ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 388 ภูเขาที่พังทลาย
บทที่ 388 ภูเขาที่พังทลาย
ในสนามประลอง หลิวเสี่ยวฟานในตอนนี้เมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าพวกพ้องของตนนั้นพึ่งจะออกมาจากหน้าอกของเหลิ่งเซิ่ง เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าในตอนนี้ ศิษย์ร่วมสำนักของตนได้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่จึงทำให้เขานั้นแสดงท่าทางออกมาอย่างเดือดดาล
“ดี ดี เหลิ่งเซิ่ง แกกล้าที่จะทำร้ายคนในสำนักของข้า แถมยังกล้าเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดซากศพอีก”
“ในวันนี้ ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงชีวิต ข้าก็จะต้องฉีกร่างของแกให้กลายเป็นหมื่นๆชิ้น”
เมื่อพูดจบ หลิวเสี่ยวฟานก็ได้จับไปที่หางของงูปีศาจที่ยังค้างคาอยู่หน้าอก หมายจะดึงให้มันหลุดจากการจับนี้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าหุ่นเชิดซากศพที่ถูกควบคุมโดยเหลิ่งเซิ่งนั้นจะมีแขนที่ทรงพลังประดุจคีมเหล็ก มันได้จับงูปีศาจไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่าหลิวเสี่ยวฟานจะกระชากร่างของงูปีศาจของตนมายังไงก็ไม่อาจหลุดออกมาได้
หลิวเสี่ยวฟานที่กำลังจะคลั่งเพราะไม่อาจทำอะไรได้ ก็ได้คำรามลั่นและสบถด่าไปยังหุ่นเชิดซากศพ “เติ้งเหวินไค ไอ้เวรตะไล รีบๆปล่อยมือออกจากสัตว์ปีศาจของข้านะโว้ย นี่แกลืมไปแล้วรึไงวะว่าข้าดูแลเจ้าตั้งเท่าไหร่ยามเมื่ออยู่ในสำนัก”
อีกฟากฝั่งหนึ่ง เหลิ่งเซิ่งได้หัวเราะร่าแล้วพูดออกมา “หลิวเสี่ยวฟานเอ๋ยหลิวเสี่ยวฟาน ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าคนอย่างแกจะมีวันเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าแกคุยโวบอกว่าอยากจะฉีกกระชากร่างของข้าไม่ใช่รึไงกัน ห้ะ”
“แล้วทำไมเจ้าต้องตัวสั่นงันงกเช่นนั้นกัน”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเช่นข้า แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปแล้วสินะว่าเติ้งเหวินไคในตอนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดซากศพของข้าเพียงเท่านั้น”
“ทั้งความคิดและการกระทำของมันล้วนแต่ขึ้นอยู่กับข้าผู้นี้เป็นผู้ตัดสินใจ”
“ต่อให้พ่อบังเกิดเกล้าของมันมายืนอยู่ตรงหน้า หากข้าสั่งมันมันยังฆ่าพ่อของมันได้อย่างไม่ไยดี”
และด้วยคำพูดนี้ก็ราวกับทำให้หลิวเสี่ยวฟานพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ในเรื่องนี้
แต่ในตอนนี้ เมื่อสัตว์ปีศาจของเขาถูกรัดพันแน่นไว้อย่างนี้ ต่อให้เขาอยากจะหนีก็สายเกินไปแล้ว
เป็นตอนนี้ที่ค้างคาวปีศาจของเหลินเซิ่งที่หลบลี้หนีไปก่อนหน้านั้น ได้โจนทะยานจากกลางอากาศ พร้อมอ้าปากกว้างเผยให้เห็นคมเขี้ยวที่เต็มปากของมัน พลางกัดเข้าไปที่หลิวเสี่ยวฟานอย่างโหดร้าย
“อ๊ากกกกกก”
หลิวเสี่ยวฟานที่ในตอนนี้ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ก็ได้เสียเนื้อส่วนไหล่ของตนให้กับค้างคาวปีศาจไปเรียบร้อย นี่จึงทำให้เขากรีดร้องออกมา
แม้ผู้คนภายนอกสนามจะไม่ได้ยินเสียงของหลิวเสี่ยวฟาน แต่ฉากที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนตระหนักรู้ได้ว่าหลิวเสี่ยวฟานจะต้องเจ็บปวดมากมายขนาดไหน
เม่ยซินที่นั่งอยู่ข้างๆหยานเสวี่ยเองนั้น เธอได้สมัครเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นฉากนี้เธอก็ถึงกับร้องวี้ดว้ายออกมาอย่างตื่นตระหนกร้อนรน
ถึงแม้หยานเสวี่ยจะไม่ได้ขวัญอ่อนแบบเม่ยซิน แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเองย่อมไม่อยากจะเห็นฉากนี้มากไปกว่าเม่ยซิน และนี่ทำให้เธอเลือกที่จะหันไปปลอบเม่ยซินเพื่อที่จะละสายตาจากภาพนี้
ถึงแม้ว่าสิ่งแวดล้อมบนโลกปีศาจนี้จะดีกว่าโลกมนุษย์มากนัก แต่ด้วยการคงอยู่ของสัตว์ปีศาจและผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนี้ ก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนต้องมีชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน
นั่นก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผู้บ่มเพาะเหล่านี้จะหมายตาตนเองไว้ และเมื่อถึงยามนั้น พวกเขาก็คงทำได้เพียงยอมรับในชะตากรรม
ในสายตาของผู้บ่มเพาะ ชีวิตของคนธรรมดาก็ไม่ได้ต่างจากใบไม้ใบหญ้าข้างทางสักเท่าไหร่นัก
สำหรับสายตาของคนธรรมดา ผู้บ่มเพาะเปรียบได้ดั่งพระเจ้าที่ชี้เป็นชี้ตายให้กับพวกตน
ชีวิตและความตายนั้นขึ้นอยู่กับการที่คนผู้นั้นเป็นผู้บ่มเพาะหรือไม่
กับเรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนได้มองไปยังศิษย์แผนกวิชายุทธ ท่าทางของพวกเขานั้นดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
เป็นไปได้เหมือนกันว่าฉากแบบนี้สำหรับพวกเขาเองก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันจนเกิดความคุ้นชินไปแล้ว
สำหรับศิษย์แผนกวิชายุทธนั้น ไม่ว่าจะอยู่สำนักเดียวกันหรือไม่ ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเสี้ยนหนามของพวกเขาทั้งนั้น
พวกเขานั้นมองว่าผู้บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตหาใช่ผู้บ่มเพาะธรรมดาสามัญไม่
แต่จะให้พูดอีกอย่างก็คือ คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ที่ไม่อาจเจริญก้าวหน้าในเส้นทางการบ่มเพาะแบบปกติไปได้ จึงเลือกเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนี้ไป
นี่จึงทำให้สำหรับศิษย์แผนกวิชายุทธแล้ว ตราบใดที่เขาได้เข้าร่วมกับสำนักภาคกลาง หรืออาจจะถูกดึงไปโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม พวกเขาจะต้องหาโอกาสได้รับสมุนไพรหมุนเวียนเลือดให้จงได้
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะไม่ต้องกลัวหุ่นเชิดโลหิตของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางนี้อีกต่อไป นี่จะทำให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตยากที่จะจัดการพวกเขา ดีไม่ดีพวกเขาจะไม่แพ้พ่ายในการเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
นี่จึงทำให้นอกจากศิษย์แผนกปรุงยาและวัตถุวิญญาณแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ดูฉากที่เกิดขึ้นด้วยใจที่สงบนิ่ง
ที่ลานประลอง หลิวเสี่ยวฟานในตอนนี้ไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป
หลังจากที่ค้างคาวปีศาจได้โฉบเอาเนื้อไหล่ของเขาไปชิ้นหนึ่งแล้ว นี่ทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดจากร่างของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้งูปีศาจของหลี่เสี่ยวฟานจะหันกลับมามองหลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่นั่นมันก็เป็นเพราะมันเองก็อิจฉาที่เจ้าค้างคาวได้กินเลือดสดๆนี้จนมันน้ำลายสอออกมา
แต่ด้วยการที่มันนั้นถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาโดยหุ่นเชิดซากศพของเหลิ่งเซิ่ง มันจึงไม่อาจทำอะไรได้ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะเข้าไปผสมโรงด้วยแล้วกระมัง
ไม่นาน เนื้อบนร่างของหลิวเสี่ยวฟานก็ถูกกระชากออกไปสิบกว่าจุด หรือก็คือเนื้อได้ตกไปอยู่ในท้องของค้างคาวปีศาจได้สิบกว่าชิ้นแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เหลิ่งเซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลิวเสี่ยวฟาน เจ้ายังกล้าปากดีอีกไหมล่ะ”
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้านั้นจะมีวันที่ได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้”
“เจ้าเป็นอัจฉริยะของสำนักดาวตกไม่ใช่รึไงกัน”
“ไหนเจ้าว่าจะแสดงความสามารถให้ข้าได้ประจักษ์”
“ไอ้ตัวระยำเช่นเจ้าสมควรจะได้รับสิ่งนี้ ในวันนี้ข้าได้แก้แค้นให้กับหลินเซียงแล้ว”
หลิวเสี่ยวฟานที่โชกเลือดอยู่นั้นไม่มีเรี่ยวแรงจะกรีดร้องอีกต่อไป
ด้วยการที่งูปีศาจของเขานั้นยังเชื่อมต่ออยู่ในร่าง เขาจึงไม่อาจจะหลบการโจมตีจากค้างคาวปีศาจของเหลิ่งเซิ่งไปได้
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซิ่งนี้ หลิวเสี่ยวฟานก็ยังฝืนแรงหัวเราะออกมา
แต่เขาหัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มที่หยามเหยียดราวกับจะหัวเราะเยาะเย้ย
“หลินเซียงรึ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้านั้นทำไปเพื่อแก้แค้นให้กับไอ้เวรนั่น”
“เหลิ่งเซิ่งน้อเหลิ่งเซิ่ง ข้าเองก็ได้ยินมาว่าสายสัมพันธ์ของเจ้ากับหลินเซียงนั้นไม่ธรรมดา ข้าเองก็คิดเพียงว่ามันเป็นข่าวโคมลอย”
“ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ช่างน่าขันนัก”
“ถึงแม้ว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตจะหาสาวเคียงคู่ได้ยากนัก แต่ข้าก็ไม่คิดเลยจริงๆว่ารสนิยมของเจ้าจะถึงขั้นนี้”
“แต่ก็อีกล่ะนะ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าทำไมกับอีกแค่คนผู้หนึ่งที่ตกตายไปปีหนึ่ง จะทำให้เจ้ายอมสวมคราบร่างแบบนี้ได้ นี่เจ้าเองก็คงไม่คิดจะมีชีวิตอยู่อีกแล้วสินะเนี่ย”
ราวกับเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดของหลิวเสี่ยวฟาน เหลิ่งเซิ่งได้คำรามลั่นออกมา “หุบปาก แก..ไม่มีสิทธิ์…..มาเอ่ยนามของศิษย์พี่….หลินเซียง…..”
“ข้าย่อมรู้ดีว่าด้วยระดับของข้านั้นมันเกินกว่าที่จะสวมคราบร่างให้กับหุ่นเชิดซากศพ มันมีความเสี่ยงสูงที่วิชามันจะตีกลับในอนาคต”
“แต่อย่างมาก ข้าก็แค่ตาย”
“ตราบใดที่ ไอ้ตัวระยำอย่างแกตายก่อนข้า ตราบใดที่ข้าได้ส่งแกให้ลงนรกได้ด้วยมือตัวเอง”
เมื่อพูดจบ เหลิ่งเซิ่งได้สั่งให้ค้างคาวปีศาจโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นทำให้มันโฉบกระชากไปบนร่างของหลิวเสี่ยวฟานอย่างไม่หยุดพัก
“ฮ่าฮ่า…ฮ่า… เหลิ่งเซิ่ง…. เจ้านั้นช่างน่าอนาถนัก… ข้าจะรอคอยดู… ว่าเจ้า จะ.. จบ ลง. ยัง.. ไง”
ไม่นาน เลือดและเนื้อของหลิวเสี่ยวฟาน รวมถึงเลือดเนื้อของงูปีศาจก็กลายเป็นอาหารอันโอชะให้กับค้างคาวปีศาจ