ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 127 ห้องลับของโรงเตี๊ยม
เยี่ยเว่ยหมิงพูดจาเหมือนนอบน้อมจริงใจ แต่เฟยอวี๋กลับจับประเด็นสำคัญที่อยู่ในคำพูดเหล่านั้นได้ทันที
เยี่ยเว่ยหมิงบอกว่า ‘ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า’ ไม่ได้บอกว่า ‘ข้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า’
สิ่งนี้อธิบายอะไรได้
“แค่ข้าคนเดียวหรือ” เฟยอวี๋อดประหลาดใจไม่ได้
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวเสริมว่า “พูดให้ถูกก็คือ ความสามารถของเจ้าสำคัญที่สุดในแผนการของข้า”
“ไม่มีปัญหา!” ครั้งนี้เฟยอวี๋ตอบรับอย่างตรงไปตรงมามาก “ตามที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ ขอเพียงเจ้าช่วยข้ากับสหายถังออกมาจากถ้ำหลิงอวิ๋นได้ ข้าก็ย่อมช่วยเจ้าทำภารกิจนี้สุดความสามารถ ต่อให้ข้าเอาชีวิตไปทิ้งก็ไม่เป็นอะไร…
…และข้าก็จะไม่ถามว่าแผนการภาพรวมของเจ้าคืออะไร ข้าขอรู้เพียงว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรก็พอ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วเลื่อนสายตาไปมองคนอื่นๆ “แน่นอน นอกจากเฟยอวี๋แล้ว หากพวกเจ้าพอจะช่วยข้าได้ ก็จะทำให้แผนการของข้ามีโอกาสชนะมากกว่าเดิม”
ไม่ทันรอให้คนที่เหลือตอบรับ เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนี้ข้ามีสองทางเลือกให้พวกเจ้า”
เพื่อนในทีมได้ยินแล้วเผยแววตาแตกต่างกันออกไป ทุกคนไม่ได้ร่วมงานกับเขาเพียงแค่ครั้งสองครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเว่ยหมิงให้ทางเลือกกับเพื่อนในทีมอย่างจริงจังก่อนจะปฏิบัติการ
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้เก็บซ่อนความคิดของตัวเองอีกต่อไป ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วพร้อมเอ่ยว่า “ทางเลือกที่หนึ่ง ไปคอยช่วยเหลืออยู่ตรงจุดที่โหยวจิ้นดักซุ่ม ไปที่นั่นรับประกันความปลอดภัยได้แน่นอน และข้าก็รับประกันได้เลยว่าภารกิจนี้จะสำเร็จอย่างราบรื่นแน่นอน รางวัลภารกิจจะตกมาถึงมือพวกเจ้าอย่างราบรื่นเช่นกัน”
จากนั้นเขาก็ชูนิ้วที่สองขึ้นมา “ทางเลือกที่สอง ข้าจะให้พวกเจ้าคนละสิบเหรียญทอง แต่ต่อไปเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องตายในภารกิจนี้หนึ่งครั้ง นี่คือเงินค่าซื้อชีวิตพวกเจ้า”
ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ การที่ผู้เล่นตายก็มีบทลงโทษเช่นกัน แต่นอกจากบทลงโทษลดค่าวีรบุรุษลงจนกลายเป็นคนเลว บทลงโทษของการตายก็ไม่นับว่าเข้มงวดโหดร้ายเท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะทำให้ภารกิจที่รับอยู่ในปัจจุบันล้มเหลว นอกจากนี้ค่าประสบการณ์ของทักษะยุทธ์หนึ่งรายการที่เลเวลสูงสุดในปัจจุบันก็จะลดลง 10% ด้วย
การจับกุมชวีหลิงเฟิงถือเป็นภารกิจหมู่ ตราบใดที่เพื่อนในทีมคนใดคนหนึ่งมีชีวิตรอดจนทำภารกิจสำเร็จได้ ทุกคนก็ล้วนได้รับรางวัลภารกิจ
ดังนั้นหากภารกิจล้มเหลว ภารกิจนี้จะถูกตัดทิ้ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากผู้เล่นตายไป ความเสียหายเพียงอย่างเดียวก็คือค่าประสบการณ์สิบแต้มของหนึ่งทักษะยุทธ์ หากเยี่ยเว่ยหมิงทำให้ภารกิจนี้เพิ่มรางวัลได้ การที่พวกเขาตายหนึ่งครั้งก็ไม่เพียงแค่จะไม่ขาดทุน กลับได้กำไรด้วยซ้ำ!
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยเว่ยหมิงยังยินดีควักกระเป๋าตัวเองด้วย ชดเชยสิบเหรียญทองเป็นค่าเสียชีวิต ในสายตาพวกเขาถือเป็นธุรกิจที่ทำกำไรมากจริงๆ พวกเขาย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอยู่แล้ว
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ…
ซานเย่ว์ส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าเลือกเข้าร่วมแผนการของเจ้าต่อไป ข้าจะปฏิบัติภารกิจตามแผนการของเจ้า เชื่อฟังที่เจ้าเตรียมการทุกอย่าง ต่อให้ตายสักครั้งก็รับได้อยู่แล้ว แต่เงินนี่ข้าไม่รับเด็ดขาด”
หลังจากซานเย่ว์แสดงท่าที สะพานสวรรค์น้อยและถังซานไฉ่ที่อยู่อีกด้านก็ตัดสินใจเช่นเดียวกัน
พวกเขาจะทำภารกิจต่อไป แต่ไม่รับเงินนี่เด็ดขาด!
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นเหตุการณ์กลายเป็นแบบนี้แล้วก็ส่ายหน้า ก่อนจะพูดเสริมว่า “ที่จริงภารกิจที่ข้ารับมาไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า นอกจากภารกิจเดียวกันที่รับมาจากเหวยเสี่ยวเป่า ที่ตัวข้ายังมีภารกิจพิเศษที่มีเป้าหมายเดียวกันอีกหนึ่งภารกิจด้วย ในรายการรางวัลขั้นต่ำมีอุปกรณ์คุณภาพทองคำหนึ่งชิ้น แล้วก็บวกค่าประสบการณ์กับค่าตบะพื้นฐานอีก ผลประโยชน์ที่ข้าจะได้รับจากภารกิจครั้งนี้ เป็นสองเท่าของผลประโยชน์ที่พวกเจ้าจะได้…
…แต่หากต้องการได้หลักประกันว่าแผนของข้าจะดำเนินไปอย่างราบรื่น กลับต้องให้พวกเจ้าสละชีวิต การที่ข้าออกเงินครั้งนี้ ก็เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองเท่านั้น”
“อย่ามาใช้มุกนี้เลย” ครั้งนี้ผู้ที่แสดงท่าทีก่อนก็คือถังซานไฉ่ “ถึงอย่างไรข้าก็ตายจนชินแล้ว ตายอีกสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเจ้าไปรับภารกิจอะไรมา จะได้ผลประโยชน์มากเท่าไร เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า ตราบใดที่ข้ารู้ว่าต่อให้ตัวเองต้องตายหนึ่งครั้ง แต่ภารกิจนี้ไม่ทำให้ข้าขาดทุนก็พอแล้ว”
“เลิกบ่นเป็นยายแก่ได้แล้ว มอบหมายหน้าที่ในภารกิจมาเลยเถอะ” ซานเย่ว์เห็นด้วยกับข้อเสนอ
สะพานสวรรค์น้อยไม่ได้ตอบอะไร เพียงพยักหน้าสื่อว่าตัวเองตัดสินใจเหมือนกันกับนอื่นๆ
ที่จริงคำขอ ‘ซื้อชีวิต’ ของเยี่ยเว่ยหมิง ดูเหมือนเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น แต่ความจริงกลับจำเป็นมาก
เรื่องในครั้งนี้ ต่อให้เขาจะไม่พูดอะไร คนอื่นก็ไม่ว่าอะไรเขาอยู่ดี แต่หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้วคนอื่นไม่ได้รับผลประโยชน์มากเท่าไร มีเพียงเขาคนเดียวที่เก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็จะทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจได้
เหตุการณ์นี้ก็คล้ายกับว่า ‘คนสองคนออกความคิดร่วมกัน ออกเงินทุนเท่ากัน ออกแรงเท่ากัน ผลปรากฏว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งปี เจ้าได้กำไรหนึ่งแสน แต่อีกฝ่ายได้กำไรหนึ่งล้าน’ เช่นนี้เจ้ายังจะสบายใจได้อีกหรือ
ดังนั้นเรื่องแบบนี้ควรพูดให้ชัดเจนล่วงหน้าจะดีกว่า
เมื่อพูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะยังมีคนรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ แต่เมื่อเทียบกับการตักตวงผลประโยชน์สูงสุดโดยไม่บอกกล่าว การทำเช่นนี้กลับเป็นที่ยอมรับมากกว่า
อย่างไรเสีย สำหรับรางวัลภารกิจครั้งนี้ เขาก็รับประกันไม่ได้ว่าโหยวจิ้นจะไม่แจกให้เขาต่อหน้าคนอื่น สิ่งนี้ความหมายแตกต่างกับการที่เขาคลำศพรับ ‘ตำราลับตระหนักรู้’ โดยสิ้นเชิง
ดูจากนิสัยใจคอของคนในทีมสำนักมือปราบเทพ ขอเพียงเขาพูดชัดเจนล่วงหน้า ผลลัพธ์เชิงลบก็น้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น เงินซื้อชีวิตที่ควักออกมาส่วนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เชื่อว่าบรรดาสหายผู้น่ารักของตัวเองจะไม่รับไว้แน่นอน
อืม นี่ก็คือความสำคัญของการเลือกสหายร่วมทีม
แค่กๆ…
ตอนนี้ในเมื่อทุกคนยืนกรานว่าจะไม่รับเงินไว้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่สะดวกจะฝืนใจพวกเขา จึงตอบรับคำขอของพวกเขาเสียเลย เริ่มแบ่งหน้าที่ในภารกิจแล้ว
ก่อนอื่น สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงไปหยุดอยู่บนตัวเฟยอวี๋ “เฟยอวี๋ ทักษะของเจ้าสำคัญที่สุดในภารกิจครั้งนี้ และเรื่องที่เจ้าต้องทำก็คือ ตามหาเบาะแสของชวีหลิงเฟิงและลูกสาวของเขาต่อไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟยอวี๋ก็โค้งมุมปากเผยรอยยิ้มเหยียดหยามอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก
ว่าแล้วเชียว ให้ข้าไปทำภารกิจที่อันตรายที่สุด?
แต่เขากลับไม่แยแสสิ่งนี้เช่นกัน อย่างไรเสียวันนี้เขาก็มาเพื่อตอบแทนน้ำใจ ต่อให้ตายในหน้าที่ก็ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ตอบแทนน้ำใจได้ก็พอแล้ว
เขาถึงขั้นเฝ้าคอยให้เยี่ยเว่ยหมิงวางกับดักเขาสักครั้งด้วย
เพราะหากเป็นอย่างนั้น เขาก็จะไม่ติดค้างอะไรเยี่ยเว่ยหมิงอีกแล้ว จากนี้จึงจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพได้อย่างสง่าผ่าเผย
ทว่าคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงยังไม่จบเพียงเท่านั้น “เรื่องนี้เจ้าเชี่ยวชาญกว่าข้า เจ้ารู้รายละเอียดดีกว่าข้าว่าต้องทำอย่างไร ข้าไม่บัญชาการเจ้าแล้ว แต่เจ้าต้องตามติดไม่ให้ละสายตา แต่อย่าให้ชวีหลิงเฟิงสังเกตเห็นว่าเจ้ากำลังสะกดรอยตามเขา ตอนที่เจ้าสะกดรอยตามก็ใช้เส้นทางอ้อมสักหน่อย แล้วก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของชวีหลิงเฟิงกับลูกสาวของเขาไว้ตลอดเวลาด้วย”
หลังจากเงียบไปครู่เดียว สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา “เมื่อชวีหลิงเฟิงกับลูกสาวแยกกันไกลเกินห้าร้อยเมตรเมื่อไร เจ้าก็ลงมือทันที จับลูกสาวของชวีหลิงเฟิงไปยังจุดดักซุ่มของโหยวจิ้นได้เลย”
“จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ภารกิจของข้ากลับอันตรายน้อยสุดอย่างนั้นหรือ” เฟยอวี๋แปลกใจเล็กน้อย “แต่การที่ข้าทำเช่นนี้ ผลลัพธ์จะต่างกับตอนที่เจ้าจับลูกสาวของเขาไปให้โหยวจิ้นโดยตรงอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะถามเช่นนี้ จึงตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น “ที่จริงหน้าที่หลักของเจ้าก็คือเป็นหลักประกันขั้นต่ำ”
“หากปฏิบัติการฝั่งพวกเราสำเร็จลุล่วง หน้าที่ของเจ้าก็ไม่ได้มีความหมายแท้จริงอะไร แต่หากปฏิบัติการฝั่งพวกเราล้มเหลว หน้าที่ของเจ้าก็จะเป็นหลักประกันว่าพวกเราจะได้รับรางวัลภารกิจขั้นต่ำ!”
เฟยอวี๋ฟังแล้วก็พยักหน้า สื่อว่ายอมรับหลักการนี้ของเขา แต่ในขณะเดียวกันในใจกลับรู้สึกหงุดหงิด
ทักษะตัวอักษร ‘ดิน’ ของสำนักมือปราบเทพ เขาเรียนรู้มานานขนาดนี้แล้ว แต่กลับได้ใช้งานเพียงสะกดรอยตามมาตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าจะใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]ได้ด้วย
เมื่อพุ่งเป้ามาที่จุดนี้ ต่อให้จะไม่ได้อะไรจากภารกิจในวันนี้เลย แต่ก็ถือว่าได้กำไรอยู่ดี!
หลังจากแบ่งงานให้เฟยอวี๋เรียบร้อยแล้ว สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็ย้ายไปบนตัวถังซานไฉ่ “สหายถัง เจ้ากับเฟยอวี๋ไปด้วยกัน ช่วยเขาทำหน้าที่เป็นหลักประกันขั้นต่ำให้สำเร็จ”
ถังซานไฉ่ได้ยินแล้วอึ้งทันที เขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเยี่ยเว่ยหมิงตัดบท “งานของเฟยอวี๋คือคอยเป็นหลักประกันขั้นต่ำ แต่ก็ห้ามทำผิดพลาดเช่นกัน มีกันสองคนจะได้ช่วยเหลือกันสะดวก”
“ได้!”
ถังซานไฉ่พยักหน้า แต่ในใจยังเป็นกังวลอยู่บ้าง
อาศัยความโชคร้ายของเขา คงไม่ทำให้สหายเฟยอวี๋ซวยไปด้วยจนทำภารกิจหลักประกันขั้นต่ำนี้ล้มเหลวหรอกใช่ไหม
แต่ในเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถังซานไฉ่ก็ย่อมไม่บ่นอะไรอีก ได้แต่พยักหน้า “เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ พวกเราเดินทางกันตอนนี้เลย”
หลังจากเฟยอวี๋กับถังซานไฉ่ออกไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็พาสองสาวเดินตรงไปยังห้องครัวด้านหลังโรงเตี๊ยม พอมาถึงด้านหลังโต๊ะยาว ก็ยื่นมือไปคว้าขอบชามลายครามบิดเบาๆ หนึ่งครั้ง
แกร๊ก!
หลังจากเกิดเสียงแกร๊กเบาๆ กลไกก็ถูกกระตุ้น ตู้กับข้าวครึ่งหนึ่งกระเด้งเปิดออก เผยห้องลับที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
เมื่อสะพานสวรรค์น้อยเห็นดังนั้น ก็ทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “พี่ใหญ่เยี่ย กลไกที่แนบเนียนขนาดนี้ เจ้าค้นพบมันได้อย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ “ชามนี้แม้จะดูไม่ต่างจากเครื่องครัวอย่างอื่น แต่กลับเห็นก้นชามมีฝุ่นบางๆ ไม่เหมือนชามใบอื่นที่ล้างสะอาดแล้วค่อยนำมาวางบนโต๊ะ กลับเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับตู้กับข้าวมากกว่า ตอนที่ลองใช้ผ้าเช็ด กลับเช็ดไม่ถึงจุดตรงก้นชามเลย ถึงได้หลงเหลือฝุ่นประหลาดเช่นนี้อยู่อย่างไรล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเยี่ยเว่ยหมิง ในดวงตาสะพานสวรรค์น้อยก็เผยประกายราวกับดาวดวงเล็กๆ
ส่วนซานเย่ว์ก็เตือนอยู่ข้างๆ อย่างไม่ไว้หน้าเลยว่า “อย่าหลอกน้องสะพานสวรรค์น้อย พูดความจริงเถอะ”
การอวดเก่งถูกเปิดโปงคาที่ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ถือสา อธิบายอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า “ทักษะตัวอักษร ‘ฟ้า’ ของสำนักมือปราบเทพตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาเบาะแสที่คนธรรมดาอาจไม่สังเกตเห็นได้”
“สำนักมือปราบเทพของพวกเจ้าช่างเป็นสำนักที่มหัศจรรย์จริงๆ” สะพานสวรรค์น้อยกล่าว
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องลับ ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ในเมื่อรู้ตัวแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมตัวสู้ตายกับชวีหลิงเฟิงสักยกเถอะ”
“สนามต่อสู้ ในห้องลับเนี่ยนะ!”
[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม 声东击西 เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก โดยจะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึง เพื่อเป็นไม่ให้ศัตรูตั้งรับได้ โดยหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง