ผมมีชีวิตที่น่าสงสาร(?) เป็นคนเนื้อหอมไปที่ไหนก็มีแต่คนจ้องจะจับกินตลอด แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสาวงามระดับเทพธิดาอีกต่างหาก - ตอนที่ 11 กลัวจนแทบเสียสติ
ตอนที่ 11 กลัวจนแทบเสียสติ
ศึกที่มองไม่เห็นระหว่างทั้งสองกำลังเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงายามค่ำคืน แน่นอนว่าอารมณ์หล่อนตอนนี้กำลังดำดิ่งขั้นสุดพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อหากโดนกระตุ้นเตือน แววตาเย็นชาจับจิตจับจ้องมองแกรนไม่คิดปล่อยผ่าน เกิดเขายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กสาวมัธยม
หล่อนสาบานได้เลยว่าจะเอาประธานแกรนที่ทุกคนต้องยำเกรงสามส่วน ไม่ว่าใครเห็นเขาก็ต้องก้มหัวลงต่ำหนึ่งระดับมากระทืบระบายอารมณ์หงุดหงิดในใจของตน และเมื่อหล่อนตัดสินใจก็ไม่มีใครหน้าไหนมาสามารถหยุด
กระทั่งตัวแกรนเองก็ไม่เว้น
“…” บิวเปลี่ยนวิธีการหมด เปลี่ยนจากนั่งเล่นสบายใจเตรียมรอรับของกินของหวาน มานั่งจับผิดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สายตาคู่งามเหวี่ยงไปตามการเคลื่อนไหวของมือชายหนุ่ม
…‘อะ! อีก 5 เซน ไม่ ไม่ อีก 3 เซน เกือบแล้ว’
“ลองจับมือกันสิ จับเลย ฉันบอกให้จับ อีกนิดเดียว นั้นแหละ” น้ำเสียงเย็นเฉียบประดุจคมมีด
“…” บรรยากาศดำมืดหนาแน่นแพร่กระจายโดยมีหญิงสาวเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้ต่อให้เก้าอี้ยาวตัวนั้นจะเป็นตัวสุดท้ายในบริเวณนี้ คนบริสุทธิ์ต่างยิ้มแห้งรีบก้าวเท้าเดินผ่านไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
บิวไม่ได้สนใจผู้อื่นในสายตาหล่อนมีเพียงภาพแกรนกับเด็กสาวมัธยมเท่านั้น
“ทำไมนายถึงไม่จับ ต้องการหยอกล้อเล่นกับเด็กนั้นใช่ไหม?” ราวกับคนโรคจิตยังไงไม่รู้
“…แม่ แม่ พี่สาวเขากำลังพูดอะไรเหรอ?”
“อย่าไปชี้ลูก”
“ยังสวยยังสาวอยู่เลย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
“น่าเสียดาย”
“…” หากหล่อนกลับมามีสติสัมปชัญญะพร้อมได้ยินถ้อยคำของเหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายที่กำลังจ้องมองคงมีกระอักเลือดไม่พอใจเป็นแน่แท้ ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้เธอแสดงท่าทีประดุจสาวโรคจิตจ้องมองของรักของหวงกัน เห็นมือแกรนปาดไปมาตามอากาศจนเกือบโดนเรือนร่างเด็กสาวมัธยมปลายทำเอาหล่อนสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ
เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกล้อหล่อนเล่น
“อะ ทำไมถึงไม่จับ จะเอามือถอยห่างทำเพื่อ?!”
“…” แกรนชูไม้ชูมือขณะกำลังพูดคุยกับเด็กสาว
ต้องบอกว่าเขาระมัดระวังตัวมากที่จะไม่ยั่วยุหล่อนมากเกินไป พยายามอยู่ในกรอบขีดจำกัดความอดทนของหล่อนเลี้ยงมันให้อยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลา ซึ่งเป็นการกระทำที่เสี่ยงตายมาก
“มันจะนานเกินไปแล้วนะ” บิวกัดปากตัวเอง
“…” ยังดีที่สามัญสำนึกคนปกติยังทำงาน
เหตุการณ์นองเลือดจึงไม่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนเยอะแยะมากมาย
“ถ้านายไม่จับมือหล่อน ฉันจะมีข้ออ้างกระทืบนายได้ยังไงกัน” ขอเพียงแกรนยินยอมจับสัมผัสเด็กสาวมัธยมปลาย หล่อนพร้อมพุ่งเข้าไปกระชากชายหนุ่มไปพูดคุยปรับทัศนคติ
ติดตรงไม่จับนี่สิ
“…” แววตาจับจ้องมองเสมือนนักฆ่ากำลังมองเหยื่อ ทำเอาหลายต่อหลายคนที่คิดเข้าไปทำความรู้สึกบิวล้มเลิกความคิดเผยรอยยิ้มแห้ง บรรยากาศกดดันพร้อมใบหน้าราบเรียบทำหน้าที่เสมือนเกาะป้องกันที่มองไม่เห็น
ป้องกันไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามาทักทายแต่มันก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนโดยเฉพาะกับคนโง่
“น่าเบื่อโว้ย! ทำไมมันน่าเบื่อแบบนี้”
“เราไปหาอะไรเล่นดีไหมครับพี่ใหญ่”
“ร้านลุงแดงเป็นยังไง?”
“นักเลงแถวนั้นเยอะแยะ จะไปทำไม ฉันขี้เกียจไปมีเรื่องกับพวกมัน เสียเวลาชีวิตหมด” เสียงเบื่อหน่ายดังขึ้น จังหวะชีวิตตอนนี้มันช่างน่าเบื่อสิ้นดีไม่มีอะไรมาให้ตื่นเต้นหัวใจได้เลย
เพื่อเสริมเพิ่มเติมเปลวไฟชีวิตให้กับตัวเองมันจึงบอกให้คนอื่นเสนอความคิดเห็นออกมา
“ไหนพวกแกลองเสนอความคิดมาให้ฉันสิ อยากให้ฉันทำอะไร อันไหนมันดูดี ฉันมีรางวัลให้”
“เงิน!” เห็นเงินหลายพันในมือพี่ใหญ่ดวงตาลูกน้องล้วนเป็นประกาย
“ลองเสนอดู แล้วเงินก้อนนี้จะเป็นของพวกแกถ้าฉันถูกใจ”
กลุ่มอัธพาลเดินเล่นไปตามท้องถนนเตรียมไปเก็บเงินค่าคุ้มครอง สายตาพวกเขาราบเรียบน่าเบื่อกับชีวิตไร้รสชาติจืดชืดต่างฝ่ายต่างเริ่มเสนอแนวคิดตัวเองออกมาเพื่อกำหนดเป้าหมายสำหรับค่ำคืนนี้แต่ไม่ว่าจะเสนอยังไงก็ไม่มีอันไหนเข้าท่าเลยแม้แต่น้อย
พี่ใหญ่กัดปากกำหมัดแน่น
“หัวสมองพวกแกนี่มันสวะสิ้นดี แค่คิดหาที่สนุก ทำไมถึงยังคิดกันไม่ออกวะ!”
“ไอ้พวกใช้งานใช้การไม่ได้ เรื่องแค่นี้ก็ยังชักช้า!”
“…” เหล่าลูกน้องขมวดคิ้วรีบหาวิธีการบรรเทาอาการเบื่อของพี่ใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าหากเกิดพี่ใหญ่เบื่อมากเข้าอาจระบายมันด้วยการไล่อัดพวกเขาเรียงตัว ซึ่งนั้นคงเป็นอะไรที่แย่มาก
จนกระทั่งคนผู้หนึ่งในนั้นดวงตาเบิกกว้าง
“พี่ใหญ่ดูนั้นสิ!”
“อะไรอีกวะ คนกำลังอารมณ์ไม่ดีด้วย”
“เชื่อผม หากพี่ได้มองรับรองว่าอารมณ์ดีแน่นอน” อัธพาลหนุ่มชี้ปลายนิ้วไปหายังทิศทางหนึ่งซึ่งปลายนิ้วของมันก็คืออิสตรีกำลังนั่งรอคอยตรงม้านั่ง เรือนร่างงดงามภายใต้แสงจันทร์มันช่างชวนให้ผู้คนหลงใหล
พี่ใหญ่อัธพาลที่ขมวดคิ้วไม่พอใจตอนนี้ความไม่พึ่งพอใจทั้งหมดจางหายไปไม่มีเหลือ
“สาวงาม แถมยังโคตรสวยอีกต่างหาก” มีเพียงจิตลุ่มหลงในกามา
“สาวสวยแบบนั้น ทำไมนั่งอยู่คนเดียว”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรแต่ได้โอกาสพวกเราละ”
“เหมือนจะไม่ใช่พวกเรา พวกเดียวที่คิดนะ” พวกมันเหลือบหันไปมองก็เห็นคนแก๊งอื่นจับจ้องมองเรือนร่างงดงามปานเทพธิดาตาเป็นมัน ศึกที่มองไม่เห็นอีกสายหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น
และคงไม่มีใครยอมใครแน่นอน
“…”
พี่ใหญ่กำหมัดตัวเองแน่น
“ไอ้พวกเศษเดนคิดแย่งเหยื่อกับพี่ใหญ่คนนี้เหรอ?” ต้องได้ ต้องเอากลับไปให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการอะไรเข้ามาช่วยเหลือก็ตาม หัวใจมันตัดสินใจรวดเร็วทั้งยังการเป็นการตัดสินใจที่บ้าระห่ำอีกต่างหาก
แต่ในกลุ่มพวกมันไม่มีใครร้องทัก
“เล่นมันเลยไหมพี่?”
“หากมันกล้าเข้ามายุ่งก่อนค่อยจัดการ”
ยกระดับขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นกลุ่มนี่ดูดีมีชาติตระกูลแตกต่างจากสองกลุ่มแรก ชายในชุดสูทสองคนกำลังจ้องมองเทพธิดาต้องแสงจันทร์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่คิดเข้าไปใกล้มากนัก ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เฝ้าจับตามองไม่ขาดสาย
หนึ่งในนั้นร้องทัก
“พี่ครับ ทำไมพี่ไม่เข้าไปหาเธอ”
“ยังก่อน รอดูสถานการณ์อีกหน่อย”
“ยังต้องรอสถานการณ์อีกเหรอ?”
“แกคิดว่าคนสวยปานเทพธิดาจะเป็นเพียงคนปกติธรรมดา? เอาแค่ท่วงท่าเต็มไปด้วยมารยาท เสื้อผ้าการแต่งตัวก็บ่งบอกแล้วว่าไม่ใช่คนปกติธรรมดา และถ้าหากไม่ใช่คนปกติธรรมดา” เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าบิวต้องไม่ใช่คนปกติธรรมดาสามัญ ต้องเป็นพวกที่เหนือกว่านั้นหลายเท่าตัว
และหากเป็นจริงขึ้นการเข้าหาย่อมต้องยาก
“แกไม่คิดบ้างเหรอว่าหล่อนจะไม่มีคนคุ้มกัน หรือคนหนุนหลัง”
“จริงด้วย”
“ตอนนี้ดูไปก่อน”
สถานการณ์แปรเปลี่ยนอีกครั้ง
“น้องสาว” กลุ่มพี่ใหญ่อยู่ใกล้สุดมีโอกาสเป็นกลุ่มแรก
ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งมองเห็น ยิ่งมองเห็น ยิ่งตาเป็นประกาย เกิดน้ำลายไหลตามุมปากช่างน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน แต่พวกมันหาได้สนใจสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวพวกมันตอนนี้คือ หากได้เรือนร่างนี้ไปขย่มตอนกลางคืนคงมีความสุขจนตาย ชั่วชีวิตมันไม่เคยเห็นใครคนไหนสวยขนาดนี้มาก่อน ในเมื่อพบเจอก็ต้องคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ให้ได้
คิดเสร็จพวกมันตรงเข้าไปหาหล่อนทันที
“…”
“น้องสาวมานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว ให้พวกเรานั่งเป็นเพื่อนไหม? เห็นแบบนี้แต่พวกเราค่อนข้างคุยด้วยสนุกเลยนะ หากน้องสาวได้พูดคุยกับพวกเรารับรอง—” พี่ใหญ่ออกนำหน้าคนแรกไม่มีใครกล้าแย่งชิง
บิวเพียงเหลือบมองเล็กน้อย
“น่ารำคาญ” กล่าวเสียงราบเรียบเต็มไปด้วยแรงกดดัน
“น้องสาวไม่เอาน่า พวกเรา”
“…” จัดการกับพวกอัธพาลล้วนง่ายดายไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนาขยะ หญิงสาวงดงามปานเทพธิดาขยับเรียวแขนตัวเอง ตอนแรกพวกมันไม่เข้าใจว่าหล่อนกำลังทำอะไรจนกระทั่งเห็นเข้า
ปัง!
ราวเหล็กถูกกระชากติดมือ
“ถ้าพวกแกยังยุ่งกับฉันไม่เลิก ฉันจะบดกระดูกพวกแก ก่อนปล่อยให้พวกแกลงไปนอนเล่นใต้แม่น้ำ” ไม่พูดเปล่าพร้อมทั้งใช้พละกำลังมหาศาลบดขยี้ท่อนเหล็กในมือ
บีบให้มันกลายเป็นก้อนเหล็กกลม
“…ชะ เชี่ย!”
“เอาไปทิ้ง” ลูกเหล็กถูกโยนใส่มือพี่ใหญ่
“…ดะ เดี๋ยว!” ทันทีที่ลูกเหล็กสัมผัสกับมือ มันก็ต้องปล่อยให้ลูกเหล็กหล่นลงพื้นทันที เนื่องจากเจ้าลูกเหล็กบ้ามันหนักหน่วงเหลือเกินหากคิดจะยกก็ต้องอาศัยจังหวะเวลาเตรียมพร้อม ให้ยกเลยโดยไม่เตรียมเวลา
คงเป็นไปไม่ได้และการที่ปล่อยลูกเหล็กลงพื้นทั้งแบบนั้นยิ่งตอกย้ำว่าหญิงสาวเบื้องหน้าหาเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
ตูม!
พื้นแตกกระจายกลายเป็นหลุมลึก
…‘พะ พระเจ้าช่วย’
“…” ร่างกายพวกมันแข็งค้างเนื่องจากตื่นตระหนกตกใจเกินไป
แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อราวเหล็กข้างหนึ่งของเก้าอี้ถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนกลมก่อนโยนลงพื้นเสมือนกำลังปั้นดินน้ำมันทำเอาใบหน้าพวกมันแข็งค้าง
ท่าทีเหิมเกริมตอนแรกจางหายไปหมดไม่มีหลงเหลือ
“คะ คือผม”
“ไสหัวไป” บิวหรี่ตาลงต่ำ
“ปะ ไปกันเถอะ”
“ชะ ใช่” พวกยิ้มหัวเราะแห้งก่อนแยกย้ายจากไปด้วยท่าทางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ บ้าเหรอหากอยู่ต่อคงไม่พ้นต้องโดนป่นกระดูกแหลกละเอียดก่อนโยนให้ปลากิน
ต่อให้หื่นกระหายยังไงมันก็คงน้อยกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่พิการอวัยวะครบถ้วน ทั้งกลุ่มหนีห่างออกมาหลายต่อหลายเมตรไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดมีเพียงพี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่พึมพำสิ้นสติออกมา
ทั้งน้ำเสียงที่พูดออกมายังสิ้นหวังสุดขีด
“เกือบตายแล้วไหมละ” พี่ใหญ่พูดปากสั่น