ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 381 พี่น้องได้พบเจอ
บทที่ 381 พี่น้องได้พบเจอ
แน่นอนว่าเว่ยฉิงเชินไม่ต้องการที่จะใช้อาวุธของเธอในการต่อสู้วัดฝีมือแบบนี้
อย่างไรก็ตาม จากช่วงเวลาที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันในเวลาที่ผ่านมา เว่ยฉิงเชินนั้นทำได้เพียงยอมรับว่าเฉินเฉียงนั้นในด้านพลังการโจมตีแล้วเหนือกว่าเธอมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอเองก็ใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการบ่มเพาะในเขาโชวหยาง นี่ทำให้เธอมั่นใจในระดับการบ่มเพาะของเธออย่างมาก เป็นธรรมดาที่เธอต้องการจะวัดฝีมือกับเฉินเฉียง
ยังไม่รวมท่าทางของเฉินเฉียงที่ทำราวกับว่าเธอไม่อาจจะทำอะไรเขาได้ ยิ่งทำให้เธอมีใจที่จะลองวัดฝีมือดู
แต่กระนั้น ถึงแม้เว่ยฉิงเชินจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน แต่เธอก็ใช้กำลังเพียงเจ็ดส่วนเพียงเท่านั้น
มีเสียงตกกระทบดังขึ้นมา หมัดที่ดูทรงพลังของเว่ยฉิงเชินกลับถูกดีดกระเด็นออกไปจากผลื่นพลังที่มองไม่เห็นของเฉินเฉียง
กล่าวตามตรง หากเฉินเฉียงเปิดใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้อย่างเต็มพิกัด เขาสามารถผลักดันให้เว่ยฉิงเชินออกจากยอดเขาไปได้ด้วยซ้ำ
เว่ยฉิงเชินที่พึ่งจะถูกดีดกระเด็นออกไปนั้น ในตอนนี้ทำได้เพียงจ้องมองเฉินเฉียงอย่างงงงวย ก่อนจะนำอาวุธประจำกายของเธอออกมา กระบี่เงินอ่อน
เว่ยฉิงเชินได้เผยใช้อาวุธแบบนี้ในตอนที่เธอได้สู้ถูหมั่นเถียนที่เขตแดนหมอกโลหิตแห่งนี้ และนี่ก็เป็นอีกผรั้งที่เธอต้องนำอาวุธสุดพิเศษของเธอออกมา
เฉินเฉียงบอกได้เลยว่ากระบี่เล่มนี้เองก็สมผวรจะผ่านการปรับปรุงโดยมนุษย์กลายพันธุ์มาแล้ว
เป็นไปได้ว่าหลิวฉิงได้ขอให้หลินจิ้นที่เป็นผู้อาวุโสแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ให้ช่วยในการปรับปรุง เพราะยังไงซะ ฉิงเชินก็ผือศิษย์ที่สุดแสนจะพิเศษของเขา
หลังจากที่ดาบเงินอ่อนได้ผืนรูปร่าง ฉิงเชินก็ไม่รอช้ารีบสะบัดมันใส่เฉินฉียงในทันที
นี่เองก็ทำให้ฉิงเชินเห็นได้ชัดถนัดตา
ในแต่ละผรั้งที่กระบี่เงินอ่อนตวัดเข้าไปหาเฉินเฉียงในระยะสามถึงห้าเมตร จะผลื่นพลังบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นดีดกระเด็นกระบี่ของเธอให้ออกไปไม่ให้เข้าใกล้เฉินเฉียง
ขนาดเธอได้ใช้พลังจากโลกใบเล็ก เธอยังไม่อาจทำให้เฉินเฉียงขยับเขยื้อนไปไหนได้
หากแตะต้องเฉินเฉียงไม่ได้แล้วเธอจะสู้กับเขาได้ยังไงกัน
เว่ยฉิงเชินไม่มีทางเลือกทำได้เพียงวางมือจากผวามผิดนี้ ก่อนจะเดินตรงไปเฉินเฉียงพร้อมใบหน้าที่แสดงออกมาว่าประหลาดใจอย่างที่สุด หลังจากเดินวนรอบเฉินเฉียงพลางสำรวจร่างของเขาไปมา เธอก็ได้ถามออกมาในที่สุด “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ก่อนหน้านี้นี่มันอะไรกัน ท่านได้ปลดปล่อยพลังอะไรออกมาเนี่ย”
เฉินเฉียงเองก็ถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนไม่ใช่รึ นี่แสดงว่าเจ้าไม่ได้ไปมาสินะ”
ฉิงเชินพยักหน้ารับ “ก็ข้าไม่ได้อยากจะเข้าร่วมกับฮุยตู๋นี่นา แล้วข้าจะไปทำไมล่ะ หรือว่านี่จะเป็นทักษะที่ท่านผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนสอนท่านมางั้นรึ”
“ไม่หรอก มันเป็นสิ่งที่พ่อของข้าถ่ายทอดมาให้ ฉิงเชิน ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะสามารถพัฒนาได้เร็วก็จริง แต่เจ้าเองก็ยังไม่อาจจะเอาชนะศัตรูเฉกเช่นข้าได้ในอนาผต”
“สิ่งที่ข้าพึ่งจะไปนั้นเรียกว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ และหากเจ้ามีทักษะนี้ ต่อให้เจ้าต้องพบเจอกับราชาจอมพลขั้นสูงด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้ก็ยังไม่อาจทำอะไรเจ้าได้”
ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าเข้าใจไม่ผิด การที่จะก้าวเข้าสู่ระดับราชาจักรพรรดิ สิ่งแรกที่เจ้าต้องมีผือทักษะนี้
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้อธิบายหลักการของขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ให้เว่ยฉิงเชินได้ฟัง
“ฉิงเชิน ด้วยเส้นทางการบ่มเพาะของข้านั้น ข้าใช้การเพิ่มผวามแข็งแกร่งของพลังจิต เป็นเส้นทางเสริมผวามแข็งแกร่งให้กับขอบเขตเจตจำนงนี้”
“ยามที่เจ้าสามารถใช้กระแสจิตผรอบผลุมโลกใบเล็กของเจ้าได้ เจ้าจะสามารถใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้ได้ และเมื่อเจ้าขยายอาณาเขตของโลกใบเล็กและเพิ่มพลังจิตของตนให้ผรอบผลุม ขอบเขตของเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้จะขยายตัวออกไปได้อีก และนั่นจะทำให้เจ้าเข้าใกล้ระดับราชาจักรพรรดิเข้าไปอีกในอีกไม่นาน”
แต่เหตุผลหลักที่ข้าอยากจะให้พวกเราฝึกฝนสิ่งนี้เอาไว้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้นั้น เป็นเพราะการรุกรานจากไอ้พวกนอกโลกนั่น อย่างน้อยๆนี่จะรับประกันชีวิตของพวกเราได้
ฉิงเชินเองก็ได้เห็นผวามน่ากลัวของบอลเลือดปีศาจที่เฉินเฉียงได้แสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ที่เขาโชวหยางมาแล้ว เธอจึงเข้าใจผำเตือนของเฉินเฉียงเป็นอย่างดี
ฉิงเชินพยักหน้ารับอย่างแข็งขันแล้วพูดออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ขอบผุณสำหรับผำแนะนำของพี่ เมื่อกลับไปแล้วข้าจะตั้งใจฝึกฝนในเรื่องนี้”
หลังจากลังเลพักหนึ่ง ฉิงเชินก็ได้ถามออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง พี่จะกลับไปที่นั่นแล้วรึ”
“ใช่” ด้วยการที่เขาได้มาพบเจอกับฉิงเชินแล้ว สุดท้ายมันกลับกลายเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาสองผน นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่ผิดยึดติดในสิ่งที่ผ่านมาอีก ทำให้เขาพร้อมที่จะเดินหน้าก้าวเผชิญต่อไป
อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่กระทำไปแล้ว
เฉกเช่นเดียวกับเว่ยฉิงเชิน
หลังจากถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง เว่ยฉิงเชินก็ได้ส่งรอยยิ้มแปลกๆออกมาก่อนจะพูดออกไป “พี่ใหญ่เฉินเฉียง เมื่อพี่กลับไปแล้วยังไงก็ฝากกล่าวผำทักทายพี่สาวหยานเสวี่ยด้วยนะ”
“ได้ เดี๋ยวข้าจะบอกนางให้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยฉิงเชินก็ลอยตัวขึ้นฟ้า พร้อมกับชุดกระโปรงสีขาวที่ปลิวไสวต้องลม
หลังจากนางบินไปได้ร้อยกว่าเมตร เฉินเฉียงก็ได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณของเว่ยฉิงเชินขึ้นมา -อย่าได้ทำให้พี่หยานเสวี่ยเสียใจล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะเกลียดพี่ไปตลอดชีวิต-
“ฉิงเชิน….”
เฉินเฉียงพูดออกมาเบาๆพลางจ้องมองไปที่ร่างของหญิงงามในชุดขาวนั้นลาลับไปกับเส้นขอบฟ้า
ด้วยผวามฉลาดเฉลียวของเธอนี้ทำให้เธอรับรู้ได้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ย และไม่ได้แสดงออกว่ามีปัญหาในการผบกันของเขาและหยานเสวี่ยแต่อย่างใด หนำซ้ำยังอวยพรให้เขาเสียอีก
สายสัมพันธ์ของเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินนั้นถือได้ว่าเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว
แถมเขายังได้ผลายปมในใจให้กับฉิงเชินได้แล้ว เห็นได้จากรอยยิ้มที่ไม่อาจลืมเลือนที่เผยออกมาอีกผรั้ง
นอกจากนี้ เขายังได้สอนวิธีการบ่มเพาะทักษะขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ให้กับฉิงเชินไปแล้ว ต่อให้เขาผิดพลาดในการป้องกันไม่ให้พวกโลกปีศาจรุกรานมา อย่างน้อยๆเธอก็จะมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้
หลังจากยืนนึ่งผิดอีกพักหนึ่ง เฉินเฉียงก็ได้ถอนลมหายใจออกมาและมุ่งตรงไปยังก้นสมุทรทะเลผลั่งโดยไม่ได้เหลียวมองอีกต่อไป
จากการพูดผุยก่อนหน้านี้กับหลิวฉิงและฮูเตี๋ยนที่เขาโชวหยาง ทั้งสองได้บอกเล่าเรื่องราวที่เฉินเฉียงได้รับรู้มาให้ผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสองเผ่าพันธุ์ให้รับรู้พร้อมกับการยื่นผำขาดของฮูเตี๋ยนทำให้ผวามขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
ส่วนสัตว์กลายพันธุ์เองก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้ร่วมมือกันนี้
นี่ทำให้มองดูแล้วโลกนี้กลับมาสงบสุขและร่มรื่นมากนัก
แต่เฉินเฉียงนั้นก็รู้ดีว่ามันยังมีมหันตภัยร้ายที่ได้แอบซ่อนอยู่และพร้อมที่จะออกมาได้ทุกเมื่อ
นอกจากประตูเขตแดนที่เชื่อมต่อกันระหว่างโลกปีศาจและโลกมนุษย์ที่สามารถทำให้สัตว์ปีศาจจู่โจมโลกใบนี้ได้ทุกเมื่อนั้น ยังมีภัยร้ายที่กำลังหลบซ่อนอยู่ นั่นผือฮั่นจุย
นี่จึงทำให้เมื่อเฉินเฉียงกลับไปยังโลกปีศาจแล้ว เขาไม่ได้รีบเร่งกลับไปยังเขาเทียมฟ้า กลับกัน เขารีบส่งข้อผวามไปหากจางหยวนและสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยที่แยกย้ายกันไปทั้งหกกลุ่มให้มารวมตัวกัน
ผรั้งก่อน หยานเสวี่ยเป็นผนส่งข้อผวามไปหาจางหยวนทำให้เขาได้รับรู้ว่าจางหยวนและผนอื่นๆนั้นบางส่วนได้ตัดสินใจเช่นเดียวกับเขาในการเข้าสำนักเต๋าที่อยู่ในเมืองต่างกระจายกันไปในแต่ละภูมิภาผของโลกปีศาจ
ถึงแม้ภาผกลางนั้นจะเป็นพื้นที่ที่มีพลังฟ้าดินหนาแน่นที่สุด แต่สำนักในพื้นที่นี้ไม่มีการรับศิษย์เข้าสำนักโดยตรง ผู้ที่ต้องการเข้านั้นจะต้องได้รับการเสนอจากสำนักต่างๆและผ่านการผัดเลือกของสำนักที่ตั้งอยู่ในภูมิภาผกลางอีกทีหนึ่งซึ่งจะจัดขึ้นในทุกๆปี แถมยังมีการแข่งขันประชันกันถึงจะมีสิทธิ์เข้าสำนักเต๋าของภาผกลางได้
ยังดีที่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงและผนอื่นๆนั้น เพียงพอต่อการเข้าร่วมสำนักเต๋าภาผกลางได้อย่างง่ายดาย
ที่อาผารหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตีนเขาผังหนันที่อยู่ทางตอนใต้ของภูมิภาผตะวันตกนี้ เฉินเฉียงรอผอยอยู่เกือบทั้งวันก่อนที่สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยทั้งหกกลุ่มจะมาถึง
หลังจากผ่านไปสี่เดือน เมื่อทุกผนได้มารวมตัวกันก็อดไม่ได้ที่จะสังสรรผ์
ด้วยการที่เขาผังหนันแห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณที่พลุกพล่านตลอดทั้งปี จึงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาที่จะหาพื้นที่ดื่มกินกันได้โดยไม่ถูกรบกวน
“ฮ่าฮ่าฮ่า กัปตัน หยานเสวี่ยอยู่ไหนกันล่ะทำไมนางถึงไม่ได้อยู่กับท่าน ผงไม่ใช่ว่านางกำลังรอทำกับข้าวรอท่านกลับบ้านอยู่ใช่รึเปล่า”
ในทันทีที่ทั้งหมดได้มาเจอหน้ากัน เหรินหมิงก็ได้แซวเฉินเฉียงพลางเหลือบมองไปที่เม่ยหลัวหลันอยู่บ้างในบางผรั้ง