ผมถูกแฟนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กนอกใจและถูกไส่ร้าย แต่ถึงอย่างนั้น คนที่เป็นห่วงผมกลับเป็นสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 213 คอนโดะ
—มุมมองของคอนโดะ—
การสอบสวนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน รวมถึงความจริงที่ว่าผมไม่สามารถกลับบ้านได้ กำลังกัดกร่อนจิตใจของผม
ผมควรทำยังไงดี? ไม่ว่าผมจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่เชื่อ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองยิ่งทำให้ผมสับสน พ่อของผมเป็นยังไงบ้าง? ข้อมูลที่ได้จากทนายความก็มีแต่เศษเสี้ยวคำพูด เขาบอกว่า บริษัทกำลังจะล้มละลาย แต่นั่นต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ
ผมจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนรึเปล่า? มันคงจบสิ้นทุกอย่างจริงๆ ถ้าผมถูกไล่ออกในปีสุดท้ายแบบนี้ สิ่งที่ผมพยายามมาตลอดก็จะสูญเปล่าทั้งหมด
ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้ทุกคืนจนตัวสั่น
ตอนนี้ ทนายความมาอีกแล้ว ผมเดินเหมือนคนไร้วิญญาณไปที่ห้องเยี่ยมเพื่อพบเขา
—————
“สวัสดีครับ คุณคอนโดะ ดูเหมือนคุณจะทรุดโทรมไม่น้อยเลยนะ”
ทันทีที่มองหน้าผม ทนายความแก่ๆ คนนั้นก็หัวเราะเยาะเบาๆ
หน้าผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เงียบไปเลย”
ผมพยายามพูด แต่เสียงกลับแผ่วเบาเหมือนคนหมดแรง ฟังดูเหมือนอันธพาลที่พยายามสร้างภาพแต่ไม่สำเร็จ
“ยังจะพยายามสร้างภาพอีกเหรอ คุณนี่เก่งจริงๆ”
เขาพูดพลางหัวเราะอย่างร่าเริง
“ไอ้แก่นี่…”
“อย่าเพิ่งโมโหสิ ผมพยายามช่วยคุณด้วยความหวังดี แต่คุณคอนโดะไม่เคยฟังเลย”
ผมกัดฟันแน่น อยากจะฆ่าเขาซะให้ได้
“ให้ตายสิ ทำไมผมต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย…”
คำพูดหลุดออกมาจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา
“คุณคอนโด ฟังผมนะ ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ คุณเคยเป็นคนที่ทุกคนในทีมฟุตบอลคาดหวัง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป…”
“หุบปากไป! คุณไม่มีทางเข้าใจผม!”
“อีกแล้ว คุณคอนโดะ คุณชอบโกรธเมื่อมีคนพูดความจริง และทุกครั้งที่คุณทำแบบนี้ การสนทนาก็จบลง แม่ของคุณก็เหนื่อยหน่ายกับคุณมาก เธอบอกว่า คุณควรโตได้แล้ว”
“ว่าไงนะ! แกมันก็แค่ลูกจ้าง อย่ามาสั่งฉัน!”
“คุณนี่น่าสงสารจริงๆ คุณคอนโดะ คุณรู้ไหมว่า ขณะที่คุณมัวแต่ต่อต้านและปฏิเสธการพูดคุย คุณกำลังทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ตอนนี้โอกาสที่คุณจะถูกส่งไปสถานพินิจเยาวชนมีสูงมาก”
“สถานพินิจ? ทำไมผมต้องไปที่นั่น?”
“คุณคอนโดะ ผมเคยอธิบายเรื่องนี้ไปแล้ว รวมถึงตำรวจเองก็บอกคุณเหมือนกัน แต่คุณอาจไม่ได้สนใจฟัง… ผมเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงของเขาจริงจังจนผมรู้สึกเหงื่อไหลเย็นวาบตามแผ่นหลัง ผมเคยได้ยินพวกเขาพูดถึง ‘การคุมประพฤติ’ กับ ‘สถานพินิจ’ อยู่บ้าง แต่ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับผม เลยเพิกเฉยไป
“นี่คุณกำลังบอกว่า ถ้าผมยอมฟังคุณ ผมจะไม่ถูกส่งไปที่นั่นใช่ไหม?”
ถ้าพวกเขาพูดถึงสถานพินิจ มันหมายความว่าต้องมีทางหลีกเลี่ยง ผมจะยอมฟังเขาก็ได้ถ้ามันช่วยได้
“คุณนี่เหมือนเด็กจริงๆ คุณคอนโดะ ใช่ครับ ปกติแล้วถ้าเป็นคดีแรกของคุณ คุณมีโอกาสได้รับการคุมประพฤติแทน”
คำว่า ‘เด็ก’ ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ผมเลือกที่จะปล่อยผ่าน
“การคุมประพฤติคืออะไร?”
“ผมอธิบายเรื่องนี้กี่ครั้งแล้วนะ? การคุมประพฤติหมายถึง การที่เยาวชนที่กระทำผิดได้รับโอกาสกลับไปใช้ชีวิตในสังคม พร้อมการเฝ้าระวังเพื่อให้พวกเขากลับตัวกลับใจ”
“แปลว่า ผมจะได้ออกไปใช่ไหม? ทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่แรก?”
“แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว…”
ทนายแก่ๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนต้องการสอนบทเรียนแห่งความโหดร้ายของสังคม
“อะไรนะ? หมายความว่าไง?”
“ก่อนอื่น คุณต้องดูที่พฤติกรรมของตัวเอง คุณหนีตอนตำรวจมาหาที่บ้าน แถมยังขัดขืนการจับกุม”
“นั่นมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…”
“ถ้าคุณไม่ขัดขืนตั้งแต่ตอนนั้น บางทีคุณอาจไม่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนก็ได้”
“ว่าไงนะ?”
“คุณใช้กำลังทำร้ายตำรวจ หลบหนีจนถูกจับใกล้โรงเรียน เท่ากับเป็นการประกาศให้โรงเรียนรู้เรื่องของคุณไปในตัว ถ้าโชคดี เราอาจจัดการเรื่องนี้โดยไม่ให้โรงเรียนรู้ได้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“…ไม่นะ”
เขายังคงพูดต่อ
“นอกจากนี้ คุณยังเมินคำแนะนำของผม ต่อต้านการสอบสวนโดยไม่มีท่าทีสำนึกผิด การกระทำของคุณในวันถูกจับทำให้ตำรวจมองคุณในแง่ลบ การปล่อยคุณออกไปอาจก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการล้างแค้นเหยื่อ การทำลายหลักฐาน หรือการหลบหนี”
ผมเริ่มเข้าใจความหมายของคำแนะนำทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อมาตลอด
ทำไมผมถึงดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนถึงตอนนี้?
“แล้วแบบนี้ผมจะ…”
“ใช่ครับ คุณทำลายโอกาสของตัวเองไปหมดแล้ว แม่ของคุณก็สิ้นหวัง เธอบอกว่าเธอไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้คุณเปลี่ยนแปลงได้ และพูดตามตรง ผมเองก็หมดความอดทนแล้ว เราคิดว่าคุณควรไปสถานพินิจเพื่อรับการปรับปรุงตัว”
“ผมจะไม่ไป! ผมต้องการออกไป!”
แต่ความหวังที่ริบหรี่ก็ถูกทำลายลงในห้องกักขังนี้
“คุณคอนโดะ… คนที่จะตัดสินเรื่องนี้ ไม่ใช่คุณ ถึงเวลาที่คุณควรตระหนักได้แล้วว่า คุณเป็นเพียง‘ราชาเปลือย’ในโลกแห่งความจริง”