิงพูดขึ้นว่า “วันนี้มาเร็วจัง เสี่ยวโจวเขายังไม่กลับมาเลย คุยกับลุงใหญ่รอไปพลาง ๆ แล้วกัน”
เจียงเสี่ยวโจวไปหาปลากลับมาเวลาไม่แน่นอน ทว่าคนที่บ้านยังรอทำกับข้าวอยู่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปหาเขาที่ริมแม่น้ำแล้วกัน”
เจียงไห่เทียนจึงเอ่ยว่า “ลุงไปด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋แปลกใจแต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองลุงหลานจึงเดินไปที่แม่น้ำด้วยกัน
ระหว่างทาง เจียงไห่เทียนพูดว่า “หลานอยากสร้างบ้านก็สร้างไป แต่ทำไมถึงต้องทำถนนเส้นใหญ่แบบนั้นตัดผ่านด้วยล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้เข้าใจว่าที่ลุงใหญ่บอกว่าจะมาด้วย ที่แท้เป็นเพราะเขาต้องการถามเรื่องนี้เอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงอธิบายให้ฟัง
เจียงไห่เทียนฟังแล้วยังคงไม่เข้าใจ
เขาส่ายหน้าพลางพูดว่า “ต่อให้อยากสร้างถนนลูกรังเข้าไปถึงริมแม่น้ำของบ้านหลังใหม่ แต่ก็ไม่เห็นต้องทำถนนกว้างแบบนั้นเลย มันไม่สิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ”
“หลานนี่นะ หาเงินได้เยอะหน่อยก็ไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่นสุร่ายแบบนี้สิ”
ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นลุงแท้ ๆ เขาตำหนิมาแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับฟัง
ทั้งสองเดินมาถึงที่นาของเจียงไห่เทียนโดยไม่รู้ตัว
จู่ ๆ เจียงไห่เทียนก็หยุดฝีเท้า เขามองดูต้นกล้าในนาพลางขมวดคิ้วขึ้น
“ลุงใหญ่ เป็นอะไรไปหรือ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยความสงสัย
เจียงไห่เทียนถอนหายใจและพูดว่า “เมล็ดข้าวที่หว่านไว้เริ่มงอกแล้ว ลุงกำลังจะย้ายกล้าข้าวในอีกสองวัน แต่แมลงในนายังเยอะอยู่เลย”
“แมลง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “แมลงอะไรหรือลุง ? ”
เจียงไห่เทียนตอบ “หลานไม่ได้ทำนาคงไม่รู้หรอกว่าแมลงตัวใหญ่ในนาที่เหมือนกับแมลงป่องมันแพร่พันธุ์เร็วขนาดไหน มันทำให้ต้นข้าวเสียหายไม่น้อยเลย”
แมลงตัวใหญ่ที่เหมือนกับแมลงป่อง !
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ได้ทันทีว่ามันคือตัวอะไร เขาพูดอย่างดีใจว่า “ลุงใหญ่ ไอ้แมลงตัวใหญ่ที่ลุงพูดถึงมันเริ่มมีช่วงไหน ! ”
เจียงไห่เทียนยังคงจ้องมองต้นกล้าที่ถูกแมลงรบกวนและไม่ได้สนใจสีหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเพียงพยักหน้าและพูดว่า “เริ่มมีตั้งแต่เดือนเมษายนของทุกปี แต่จะอาละวาดหนักที่สุดในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม กำจัดยากมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ได้ฟังก็ยิ้มกว้าง แตกต่างจากเจียงไห่เทียนที่มีสีหน้าบูดบึ้ง
ฮ่าฮ่า สุดยอดของอร่อยมื้อเย็นมาแล้ว
แถมยังมีช่องทางทำเงินใหม่ ๆ ในอนาคตได้ด้วย
ไม่สนใจปลาแล้ว วันนี้เขาจะทำเมนูกุ้งเครย์ฟิชให้เมียและลูกสาวกิน
ไม่ผิด
เท่าที่ฟังเจียงไห่เทียนพูดมา เจียงเสี่ยวไป๋มั่นใจได้ว่าแมลงตัวใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้ต้นกล้าในนาข้าวก็คือเจ้า “กุ้งเครย์ฟิช” ที่คนรุ่นหลังเรียกกัน
เจ้าสิ่งนี้มาพร้อมกับสมัยที่ทหารจากแดนซากุระเข้ามารุกรานประเทศจีนในช่วงปี 1929 เดิมทีคนจากแดนซากุระอยากทำลายอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศจีน แต่คนพวกนั้นกลับคาดไม่ถึงเลยว่าคนจีนของเรามีพรสวรรค์เก่งกาจถึงขนาดทำเรื่องน่าปวดหัวให้กลายเป็นอาหารเลิศรสชั้นหนึ่งของโลกได้ แถมยังเกิดเป็นอุตสาหกรรมที่แพร่หลายและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ประเทศจีนได้ไม่น้อย
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคหลังต่อมา
ปัจจุบันในปี 1983 ชาวนาทั่วไปยังคงได้รับเดือดร้อนจากกุ้งเครย์ฟิช
เพราะยังไม่มีใครคิดค้นวิธีการกินกุ้งเครย์ฟิชได้ ทำให้มันแพร่พันธุ์ไปแทบทุกที่ตามท้องนา ลำธารและหนองน้ำ
จะบอกว่าพวกมันมีอย่างท่วมท้นจนกลายเป็นภัยพิบัติสำหรับพวกชาวนาเลยก็ว่าได้
เมื่อก่อนตอนที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ผู้คนเคยจับกุ้งเครย์ฟิชมากินเช่นกัน แต่กลับพบว่ามันไม่มีเนื้อและไม่อร่อย
ภายหลังจึงไม่มีใครกินมัน พวกเขามองมันเหมือนสัตว์รบกวน จับมันมาฆ่าแล้วโยนทิ้งไป
“ลุงใหญ่ ผมไม่ไปหาพี่เสี่ยวโจวแล้ว เดี๋ยวผมจะลองลงไปจับเจ้าแมลงพวกนั้นในนาของลุงใหญ่ดูสักหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูด เขาจัดแจงม้วนกางเกง ถอดรองเท้าแล้วลงไปในนา
โคลนในนาไม่ลึกมาก ความลึกแค่ครึ่งน่องของขาเขาเท่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ม้วนแขนเสื้อขึ้น เขาเอื้อมมือไปในโคลนและคลำอยู่ครู่หนึ่ง ในไม่ช้า เขาก็จับมันมาได้หนึ่งตัว
มันมีความยาวลำตัวประมาณ 7 เซนติเมตร มีก้ามขนาดใหญ่ 2 อัน เปลือกมีสีเขียวก่ำปนแดงเข้ม
มันคือกุ้งเครย์ฟิชจริงด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก เขาหันไปหาเจียงไห่เทียนและพูดว่า “ลุงใหญ่ช่วยกลับไปเอาถังน้ำจากที่บ้านมาให้ผมหน่อยสิ ผมจะจับมันไปเยอะ ๆ หน่อย”
เจียงไห่เทียนชะงักไปเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความสงสัยว่า “หลานจะเอาถังไปทำไม อย่าบอกนะว่าจะจับเจ้าพวกนี้กลับไปกินน่ะ ? ”
“ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบรับอย่างแน่วแน่
“ลุงขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ เจ้านี่มันไม่มีเนื้อ กินไม่อร่อยหรอก อย่าจับไปเสียเปล่าเลย” เจียงไห่เทียนโน้มน้าวหลานชาย