ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 384 ปมในใจ
บทที่ 384 ปมในใจ
“พี่ชายทั้งหลาย ให้ข้าได้บอกข่าวร้ายกับทุกคนเรื่องหนึ่ง”
“เป็นไปได้อย่างมากว่าไอ้ตัวเวรตะไลฮั่นจุยนั่น ได้เข้ามาในโลกปีศาจเฉกเช่นพวกเราแล้ว”
เมื่อเฉินเฉียงได้พูดจบลง ทุกคนต่างก็ยืนขึ้นพร้อมจ้องมองไปที่เฉินเฉียงที่กำลังแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมอย่างเป็นตาเดียว
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าฮั่นจุยนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเฉินเฉียงที่ได้ฆ่าพ่อของตนไป แถมมันยังกลายเป็นขยะที่คอยคุกคามเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างที่สุดในตอนนี้
ในตอนนี้ผู้บ่มเพาะบนโลกพยายามจะตามจับตัวฮั่นจุยโดยมีฮุยตู๋เป็นผู้นำ แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าฮั่นจุยจะสามารถมายังโลกปีศาจได้
“กัปตัน นี่เป็นความจริงรึ เข้าใจผิดรึเปล่า”
“จะบอกว่าฮั่นจุยมีความสามารถแบบเดียวกับกัปตันที่สามารถเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิผ่านประตูเขตแดนนั่นได้ด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันที “เปล่า หากฮั่นจุยจะมาที่นี่จริงๆนั้น อย่างน้อยๆมันก็จะสามารถมาที่นี่ได้ผ่านประตูเขตแดนที่อยู่ใต้ก้นสมุทรมังกรซ่อน”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้อธิบายถึงการค้นพบประตูอีกแห่งที่อยู่ในก้นสมุทรมังกรซ่อนให้ทุกคนได้รับฟัง
“ก่อนหน้านี้ เมื่อข้าได้ไปที่เขาโรคาด้วยตนเอง ข้าได้ยินมาจากพวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ว่ามีใครของคนที่ล่วงล้ำเขาโรคาไปก่อนหน้าข้าแล้ว”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด มันผู้นั้นสมควรจะเป็นฮั่นจุย”
“กัปตัน ทำไมท่านไม่กลับไปพาคนจากฮุยตู๋มาที่นี่เพื่อหาตัวฮั่นจุยล่ะ หากมันอยู่ที่นี่จริง เราจะได้หาตัวมันให้พบและจะได้แก้แค้นให้ท่านนายพลเทียนเว่ย”
“เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจในทันที “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากนะ แต่ที่ใต้ก้นสมุทรมังกรคลั่งนั่นมีสัตว์ปีศาจมากมายอย่างเหลือคณานับ หากหนึ่งในนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ต่อให้เป็นราชาจอมพลก็สามารถตกตายได้ในทันที””
“นี่จึงทำให้ข้าเลือกที่จะกลับมาที่นี่เพียงคนเดียว”
“และที่ข้ามาบอกพวกเจ้านี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเตรียมการรับมือไว้”
“ฮั่นจุยเคยเห็นพวกเจ้ามาก่อน และมันน่าจะจดจำจางหยวน เจิ้งยี่และหยานเสวี่ยได้อย่างเข้ากระดูกดำ”
“ดังนั้น จางหยวน เจิ้งยี่ พวกเจ้าสองคนต้องคิดหาทางให้ดี หลังจากได้เข้าไปในภาคกลางแล้วต้องแปลงโฉมตัวเองไม่ให้ฮั่นจุยจดจำพวกเจ้าได้”
เหตุผลที่เฉินเฉียงบอกออกมาแบบนี้เป็นเพราะฮั่นจุยนั้น ไม่ว่ายังไงซะก็เป็นราชาจอมพลขั้นกลาง ในกองกำลังเทียนเว่ยนี้ก็คงมีเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่จะพอหลุดรอดออกมาได้ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับฮั่นจุย และเมื่อเฉินเฉียงทำได้แค่อาจหลุดรอด คนอื่นก็อย่าได้คิดฝันที่จะทำตามได้
เมื่อได้ยินคำเตือนของเฉินเฉียงนี้ ทุกคนทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาในทันใด นั่นก็เพราะทุกคนรู้ว่าตนเองได้วางตัวในโลกนี้อย่างไม่สมควร
เมื่อเห็นกองกำลังของตนมีท่าทางสลด เฉินเฉียงก็ได้โค้งตัวลงแล้วหยิบไวน์ขึ้นมา “พี่ชายทั้งหลาย ถึงแม้พวกเราอาจจะพบเจออันตราย แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ถึงกับย่ำแย่ พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันนับเดือน มาดื่มกันจะดีกว่าน่า”
“กัปตันพูดถูกแล้ว”
ในฐานะรองกัปตัน จางหยวนได้ยกชามไวน์ของตนและยืนขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“พี่น้อง กองกำลังเทียนเว่ยของเรานั้นไม่เคยหลีกหนีแม้จะต้องเผชิญหน้ากับความตาย”
“ต่อให้ที่นี่เป็นโลกปีศาจ กองกำลังของเราก็ไม่ยั่น”
“เราจะดื่มเราจะกินเราจะพูดคุยกันจนกว่าฟ้าจะสาง”
“มา ชนกันหน่อย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเวลาเช่นนี้เรามาเฉลิมฉลองให้กับการแต่งงานของรองกัปตันของพวกเราดีกว่า”
“จริงด้วย แล้วคราวหน้า กัปตันก็อย่าได้ลืมพาน้องสะใภ้มาด้วยล่ะ อย่าได้ปล่อยนางทิ้งไว้คนเดียวในห้องอีก”
คนที่ทุกคนได้กล่าวถึงอยู่นี้ย่อมหมายถึงหยานเสวี่ย
ถึงแม้พวกเขานั้นจะชื่นชอบที่จะได้มองเห็นความสัมพันธ์อันดียิ่งระหว่างเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินมาก่อนหน้านี้ก็ตาม นั่นก็เพราะเธอทำถึงขนาดที่ว่าจัดเตรียมห้องหอเอาไว้ด้วยตัวเอง
แต่หยานเสวี่ยเองนั้นกลับแตกต่างกันออกไป
สาวงามผู้นี้ไม่เคยยิ้มแย้มจนทำให้ทุกคนในกองกำลังรู้สึกไม่ค่อยดีกับเธอนัก แต่ยามที่เธออยู่ต่อหน้าเฉินเฉียง เธอนั้นทำตัวราวกับลูกแมวน้อยที่ตามติดเฉินเฉียงแจและไม่เคยคิดทิ้งเฉินเฉียงไปไหน
เรื่องนี้กองกำลังเทียนเว่ยต่างก็รู้ดีแก่ใจ
เฉินเฉียงเองก็รู้ว่าทุกคนนั้นต่างก็พูดเล่นกับเขาในเรื่องนี้ แต่การที่เขากลับไปยังโลกในครั้งนี้ก็ได้ทำให้หัวใจของเขาได้เปิดรับอีกครั้ง เขาจึงไม่ได้คิดปฏิเสธแต่อย่างใด
ในดินแดนที่แตกต่างนี้ ยามเมื่อกองกำลังเทียนเว่ยทุกคนได้กลับมาพบปะ หลังจากขจัดบรรยากาศที่ไม่พึงประสงค์ไปจนหมดสิ้น พวกเขาย่อมเลี้ยงฉลองกันยกใหญ่
ด้วยแต่ละคนนั้นต่างก็มีชีวิตที่ดีในโลกใบนี้ แม้พวกเขาจะกลัวว่าเสียเวลา แต่ก็ยังใช้เวลาพบปะพูดคุยกันกว่าสองวันจึงหมดสิ้น
สองวันให้หลัง เฉินเฉียงได้กล่าวลาแยกจากกับทุกคนอีกครั้ง
ในครั้งหน้าที่พวกเขาได้พบเจอ หากเป็นภาคกลางได้จะดียิ่ง
เมื่อเฉินเฉียงใช้เคลื่อนย้ายพริบตากลับไปยังเขาเทียมฟ้า เขาใช้เวลาเพียงสี่วันในการเดินทาง
เมื่อเฉินเฉียงไม่อยู่ข้างกาย หยานเสวี่ยก็ไม่มีกะจิตกะใจทำสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาหรือฝึกฝนบ่มเพาะขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
หยานเสวี่ยนั้นเพียงกังวลและสงสัยว่าเฉินเฉียงกลับไปยังโลกมนุษย์ด้วยเหตุใด
แต่เดิม เธอนั้นก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเว่ยฉิงเชินแต่อย่างใด
อย่างมากทั้งสองก็ทำเพียงแค่ได้เห็นหน้าค่าตากันเท่านั้น
การพบกันครั้งแรกก็ตอนงานประลองสี่สำนัก หยานเสวี่ยบาดเจ็บเพราะเว่ยหยวนตี้เพื่อช่วยชีวิตเฉินเฉียงเอาไว้ ในระหว่างนั้นเธอได้รับการดูแลอาการบาดเจ็บจากเว่ยฉิงเชิน
ครั้งที่สองก็…..ในงานวันแต่งงานของเว่ยฉิงเชิน
หากไม่ใช่เพราะหยานเสวี่ยห้ามทั้งคู่เอาไว้ เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยก็สมควรจะกลายเป็นคู่สามีภรรยากันไปแล้ว
และนี่ทำให้เธอนั้นไม่กล้าไปพบเจอเว่ยฉิงเชินอีก
แม้เธออยากจะกลับไปพบเจอเว่ยฉิงเชินมากขนาดไหนก็ตามในฐานะผู้หญิงด้วยกัน
เธอรู้สึกว่าเป็นเพราะเธอที่เข้าไปขัดขวางคนทั้งคู่ จากที่ควรครองคู่กลับทำให้ทั้งสองต้องแยกจาก
นี่ทำให้เธอนั้นไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปเผชิญหน้ากับเว่ยฉิงเชินยังไงดี แต่ที่แน่ๆ เธอมั่นใจว่าเว่ยฉิงเชินนั้นไม่อยากจะพบเธอแน่นอน
นี่ทำให้ ยามที่หยานเสวี่ยพบว่าเฉินเฉียงมาอยู่ในห้องแล้ว เธอจึงทำได้เพียงมองไปที่เขาโดยไม่พูดไม่จาเลยสักคำ
แต่เพียงเธอได้เห็นรอยยิ้มละไมของเฉินเฉียง นี่ทำให้เธอราวกับผ่อนคลายลงได้ น้ำตาสองสายก็ได้ไหลออกมาจากดวงตาอย่างหยุดไม่อยู่จนอาบแก้มของเธอไว้
เฉินเฉียงเดินไปตรงหน้าของหยานเสวี่ยด้วยใจที่เจ็บปวด เขายกมือของตนมาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลไม่หยุดของเธออย่างอ่อนโยน
“พอแล้วน่า เลิกร้องไห้ได้แล้ว”
ดูเหมือนว่าการที่เขาไม่พูดออกมาอย่างนี้จะดีกว่ากระมัง เพราะหลังจากที่เขาพูดไป น้ำตาของหยานเสวี่ยก็ไหลบ่ากว่าเดิม เธอร้องจนมีเสียงร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ
หลังจากซบลงบนไหล่ของเฉินเฉียงและร้องไห้อยู่นาน ในที่สุด หยานเสวี่ยก็ได้เงยหน้าขึ้นมองพร้อมมองตรงไปที่ดวงตาของเฉินเฉียง ปากของเธอขยับเล็กน้อยโดยไม่มีคำพูด แต่ในที่สุดก็ได้พูดออกมา “นาง….นางเป็นยังไงบ้าง”
“นางเป็นยังไงบ้างเหรอ”
เฉินเฉียงเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน
เธอเองก็เหมือนกับหยานเสวี่ยที่ต่างก็อยู่ในภาวะที่ตกต่ำทางอารมณ์
หากยึดตามคำพูดของหลิวฉิง จิตใจของเว่ยฉิงเชินนั้นเกือบจะล่มสลายไปแล้วก็ว่าได้
ส่วนหยานเสวี่ยนั้น เธอเองก็ต้องข่มอารมณ์ตัวเองมานานกว่าจะสามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้
แต่หลังจากที่เขาได้พบเจอกับฉิงเชินที่เขตแดนโลหิต ดูเหมือนจะดีขึ้นมาเล็กน้อย
อย่างน้อยๆเฉินเฉียงก็เชื่อว่าเป็นแบบนั้น
แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของหยานเสวี่ยได้อย่างแน่นอน
เขาก็ไม่รู้ว่าเว่ยฉิงเชินนั้นไม่ได้แสดงออกมาให้เฉินเฉียงได้เห็น หรืออาจจะเป็นเพราะปล่อยวางได้แล้วจริงๆ กับเรื่องนี้เขาเองก็ไม่อาจรับรู้ได้เหมือนกัน
นี่จึงทำให้เขาหัวเราะออกมาก่อนที่จะมองไปยังหยานเสวี่ยอย่างจริงจังแล้วพูดออกมา “นางบอกว่าให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีน่ะ”
“นางยังบอกอีกว่าหากข้าทำให้เจ้าเสียใจ นางจะจงเกลียดจงชังข้าไปตลอดชีวิต”
“ถ้าอย่างนั้น….น้องฉิงเชิน….”
ดวงตาของหยานเสวี่ยราวกับจะสว่างวาบขึ้นมาในทันที นอกจากความเศร้าเสียใจที่หลั่งไหลออกมาแล้ว เธอยังมีความสุขอย่างที่สุดในเวลาเดียวกัน พร้อมกับร่องรอยความสุขเล็กๆที่เริ่มปรากฏขึ้นมาในใจ